IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> อัลบัส ดัมเบิลดอร์
Albus Dumbledore
โพสต์ Jul 23 2011, 12:06 PM
โพสต์ #1


อาจารย์ใหญ่

******




กลุ่ม : อาจารย์ใหญ่
โพสต์ : 1,594
เข้าร่วม : 9-August 08
จาก : ฮอกวอตส์
หมายเลขสมาชิก : 1
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เอลเดอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง








อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (Albus Dumbledore)



ชื่อ - นามสกุล : อัลบัส เพอซิวาล วูลฟริก ไบรอัน ดัมเบิลดอร์ (Albus Percival Wulfric Brian Dumbledore)
วัน เดือน ปีเกิด : เกิดในช่วงหน้าร้อนของปี ค.ศ. 1881 วันและเดือนไม่ปรากฏข้อมูลแน่ชัด
วัน เดือน ปีที่เสียชีวิต : เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 115 ปี ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 ที่หอดูดาวฮอกวอตส์
ลักษณะทางกายภาพ : พ่อมดร่างสูงผอม เครายาวสีเงิน ดวงตาสีฟ้าอ่อนสดใสอยู่ใต้แว่นตารูปครึ่งวงพระจันทร์
สถานะทางเลือด : เลือดผสม (Half-blood)
ไม้กายสิทธิ์ : ไม้เอลเดอร์ ยาว 15 นิ้ว แกนกลางขนหางเธสตรอล
บ้านในฮอกวอตส์ : กริฟฟินดอร์
ผู้พิทักษ์ : นกฟีนิกซ์
บ็อกการ์ด : ศพของน้องสาวแอรีอานนา
อาชีพ : หัวหน้าศาสตราจารย์ประจำวิชาแปลงร่าง และ อาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 จนถึงปี ค.ศ. 1997


อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (Albus Dumbledore) หรือ อัลบัส เพอซิวาล วูลฟริก ไบรอัน ดัมเบิลดอร์ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของรางวัลเหรียญตราแห่งเมอร์ลินชั้นหนึ่ง หัวหน้าหมอผี อิสรชนสูงสุด พันธรัฐพ่อมดนานาชาติ และเป็นประธานศาลสูงวิเซ็นกาม็อต เกิดในช่วงหน้าร้อนของปี ค.ศ. 1881 ที่หมู่บ้านโมลด์ออนเดอะเวิล์ด เขาเป็นพ่อมดสายเลือดผสม ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของ เพอร์ซิวาล ดัมเบิลดอร์ และ เคนดรา ดัมเบิลดอร์ เขามีน้องชายคนกลางหนึ่งคน คือ อาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์ และน้องสาวคนเล็กอย่าง แอรีอานนา ดัมเบิลดอร์ อีกหนึ่งคน

ในชีวิตช่วงแรกของอัลบัสที่ยังอยู่ในวัยเด็กนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวโศกนาฏกรรม เมื่ออัลบัสอายุได้สิบปี แอรีอานนาได้ถูกเด็กชายมักเกิ้ลสามคนรุมทำร้าย หลังจากที่เธอเผลอเสกเวทมนตร์ขณะที่อยู่ในสวนหลังบ้าน เด็กมักเกิ้ลทั้งสามแอบซุ่มดูอยู่ เมื่อเห็นแอรีอานนาใช้เวทมนตร์จึงเกิดความหวาดกลัว ทั้งสามแหกรั้วต้นไม้เข้ามาในสวนแล้วรุมถามเธอว่า "กล" พวกนั้นเธอทำได้อย่างไร ด้วยอายุเพียงแค่หกปี แอรีอานนาไม่สามารถจะหาคำอธิบายอะไรมาตอบแก่เด็กมักเกิ้ลทั้งสามได้ ด้วยความลืมตัวประกอบกับความกลัว เด็กผู้ชายทั้งสามจึงพยายามที่จะหยุดแอรีอานนาไม่ให้เล่นกลประหลาดแบบนั้นอีก

