IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> ศฺยามเวทยฺ, เรื่องสั้น / Fantasy / Period
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Jun 19 2017, 12:12 AM
โพสต์ #1


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








_______________________________________________________________________________


_____ไสยดุจเกษแก้ว.......เลิศตระ กาลเฮย
องค์เอกเวชยันตร..........เกริกหล้า
องค์พระเวทราช............องค์มิ่ง แม่พ่อ
เถลิงมนตร์ทั่วค้ำฟ้า.......เจิดแจ้งทั่วนคร




_______________________________________________________________________________


สนทนา

สวัสดีครับทุกคน นี่คือเซอริลผู้ไม่เคยเขียนนิยายจบเอง ! เฮ่
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น (หรือนิยาย?) ที่คิดว่าแต่งไม่จบ ฮึก T^T
ไอเดียในการแต่งเรื่องนี้มาจากตอนศึกษาเรื่อง MACUSA แล้วไปสะดุดตรงคำว่าผู้แทนไทยในเว็บ
พอมาหาข้อมูลแต่ก็ไม่เจอที่ป้าเจแต่งไว้เลย เลยเกิดแรงมโนขึ้นมาเองเลยว่าจะแต่งเอง !

โดยฉากหลังเรื่องจะอยู่ในสมัยกรุงศรี และรัตนโกสินทร์เป็นเสียส่วนใหญ่
เนื่องจากจะกล่าวถึงเริ่มแรกในการก่อตั้งของสภาเวทมนตร์สยามด้วย
ทุกคนจะได้รับสำนวนขั้นโบราณ รวมถึงความวิจิตรวิไลของวัฒนธรรมสยามโบราณอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน
#ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านนะครับ

**** เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริง หรืออาจมีบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมีผลกระทบต่อบุคคลใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย****




_______________________________________________________________________________




คุณ SERiL ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Nov 12 2017, 03:26 PM
Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Jun 19 2017, 12:14 AM
โพสต์ #2


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์











ศุภมัสดุศักราช ๒๐๑๙ ปีวอก อัฏฐศก เถลิงศกยามสาม วันที่ ๒๙ เดือน ๗

องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๒๐๒๐ ปี จุลศักราช ๘๓๘

แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ผ่านเผ้ากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา

ทูตชิงเจ้าเฉิงฮว้า จักรพรรดิชิงส่งพระราชสาส์นจากกองเวทมนตร์แห่งจักรวรรดิชิง

เพื่อเตือนผู้วิเศษชาวสยามจากการกระทำการแย่ในการปพฤติตนในการใช้เวทมนตร์

ของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ในพระราชอาณาจักร


......................................................................

- จารึกกองพระการทเบียฬเวทมนตร์ ชั้น ๖ สภาการเวทมนตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม -


คุณ SERiL ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Jun 19 2017, 09:23 PM
Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Jun 21 2017, 09:38 PM
โพสต์ #3


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

"ชีวิตในการเป็นพ่อมดของข้าเริ่มจากข้านั้นได้พบกับยายแก่คนหนึ่งที่ตลาด ริมคูเมืองกรุงศรี
หลังจากนั้นข้าก็ได้พบว่าตนเองนั้นมิใช่เพียงเด็กธรรมดาอีกต่อไป"


- ส่วนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวของกรมพระยามหาเวทชยันต์ -

......................................................................





_____ โสตถิ1 ข้าชื่อ ‘ทัด’ ปีนี้ข้าอายุได้ย่าง ๑๗ ขวบปีพอดี ข้ากำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในตลาดนัดยามสายริมคูเมือง ข้าเดินเที่ยวเล่นไปพักใหญ่ ๆ พลันแฉลบตาไปเห็นร้านขายขนมหวานดูทีแล้วเกรงจะอร่อยมิเบา แม่ค้าเป็นยายแก่ ๆ คนหนึ่งกำลังนั่งยิ้มให้กับผู้ที่เดินผ่านไปมาอยู่อย่างอัธยาศัยดี ข้าเห็นเป็นอดทนอยากลิ้มรสเสียไม่ได้จึงรีบย่ำเท้าเข้าไป

