IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> แวมไพร์
`Zennita
โพสต์ Jan 27 2011, 06:14 PM
โพสต์ #1


ผู้จบการศึกษาฮอกวอตส์

*******




กลุ่ม : อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ
โพสต์ : 4,076
เข้าร่วม : 30-March 10
จาก : คฤหาสน์แฟนธ่อมไฮฟ์
หมายเลขสมาชิก : 7,659
สายเลือด : เกิดจากมักเกิ้ล
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: มะเกลือ | ยาว: 11"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ยืดหยุ่นกำลังดี

สัตว์เลี้ยง







แวมไพร์ (Vampire)


ชื่อ : แวมไพร์ (Vampire)
สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง : มนุษย์, ซาซาโบซัม
สีผิว : ขาวซีด
ถิ่นกำเนิด : ป่าดำ, โรมาเนีย, ทรานซิลเวเนีย, บริเตนใหญ่, สหรัฐอเมริกา
ลักษณะเด่น : เขี้ยวแหลม ออกหากินเวลากลางคืน กินเลือด แพ้กระเทียม
ความเกี่ยวพัน : ผีดิบดูดเลือด, อมรณา
ประเภทที่ ก.ว.ม. จัดไว้ : สิ่งมีชีวิตชั้นสูง
สถานะ : ยังคงมีอยู่


แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลางเชื่อว่าเป็นผีดิบที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แค่เฉพาะเวลากลางคืน เนื่องจากแพ้เเสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมยามกลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเทียบเท่ามนุษย์ผู้ชายยี่สิบคน

สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย ดังเช่น การตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมันจะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ชาวยุโรปในยุคกลางนั้นหวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือมนุษย์หมาป่า คือถูกตัดสินลงโทษด้วยการประหารชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือโรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง

เรื่องราวของผีแวมไพร์มีมากมายที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่อ้างถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือเรื่อง เคาท์แดร็กคูล่า ของบราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์ทางการ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง นอสเฟอราตู ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น

เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวนั้น อาจมีที่มาจากทวีปอเมริกากลาง มีค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่งดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้างคาวชนิดนี้ก็ได้มีการเรียกชื่อว่า “แวมไพร์” เช่นกัน


ผีดูดเลือด หรือแวมไพร์

เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปีศาจ แม้ว่าผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร สังคมแทบทุกสังคมรู้จักกันในนาม “ผีดูดเลือด”

ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักรบาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดมากมายไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดทั้งสิ้น ในประเทศมาเลเซียเชื่อกันว่าผู้หญิงที่เสียชีวิตในขณะคลอดหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็นกระสือหรือปอบที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีเหล่านี้และบางประเพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือดเป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ซึ่งปรากฏเป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ


แดรกคูลา

เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้ายทารุณ “แดรกคูล” เป็นสมญานามที่แปลว่า “ปีศาจ” ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลาก็แปลว่า “ลูกชายของปีศาจ” เช่นกัน

ในนิยายต่าง ๆ แดรกคูลาเกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของแวมไพร์ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัว มีผู้คนที่เชื่อว่าแวมไพร์มีจริง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัยแวมไพร์ในนิวยอร์กที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแวมไพร์ในยุโรปและอเมริกา
อีกด้วย





โรคแวมไพร์


ในปี ค.ศ. 1968 ได้มีการค้นพบโรคแพ้แสงแดด หากโดนแสงมาก ผิวหนังจะต้านทานด้วยการเปลี่ยนสีและเกิดแผลพุพอง หรือตุ่มน้ำจำนวนมากขึ้นมาตามบริเวณที่เป็น โดยส่วนมากยังไม่เข้าใจโรคนี้จึงยังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาด

ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 หลังจากที่นาซ่าได้ส่งมนุษย์ไปสำรวจอวกาศได้พบว่า รังสีอัลตราไวโอเลตนั้นมีผลเช่นเดียวกับโรคแวมไพร์ คือการได้รับรังสีดังกล่าวมากเกินไป จึงได้มีการประกาศให้อาการนี้เป็น “โรค” ไม่ใช่ “คำสาป” ตามที่ชาวบ้านเข้าใจ โดยวิธีการรักษานั้นยุ่งยากมาก มีข้อจำกัดมากมาย และต้องสวมชุดป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตไว้ตลอดเวลา เป็นชุดแบบเดียวกับที่นักบินอวกาศใช้ในอวกาศ ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาดแต่มีการวิจัยว่าเป็นโรคทางกรรมพันธ์ โดยการรับรู้ของเซลล์แตกต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไป ไวต่อแสงเป็นพิเศษ และมีการต่อต้านในตัวเซลล์ เมื่อสัมผัสกับแสง ระบบทำลายจะเริ่มต้นขึ้น ส่งผลให้ร่างกายแสดงออกมาในรูปแบบของตุ่ม แผล และมีอาการแพ้อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ตาแห้ง แสบผิวหนัง เซลล์เม็ดสีเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ แต่ไม่มากเท่าโรคมะเร็ง





ข้อมูลจาก Harry Potter Wiki และ Dek-d

รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 23rd April 2024 - 11:53 PM