สิ่งที่เด็กมักเกิ้ลทั้งสามทำกลายเป็นผลร้ายอย่างประเมินค่าไม่ได้ ราวกับแอรีอานนาถูกทำลายไป นับตั้งแต่นาทีนั้นเธอไม่กล้าใช้เวทมนตร์อีกเลย แต่ก็เป็นความจริงเช่นกันที่เธอนั้นเป็นแม่มด ฉะนั้นเธอจึงไม่สามารถกำจัดเวทมนตร์ออกไปจากตัวเธอได้ เมื่อเวทมนตร์ถูกกักเก็บและสะสมไว้นานเข้า มันจึงย้อนกลับเข้าไปข้างในตัวและทำให้เธอกลายเป็นบ้า เมื่อใดก็ตามที่แอรีอานนาควบคุมมันไม่ได้ เวทมนตร์ที่ถูกกักไว้จะระเบิดออกมา ณ ช่วงเวลานั้นเธอจะกลายเป็นตัวประหลาดและอันตรายมาก ตรงข้ามกับในยามปกติที่เธอจะเป็นคนอ่อนหวานและขี้กลัว

เพอร์ซิวาลนั้นใจสลายเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของเขา ด้วยความแค้นเคืองนี้เองทำให้เขาออกตามล่าและทำร้ายเด็กชายมักเกิ้ลทั้งสามคน อันเป็นผลทำให้เขาถูกกระทรวงเวทมนตร์อังกฤษควบคุมตัวและขังไว้ที่อัซคาบัน เพอร์ซิวาลยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่ทว่าเขากลับไม่ยอมบอกถึงเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ เพอร์ซิวาลเกรงว่าหากทางกระทรวงเวทมนตร์รู้เรื่องของแอรีอานนาเข้า เธอจะต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเซนต์มังโกเพื่อผู้ป่วยและบาดเจ็บ เนื่องจากสภาพของเธอตอนนี้นั้น เสี่ยงต่อการละเมิดบทบัญญัติปกปิดความลับนานาชาติ เพราะเมื่อใดก็ตามที่แอรีอานนาควบคุมตัวเองไม่ได้ เวทมนตร์ในตัวเธอจะระเบิดออกมาทันที เมื่อเธอไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป และมีความเป็นไปได้สูงว่าแอรีอานนานั้นจะมีออบสคูรัสอยู่ภายในตัว

หลังจากที่เพอร์ซิวาลถูกตัดสินคุมขัง เคนดราจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวไปยังหมู่บ้านก็อดดริก ฮอลโลว์ เพื่อหลบเลี่ยงการถูกจับตามองจากกระทรวงเวทมนตร์ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าคนที่รู้จักพวกเขาก็ไม่เคยมีใครเห็นแอรีอานนาอีกเลย โดยเคนดราบอกแก่ทุกคนว่าแอรีอานนานั้นไม่สบาย เคนดราใช้ทั้งชีวิตที่เหลือของเธอเพื่อดูแลลูกสาว รวมทั้งปฏิเสธมิตรไมตรีจากเพื่อนบ้านในละแวกนั้น เพราะความหวาดกลัวว่าเรื่องราวของแอรีอานนาจะถูกเปิดเผย จากนั้นไม่นานครอบครัวดัมเบิลดอร์จึงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนอัลบัสเองก็ได้เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงน้องสาว และพ่อของเขากับคนอื่นในที่สาธารณะ

หลังจากนั้นไม่นานในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1892 อัลบัสก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนฮอกวอตส์ และได้ถูกคัดสรรไปยังบ้านกริฟฟินดอร์ ตลอดในช่วงเวลาเทอมแรกของอัลบัส เขาต้องเผชิญหน้ากับคำซุบซิบนินทาเกี่ยวกับอาชญากรรม ที่พ่อของเขาก่อขึ้นจากเด็กนักเรียนหลายคน จนทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิด ทึกทักไปเองว่าอัลบัสนั้นเป็นพวกเกลียดมักเกิ้ลเหมือนกับพ่อของเขา และแม้ว่าจะมีบางคนได้สรรเสริญการกระทำของเพอร์ซิวาล เพื่อที่จะทำให้อัลบัสไว้ใจ แต่ทว่าอัลบัสกลับปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้นไป ภายหลังเมื่อจบปีการศึกษาแรก ชื่อเสียงด้านลบของอัลบัสก็ถูกลืมเลือนไป และถูกกลบไว้ในฐานะนักเรียนที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่โรงเรียนเคยมีมา ย้อนกลับไปในวันแรกของการเข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ อัลบัสได้เป็นเพื่อนกับเอลฟายอัส โดจ เด็กชายที่ติดโรคฝีมังกร ทำให้ตามร่างกายของเขา เต็มไปด้วยเม็ดฝีบวมเป่ง ผิวมีสีเขียวน่าสยดสยอง ทำให้ไม่มีนักเรียนคนใดกล้าเข้าใกล้ อย่างไรก็ตาม มีเพียง อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เท่านั้น ที่เข้ามาทำความรู้จักและไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจโดจเลยแม้แต่น้อย จนสุดท้ายทั้งสองก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน นอกจากนี้อัลบัสยังได้ติดต่อคบหากับผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย อย่างเช่น นิโคลัส แฟลมเมล นักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีชื่อเสียง, บาธิลดา แบ็กช็อต นักประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่มีชื่อเสียง และ กริเซลด้า มาร์ชแบงส์ หัวหน้ากองการจัดสอบพ่อมดแม่มด สมาชิกอาวุโสของสภาพ่อมด