_____ วันนี้ข้าพกเงินพดด้วงมาด้วย ๑๐ สลึง ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าแม่ข้าคิดกระไรอยู่ถึงให้เงินข้ามาเยอะปานนี้ ทั้งที่ปรกติแล้วข้าขอจะมาตลาดเพียงคนเดียวยังมามิได้เสียด้วยซ้ำ

_____ ข้าหยิบเงินพดด้วงในตะเข็บโจงกระเบนมา ๒ สลึงแล้วเดินเข้าไปหายายแก่ขายขนมแล้วเอ่ยทักนาง “สวัสดีจ้ะยาย มิทราบว่าสายนี้ยายมีขนมอันใดบ้างหรือจ๊ะ” ข้ายิ้มทักทายนาง

_____ “ไอ้หนุ่ม ข้าว่าข้าคุ้นหน้าเอ็งอยู่ไม่เบาเทียว เอ็งชื่อเช่ออันใด แล้วอยู่แถบไหนเล่า” นางเอ่ยถามข้า

_____ “ฉันชื่อทัด อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านกาหลงแถบป้อมเพชรน่ะจ้ะ ยายคุ้นหน้าฉันด้วยหรือ”

_____ “เอ็งเป็นลูกนางศรีกับไอ้ทิมอย่างนั้นหรือ”

_____ “จ้ะยาย ฉันเป็นลูกพ่อทิมกับแม่ศรีจ้ะ” ข้าตอบนางไป รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่นางรู้จักข้า ข้าว่าข้าไม่เคยเห็นนางอยู่ที่แถวเรือนของข้าสักครั้งเดียว นางรู้จักข้าได้อย่างไรกัน

_____ “ยายรู้จักพ่อกับแม่ฉันด้วยหรือจ๊ะ”

_____ “ข้านะเป็นคนสนิทของพ่อแม่เอ็งไม่เบาเทียวล่ะไอ้หนุ่มเอ้ย วันนี้เอ็งจะกินอะไรล่ะ มีปากริม ขนมตาล ถั่วแปบ บัวลอยน้ำกะทิ กระทงละเฟื้องแหน่ะไอ้หนุ่ม” ยายบอกกับข้าพร้อมเอานิ้วชี้ไปตามหม้อดินเผาที่บรรจุขนมหลากหลายอยู่เต็มไปหมด ข้าอยากจะซื้อกลับไปฝากพ่อกับแม่เสียนักเชียว แต่คิดว่าพ่อกับแม่คงจะยังไม่กลับจากทำนาเสียกระมัง แต่เมื่อครู่ยายบอกว่าเป็นคนสนิทของพ่อกับแม่ข้า สงสัยเสียว่าข้าจะต้องไปถามแม่เสียหน่อยแล้วเชียว

_____ “เอาถั่วแปบ ๑ กระทง กับบัวลอย ๒ กระทงจ้ะยาย ว่าแต่ฉันนั่งกินที่แผงยายเลยได้ไหมจ๊ะ” ข้าเอ่ยขอนาง เพื่อที่จะซักไซ้นางเรื่องชื่อเสียงเรียงนามหากจะได้ไปคุยกับแม่เสียว่าพบยายคนนี้ที
่ตลาด ด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าจึงรีบโพล่งถามออกไป “ยายชื่ออะไรหรือจ๊ะ เผื่อฉันจะได้ไปบอกกล่าวแม่ฉันว่าเจอยายที่ตลาด”

_____ “ข้าชื่อสม เอาสิ เอ็งจะนั่งกินเสียตรงนี้เสียก็ได้ ข้ามิได้ว่าอันใดดอก ทั้งหมดก็สลึงหนึ่งก็แล้วกัน อีกกระทงหนึ่งข้ายกให้เอ็งฟรี” ข้านึกดีใจนักที่ยายสมคนที่ข้าเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานนั้นใจดีกับข้าเช่นนี้