เมื่อขึ้นเรียนชั้นปีสาม อัลบัสได้เลือก วิชาอักษรรูนโบราณ และอีกหนึ่งวิชาที่ไม่ได้ระบุข้อมูลไว้ (ซึ่งไม่ใช่วิชาพยากรณ์ศาสตร์) เป็นวิชาเลือก และในช่วงที่อัลบัสขึ้นเรียนชั้นปีสี่ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อาเบอร์ฟอร์ธเข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ ระหว่างเรียนอัลบัสนั้นได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย อย่างเช่น การเป็นผู้ชนะการแข่งขันการเสกคาถาดีเลิศของ บาร์นาบัส ฟิงก์ลีย์, การได้เป็นตัวแทนเยาวชนอังกฤษของศาลสูงวิเซ็นกาม็อต, การทำหน้าที่เป็นพรีเฟ็ค เมื่อเขาเรียนอยู่ชั้นปีห้า และ ต่อมาในชั้นปีเจ็ด เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานนักเรียน นอกจากนี้ เขายังได้รับเหรียญทองจากงานประชุมนักเล่นแร่แปรธาตุนานาชาติ กรุงไคโรอีกด้วย

หลังจากสำเร็จการศึกษาที่ฮอกวอตส์ ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1899 อัลบัสและโดจ ก็ตั้งใจไว้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะออกเดินทางรอบโลกไปด้วยกัน ทว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ทั้งสองเตรียมตัวที่จะเดินทางไปประเทศกรีซ โดยการเช่าห้องพักอยู่ที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่นกฮูกส่งข่าวมายังอัลบัสว่า เคนดรา ดัมเบิลดอร์ แม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ อันเกิดจากการที่แอรีอานนาสูญเสียการควบคุมพลังเวทมนตร์ของเธอ ทันทีเมื่อทราบข่าว อัลบัสก็ได้ยกเลิกแผนการท่องเที่ยวของเขาแล้วเดินทางกลับมายัง หมู่บ้านก็อดดริก ฮอลโลว์ เพื่อจัดงานศพให้เคนดรา หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาจึงต้องแบกรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวต่อจากแม่ แม้ว่าอาเบอร์ฟอร์ธต้องการที่จะลาออกจากโรงเรียนและมาดูแลแอรีอานนาด้วยตัวเอง แต่อัลบัสก็ยืนกรานว่าน้องชายของเขาจะต้องเรียนให้จบเสียก่อน และแม้ว่าอัลบัสจะทิ้งให้โดจเดินทางไปรอบโลกเพียงลำพัง แต่ทั้งสองก็ยังคงติดต่อกันผ่านทางจดหมายอยู่เป็นระยะ

หลังจากที่อัลบัสต้องกลับมาอาศัยอยู่ที่ ก็อดดริก ฮอลโลว์ พร้อมความขุ่นเคืองในใจในฐานะเด็กกำพร้าและหัวหน้าครอบครัว ก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่ บาธิลดา แบ็กช็อต เพื่อนบ้านของเขา ได้รับ เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ หลานชายเข้ามาพักอยู่ที่บ้านด้วย ซึ่งเหตุผลที่กรินเดลวัลด์ยอมย้ายเข้ามาอยู่ที่ หมู่บ้านก็อดดริก ฮอลโลว์ กับคุณยาย เนื่องจากเขาต้องการตามหา เครื่องรางยมทูต กรินเดลวัลด์นั้นได้รับการศึกษาที่สถาบันเวทมนตร์เดิร์มสแตรงก์ โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเรื่องศาสตร์มืดมาตั้งแต่สมัยนั้น กรินเดลวัลด์แสดงตนว่าเป็นคนเก่งเกินวัยเช่นเดียวกับดัมเบิลดอร์ แต่แทนที่จะใช้ความสามารถไปเพื่อประกาศนียบัตรและรางวัล กรินเดลวัลด์กลับอุทิศตนให้แก่การแสวงหาสิ่งที่ต่างออกไป เมื่อเขาอายุสิบหกปี แม้แต่เดิร์มสแตรงก์เองก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อการทดลองอันวิปริตของกรินเดลวัลด์ได้ เขาจึงถูกไล่ออก (อ้างอิงจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ใน หนังสือชีวิตและเรื่องปดมดเท็จของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ โดย ริต้า สกีตเตอร์ หน้า 329)

บาธิลดาได้แนะนำหลานชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวให้ได้รู้จักกับอัลบัส หลังจากที่ทั้งสองรู้จักก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน ในตอนแรกเริ่มนั้นทั้งคู่มีแนวคิดที่ตรงกัน ในการมุ่งเน้นการทำเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ทำให้อัลบัสรู้สึกคล้อยตามกรินเดลวัลด์ไปอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีความสนใจในเรื่องเครื่องรางยมทูตเหมือนกัน ซึ่งกรินเดลวัลด์นั้นสนใจเพียงแค่ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ไม้กายสิทธิ์ทรงอำนาจที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ และหินชุบวิญญาณ สำหรับใช้ในการสร้างกองทัพอินเฟอไร ส่วนผ้าคลุมล่องหนนั้นเขาแทบจะไม่ได้ให้สนใจมันมากเท่าใดนัก เพราะเขาเองก็สามารถใช้คาถาพรางตาได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สำหรับอัลบัส เขาต้องการเพียงหินชุบวิญญาณเพื่อทำให้พ่อกับแม่ได้ฟื้นคืนอีกครั้ง ซึ่งนั่นหมายถึงเขาสามารถปลดภาระออกไปจากตัวได้ หรือจะเป็นผ้าคลุมล่องหนที่เขาจะใช้ซ่อนตัวแอรีอานนาไว้ได้ตลอดไป

อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาสองเดือนเต็ม ที่อัลบัสละทิ้งหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อาเบอร์ฟอร์ธต้องกลับไปที่โรงเรียนฮอกวอตส์ อาเบอร์ฟอร์ธได้พูดเตือนสติพี่ชายของเขา ที่กำลังวางแผนจะออกตามหาเครื่องรางยมทูตไปพร้อมกับกรินเดลวัลด์ อาเบอร์ฟอร์ธได้บอกกับอัลบัสว่า เขาไม่สามารถเดินทางไปแสวงหาเครื่องรางได้ โดยมีน้องสาวที่อ่อนแอและเสียสติร่วมทางไปด้วยได้หรอก กรินเดลวัลด์ที่ได้ฟังอยู่นั้น ก็ไม่พอใจและโกรธมากที่อาเบอร์ฟอร์ธกล่าวเช่นนั้น และจากการโต้เถียงนี้เองก็ได้กลายเป็นการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อกรินเดลวัลด์ใช้คำสาปกรีดแทง กับอาเบอร์ฟอร์ธ อัลบัสที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้พยายามห้ามปรามแล้ว จนสุดท้ายทั้งสามก็ได้ต่อสู้กัน ลำแสงและเสียงระเบิดจากคาถาได้ดังไปทั่วห้อง ทำให้แอรีอานนาที่เห็นเหตุการณ์เกิดอาการคุ้มคลั่งขึ้น ด้วยความที่เธอต้องการช่วยพี่ชาย แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แอรีอานนาจึงเสียชีวิตไปในท้ายที่สุดในเหตุการณ์นี้