_____ “อ้อ ข้าฝากของไปยายพ่อกับแม่เอ็งเสียอย่างหนึ่งได้ไหมเล่า ข้าขี้คร้านจะเดินไกลนัก แก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวมันก็ลดถอยลงเป็นธรรมดา เอ็งจะว่าอันใดไหม”

_____ ข้าที่กำลังตักบัวลอยใส่ปากชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองพลางครุ่นคิดในใจว่าหากของนั่นเป็นของต้องห้ามหรือเป็นของที่พระคลังสินค้านั้นจำกัดห้ามมีในครอบครองจักเป็นเสียอย่างไร แม่กับพ่อข้าก็สอนว่าอย่าได้รับอันใดจากคนแปลกหน้าเป็นอันขาดเสียด้วยแล้วสิ

_____ แต่กระนั้นก็เถอะ ถึงแม่จะพูดเช่นนั้นแต่ข้าก็รับบัวลอยที่ยายยกให้ข้ามาแล้วเสียด้วย หากข้าจะไม่นำของนี่ไปให้พ่อและแม่ข้าก็จะดูเป็นการเสียน้ำใจต่อยายมิใช่น้อยเลยเทียว

_____ “ได้จ้ะยาย เดี๋ยวข้าจะเอาของของยายไปให้นะจ๊ะ ยากฝากข้าได้เลย มิต้องเป็นห่วงอันใด” ข้ายิ้ม

_____ “ดีเลย งั้นเอ้า นี่ เอ็งจงอย่าเปิดมันเด็ดขาดเทียวนะไอ้หนุ่ม อย่าริทำตัวเป็นเจ้าในจันทโครพเชียวนะเอ็ง เดี๋ยวจะบรรลัยไม่รู้ตัว” ยายแก่พูดอย่างจริงจังก่อนจะส่งห่อผ้าสีขาบมัดใยกล้วยสานสีน้ำข้าวให้ข้า ข้ารับมันมาแล้วเก็บมันใส่ในตะเข็บโจงกระเบนเสียกันหาย

_____ “ยายมิต้องห่วงดอกจ้ะ ฉันไม่ทำเยี่ยงนั้นเสียหรอก เชื่อใจไอ้ทัดคนนี้ได้เลยเทียว” ข้าพูดกลั้วน้ำเสียงหัวเราะแล้วลุกยืนขึ้นหน้าแผงขายขนมยาย หยิบพดด้วงสลึงหนึ่งให้ยายก่อนจะประนมมือไหว้ยายแล้วเดินออกไปจากหน้าแผง

_____ หลังจากข้าละสายตาจากแผงยายแก่และไม่ได้รับรู้อื่นใดแล้วนั้น ยายแก่ก็กลับหลังย่ำเท้าไปด้านหลังแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับประโยคที่ข้าไม่แม้แต่จะได้ยิน


‘กว่าข้าจะหาตัวท่านเจอนะท่านพระยา’

......................................................................




อภิธานศัพท์
1) โสตถิ เป็นภาษาบาลีมีความหมายเชิงว่าสวัสดี เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีการบัญญัติการทักทายอย่างเป็นทางการ


......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................



คุณ SERiL ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Jun 21 2017, 09:43 PM
Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Jul 1 2017, 12:03 AM
โพสต์ #4


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

"หลังจากยายหายไปร่วมสามเดือน ข้าก็พบยายคนนั้นอีกคราหนึ่ง
และยายก็นำข้าไปสู่โลกที่ข้ามิเคยจะรู้จัก"


- ส่วนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวของกรมพระยามหาเวทชยันต์ -

......................................................................