การเสียชีวิตของแอรีอานนานี้เองที่ทิ้งบาดแผล และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่ชายของเธอทั้งสองคน อาเบอร์ฟอร์ธได้กล่าวโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของอัลบัส เขาได้บันดาลโทสะออกมาในงานศพ โดยการต่อยอัลบัสต่อหน้าโลงศพของแอรีอานนา จนจมูกของเขาหัก ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก ภายหลังจากเหตุการณ์นี้เองกรินเดลวัลด์ก็ได้หายตัวไป พร้อมกับแผนการยึดอำนาจและแผนการทรมานพวกมักเกิ้ล พร้อมกับความฝันเรื่องเครื่องรางยมทูต ละทิ้งให้อัลบัสอยู่กับงานศพน้องสาวและมีชีวิตจมอยู่กับความรู้สึกผิด ความโศกเศร้าและความละอายใจต่อตนเอง

อัลบัสได้รับการพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า แม้เขาจะเป็นคนเก่งและมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่เขาไม่สามารถรับมือกับอำนาจได้เลยหากได้มันมาครอบครอง เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำตามความฝัน เพียงสิ่งเดียวที่เขารู้ตัวมาตั้งแต่เด็กว่าสามารถทำได้ดี นั่นคือการเป็นครู ดังนั้นอัลบัสจึงหวนคืนกลับสู่โรงเรียนฮอกวอตส์ และรับตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนวิชาแปลงร่าง ในช่วงปี ค.ศ. 1910 หนึ่งในนักเรียนของเขาอย่างนิวท์ สคามันเดอร์ นักเรียนมากพรสวรรค์จากบ้านฮัฟเฟิลพัฟ ได้ถูกไล่ออกจากการที่เขาทดลองกับสัตว์วิเศษจนผิดพลาด ทำให้ชีวิตของนักเรียนคนหนึ่งตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม อัลบัสก็ได้มีบทบาทสำคัญได้ในการยืนหยัดปกป้องสคามันเดอร์ แต่ทว่า สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถคัดค้านการไล่นักเรียนคนโปรดคนนี้ออกได้ เนื่องจากตอนนั้น อัลบัสยังเป็นเพียงอาจารย์สอนวิชาแปลงร่างคนหนึ่งเท่านั้น

ตลอดช่วงที่อัลบัสเป็นอาจารย์คอยสอนวิชาความรู้ให้กับพ่อมดแม่มดรุ่นเยาว์ กรินเดลวัลด์เองก็เริ่มแผ่ขยายอำนาจและสร้างอิทธิพลไปทั่วยุโรป แม้อัลบัสจะรู้อยู่แก่ใจว่า วันที่เขาต้องเผชิญหน้ากับกรินเดลวัลด์อีกครั้งจะต้องมาถึง แต่เขาก็ถ่วงเวลาไว้ได้นานกว่าห้าปี เนื่องจากความหวาดกลัวในใจของอัลบัสที่มีต่อกรินเดลวัลด์ ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าจะพ่ายแพ้ พวกเขาต่างรู้ดีว่าทั้งคู่นั้นมีฝีมือที่ไม่ห่างกันมาก หากแต่เป็นความจริงต่างหากที่ทำให้อัลบัสรู้สึกกลัว ความจริงจากการต่อสู้ที่นำไปสู่การตายของแอรีอานนา อัลบัสกลัวความจริงที่ว่าเขาอาจเป็นคนเสกคำสาปที่ปลิดชีพน้องสาวของตัวเอง ความหวาดกลัวในข้อนี้ทำให้อัลบัสประวิงเวลาที่จะไม่เผชิญหน้ากับกรินเดลวัลด์โดยตรง ในที่สุดหลังจากปล่อยให้กรินเดลวัลด์สร้างอำนาจอยู่ยาวนาน อัลบัสที่ทนกับแรงกดดันจากผู้คนรอบข้างและความอัปยศต่อไปอีกไม่ไหว ประกอบกับการที่มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้นทุกขณะ ทำให้อัลบัสจึงต้องออกมาทำในสิ่งที่เขาควรทำมานาน คือการเผชิญหน้ากับกรินเดลวัลด์ การประลองเวทย์ระหว่างสองพ่อมดจึงเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 ผลสุดท้ายคืออัลบัสได้รับชัยชนะ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์เวทมนตร์ นำมาซึ่งการมอบเหรียญตราแห่งเมอร์ลินชั้นหนึ่ง ส่วนกรินเดลวัลด์นั้น ถูกจองจำไว้ในคุกนูร์เมนการ์ดที่เขาสร้างขึ้นตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่

หลังจากที่อัลบัสสามารถพิชิตกรินเดลวัลด์ลงได้ เขาก็ได้ถูกเสนอให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์อยู่หลายครั้ง แต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนอทุกครั้งไป อัลบัสเรียนรู้ว่าตัวเขาเองไม่สมควรได้ครอบครองอำนาจอีก อันเนื่องจากเหตุการณ์ในอดีต ที่ได้สอนเขาว่าอำนาจนั้นเป็นจุดอ่อนของเขา และเป็นเครื่องล่อใจให้เขาหลงผิดได้ง่ายดาย ฉะนั้นเขาจึงทุ่มเทชีวิตที่เหลือให้กับการทำการเป็นอาจารย์ที่ฮอกวอตส์ ซึ่งตำแหน่งสูงสุดในชีวิตที่เขาต้องการมีเพียงอย่างเดียว ก็คือการได้ขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ ด้วยความทุ่มเทดูแลเด็กนักเรียนทุกคนนี้เอง ทำให้อัลบัสได้เดินทางสรรหานักเรียนเข้ามายังโรงเรียนฮอกวอตส์ด้วยตัวเอง จนกระทั่งเขาได้พบกับทอม ริดเดิ้ลที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าวูลส์ ในปี ค.ศ. 1938 หลังจากที่ทอมได้เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ อัลบัสนั้นเป็นเพียงอาจารย์คนเดียว ที่ไม่หลงระเริงไปกับพรสวรรค์อันน่าประหลาดใจของทอม อีกทั้งเขายังคอยจับตามองทอมเป็นพิเศษตลอดเวลา นับตั้งแต่ทอมเข้ามาเรียนที่ฮอกวอตส์ และด้วยความที่อัลบัสไม่ใช่คนที่หลงเชื่อ หรือคล้อยตามไปกับเวทมนตร์ของทอมได้โดยง่าย อัลบัส ดัมเบิลดอร์จึงถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ทอม ริดเดิ้ลเกรงกลัว

ทอม ริดเดิ้ล ได้จบการศึกษาไปก่อนที่ดัมเบิลดอร์จะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ ต่อมาไม่นานนักทอม ริดเดิ้ล (หรือในตอนนั้นรู้จักกันในชื่อ ลอร์ดโวลเดอมอร์) ก็ได้หวนคืนสู่ฮอกวอตส์อีกครั้ง เริ่มต้นจากการที่เขาไปหา ศาสตราจารย์อาร์มันโด ดิพพิต เป็นอันดับแรก และขอว่าเขาจะอยู่เป็นครูที่ฮอกวอตส์ต่อไปได้หรือไม่ ในรายวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด แม้ว่าโวลเดอมอร์ไม่เคยเปิดเผยให้ศาสตราจารย์ดิพพิตทราบว่า ทำไมเขาถึงอยากอยู่ที่ฮอกวอตส์ต่อไป แต่ดัมเบิลดอร์เชื่อว่าเขามีเหตุผลอยู่ด้วยกันสามประการ ได้แก่ ประการแรก และเป็นประการสำคัญมากว่า โวลเดอมอร์ผูกพันกับโรงเรียนแห่งนี้มากกว่าที่เขาผูกพันกับใครทั้งนั้น ฮอกวอตส์เป็นสถานที่ที่เขามีความสุขที่สุด และเป็นที่แรกและที่เดียวที่เขารู้สึกเหมือนเป็นบ้าน, ประการที่สองคือ ปราสาทนี้เป็นที่ตั้งมั่นของเวทมนตร์โบราณ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า โวลเดอมอร์สามารถหยั่งรู้ความลับของเวทมนตร์เหล่านี้ได้หลายอย่าง มากกว่านักเรียนส่วนใหญ่ที่เคยผ่านสถานที่นี้ อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกว่ายังมีปริศนาลึกลับอีกมากที่ต้องถอดให้ได้ เปรียบเสมือนคลังแห่งเวทมนตร์ที่ไขออกมาได้เรื่อย ๆ และประการที่สาม ในฐานะครู เขาจะมีอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่เหนือพ่อมดแม่มดผู้เยาว์ทั้งหลาย ซึ่งบางทีเขาอาจได้รับแนวความคิดนี้มาจาก ฮอเรซ ซลักฮอร์น ครูที่เขาใกล้ชิดด้วยมากที่สุด ผู้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครูมีบทบาทที่มีอิทธิพลได้มากเพียงใด นอกจากนี้ฮอกวอตส์ยังเป็นที่ที่เขาสามารถก่อตั้งกองทัพของตัวเองได้

แต่ท้ายที่สุดโวลเดอมอร์ก็ไม่ได้รับงานนี้ เนื่องจากศาสตราจารย์ดิพพิตบอกว่าตอนนั้นเขายังหนุ่มเกินไป ด้วยวัยเพียงสิบแปดปี แต่ทว่า ศาสตราจารย์ดิพพิตก็ได้เชิญชวนให้เขากลับมาสมัครอีกครั้ง ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า หากเขายังปรารถนาที่จะสอนอยู่ ซึ่งทำให้อัลบัสไม่สบายใจนัก เขาจึงได้แนะนำอาร์มันโดว่าไม่ให้รับโวลเดอมอร์เข้าเป็นศาสตราจารย์ อย่างไรก็ตาม อัลบัสไม่ได้บอกเหตุผลแก่อาร์มันโดไป เนื่องจากอาร์มันโดนั้นรักใคร่โวลเดอมอร์มาก และเชื่อมั่นในความสัตย์ซื่อของเขา

ในระหว่างที่ดัมเบิลดอร์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ เขาได้เปิดรับนักเรียนมากมาย ปราศจากการแบ่งเชื้อสายและสายเลือด แตกต่างจากอาจารย์ใหญ่ท่านก่อน อย่างเช่น ในกรณีของ รีมัส ลูปิน เมื่อยังเด็กรีมัสกลัวว่าเขาจะไม่สามารถเข้าโรงเรียนได้ เนื่องจากเขานั้นติดเชื้อมนุษย์หมาป่า จากการถูกทำร้ายโดยเฟนเรีย เกรย์แบ็ก แต่อัลบัสก็ไม่ได้ปิดกั้นเขาแต่อย่างใด โดยอัลบัสได้ให้เหตุผลว่า ตราบใดที่เขาระมัดระวังตัวเองอย่างดี ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องห้ามไม่ให้เขาเข้าเรียน ดังนั้นต่อมาเมื่อรีมัสเข้าเรียน ดัมเบิลดอร์จึงเตรียมสถานที่หลบภัยขณะที่เขากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า อย่าง เพิงโหยหวน โดยมีต้นวิลโลว์จอมหวดคอยป้องกันไม่ให้นักเรียนหรือคนอื่นเข้าใกล้บริเวณนั้น ต่อมาเมื่อเซเวอร์รัส สเนปล่วงรู้ความลับนี้เข้า ดัมเบิลดอร์เองก็ขอร้องให้สเนปปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับด้วยเช่นกัน

ต่อมาในปี ค.ศ. 1970 ช่วงสงครามโลกเวทมนตร์ครั้งที่หนึ่ง อัลบัสได้มีส่วนสำคัญและเป็นแกนหลักในการต่อต้านลอร์ดโวลเดอมอร์ ที่กำลังขยายอำนาจมืดไปทั่วโลกผู้วิเศษ ด้วยการก่อตั้งภาคีนกฟินิกซ์ขึ้น ภายหลังจากที่โวลเดอมอร์สูญสิ้นอำนาจล อัลบัสก็ได้คอยปกป้องให้ความช่วยเหลือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กชายผู้รอดชีวิต ผู้อยู่ในคำทำนายของ ซิบิลล์ ทรีลอว์นีย์ ที่ว่า "ผู้มีอำนาจปราบเจ้าแห่งศาสตร์มืดใกล้เข้ามาแล้ว เกิดกับคนที่ท้าทายเขาถึงสามหน เกิดเมื่อเดือนที่เจ็ดวางวาย และเจ้าแห่งศาสตร์มืดจะทำเครื่องหมายเขาในฐานะผู้เท่าเทียม แต่เขานั้นจะมีอำนาจที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดหารู้จักไม่ และคนหนึ่งจะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกคน เพราะทั้งสองจะไม่อาจอยู่ได้ถ้าอีกคนยังอยู่รอด" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จนกระทั่งปี ค.ศ. 1995 อัลบัสและโวลเดอมอร์ ก็ได้กลับมาเผชิญหน้ากันครั้งที่กระทรวงเวทมนตร์ โดยทั้งคู่ได้มีการปะทะกัน ก่อนที่โวลเดอมอร์จะหลบหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์ปรากฏตัวขึ้น ในปีถัดมา อัลบัสได้ใช้เวลาในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน และ ตลอดเทอมที่ฮอกวอตส์ ในการรวบรวมข้อมูลและตามหาฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ทำลายแหวนของตระกูลก๊อนท์ หนึ่งในฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ไป แต่ทว่า เขาเองก็สูญเสียมือของเขาไปจากคำสาปแช่ง ที่ถูกเสกไว้เพื่อป้องกันแหวนเช่นกัน ดัมเบิลดอร์จึงต้องคอยดื่มน้ำยาที่เซเวอร์รัสปรุงขึ้นมา เพื่อยืดชีวิตของเขาออกไปอีกระยะเวลาหนึ่ง

ในเวลาเดียวกัน อัลบัสก็ได้พบเบาะแสของฮอร์ครักซ์อีกชิ้นหนึ่งอย่าง ล็อคเกตของซัลลาซาร์ สลิธีริน ต่อมาในคืนของวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 ดัมเบิลดอร์และแฮร์รี่ จึงออกเดินทางไปยังถ้ำที่เก็บรักษาฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ไว้ เพื่อที่จะนำ ล็อคเกตของสลิธีริน ขึ้นมาได้ ดัมเบิลดอร์และแฮร์รีจะต้องดื่มน้ำยาในอ่างไว้ให้หมดสิ้นก่อน ดัมเบิลดอร์ได้สละชีวิตตัวเองเพื่อดื่มน้ำยา โดยเขาได้บอกกับแฮร์รี่ถึงเหตุผลที่เขาต้องเป็นคนดื่มน้ำยาไว้ว่า "เพราะฉันแก่กว่า ฉลาดกว่า และมีค่าน้อยกว่าน่ะสิ --- ถามอีกครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายนะ แฮร์รี่ ฉันได้รับคำมั่นจากเธอหรือเปล่า ว่าเธอจะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำให้ฉันดื่มต่อไป" (อ้างอิงจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม บทที่ 26 ถ้ำ หน้า 595)

หลังจากที่ดัมเบิลดอร์ทุกทรมานจากผลของน้ำยา ในที่สุดเขาก็ได้ดื่มมันจนหมดและได้นำเอาล็อคเกตของสลิธีรินออกไป เมื่อกลับมาที่หอดูดาว ดัมเบิลดอร์ก็ได้พบกับเดรโก มัลฟอย เด็กชายจากบ้านสลิธีรินที่ได้รับคำสั่งให้สังหารเขาเอง เดรโกปลดอาวุธของดัมเบิลดอร์ออก แต่ทว่า เขากลับไม่สามารถฆ่าอาจารย์ของเขาได้ ดังนั้นคนที่ลงมือจึงเป็นเซเวอร์รัส ตามคำขอที่อัลบัสได้ขอร้องไว้ก่อนหน้านี้ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เสียชีวิตเมื่ออายุ 115 ปี ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 ร่างของเขาถูกฝังในสุสานหินอ่อนสีขาวซึ่งตั้งอยู่ ณ ริมทะเลสาบของฮอกวอตส์ อย่างไรก็ตาม ในวาระสุดท้ายของเขา อัลบัสก็ได้ส่งมอบภารกิจพิชิตโวลเดอมอร์ต่อไปยังแฮร์รี่ และด้วยความช่วยเหลือและการเสียสละของดัมเบิลดอร์ตลอดมา สุดท้ายแฮร์รี่ก็สามารถเอาชนะโวลเดอมอร์ได้สำเร็จ ในปี ค.ศ. 1998





ข้อมูลจาก Harry Potter Wiki

รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 19th March 2024 - 02:04 PM