_____ ข้านำห่อผ้ามัดสีขาวนั่นให้แม่ไปสักสามสี่วันได้แล้วกระมัง ข้าแอบเผยอมันดูเล็กน้อยแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากผงขาว ๆ เต็มไปหมด แต่ทันใดที่ข้านั้นเปิดแง้มห่อผ้านั่นข้าก็ได้ยินเสียงประหลาดอื้ออึงในหู ข้ารู้สึกไม่ปรกติจึงรีบปิดมันกลับไปเช่นเดิมแล้วรีบปรี่ไปบ้านแล้วส่งมอบห่อผ้านั่น
ให้แม่ข้าทันที

_____ หลังจากครานั้นแล้วข้าก็ไม่ได้พบยายคนนั้นอีกเลย ที่ขายขนมหวานของยายกลายเป็นแผงขายปลาไปเสียแล้ว ข้านึกสงสัยจริงเชียวว่ายายคนนั้นคงจะไม่มาขายขนมหวานอีกแล้วกระมัง

๓ เดือนต่อมา

_____ ตลาดริมคูเมืองยังคงเป็นเช่นเดิม หากแต่ในครานี้ข้าเห็นยายคนนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง กริยาท่าทางละมุนละไมและใจดีกับลูกค้าของยายนั้นยังเป็นเช่นเดิม ข้าเห็นกระนั้นแล้วไฉนเล่าข้าจะไม่รีบปรี่เข้าไปหายายคนนั้นแล้วถามไถ่เสียสักหน่อย ว่าเกิดอันใดจึงหายไปเกือบ ๓ เดือน

_____ ระหว่างที่ข้ากำลังเดินเข้าไปหายายนั้น ข้าสังเกตว่ายายแอบเฉตามองมาที่ข้าเล็กน้อยแล้วยกยิ้มมุมปากดูท่าทีคงจะพึงพอใจอันใด
สักอย่าง

_____ “โสตถิจ้ะยาย ฉันไม่เจอะยายเสียนานหลายเดือนเทียว ยายไปไหนมาหรือจ๊ะ” ข้าเอ่ยถามยาย

_____ “ข้ามีกิจประนิดหนึ่งที่จักต้องทำไปนะซีไอ้หนุ่ม เอ็งนี่ผ่านไปสามเดือนโตขึ้นแยะเลยเชียวนา” ยายยิ้มแล้วตักบัวลอยใส่กระทงใบตองมาวางข้างหน้าข้า “เอ้า กินเสีย ถือว่าเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้าเสียก็แล้วกัน ว่าแต่ของที่ข้าให้นำไปให้นางศรีนั่นสำเร็จดีหรือไม่เล่า”

_____ “ขอบคุณจ้ะยาย ห่อผ้านั่นก็ถึงแม่ฉันโดยดีเช่นกัน และฉันก็ไม่ได้เปิดมันดูดอกจ้ะ” ข้าปดไปประนิดหนึ่ง เพราะข้าแค่เพียงเผยอมันดูเพียงเท่านั้นจะเรียกว่าเปิดได้เสียอย่างไรกันเล่า

_____ ข้าตักบัวลอยกะทิใส่ปากพลางมองไปรอบ ๆ ตลาดริมคูเมือง อย่างที่ข้าอธิบายไปตอนต้นนั้น ตลาดริมคูเมืองเป็นตลาดใหญ่ประจำกรุงศรีเลยเทียวก็ว่าได้ เพราะจำนวนพ่อค้าแม่ขายนั้นเสียก็คงจักเกิน ๕๐ เจ้าเสีย แม้แต่ราชสำนักในบางคราก็ส่งนางครัวห้องเครื่องต้นมาซื้อวัตถุดิบจากที่นี่ ก็เช่นเดียวกัน

_____ ยายกำลังขะมักเขม้นอยู่กับขนมอันใดสักอย่างที่ห่อในใบตองอยู่ แลเหมือนข้าจะเห็นแสงสีขาวประหลาดออกมาจากใต้พนักที่ข้ากำลังซดบัวลอยอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าจึงชะโงกหัวไปมอง

_____ แสงไฟประหลาดประกายสีขาวกำลังประทุกันอยู่ในหม้อดินเผาบนเตาไฟของยายอยู่ ส่วนตัวยายนั้นเฉหน้าไปอีกด้านหนึ่งที่มีใบตองวางกันเป็นตับ ยายดูมิได้สนใจใดใดในหม้อดินเผาประหลาดนี่เสียเลย จนข้าต้องเอ่ยทักเกิดเสียมันเป็นอันตรายต่อลูกค้าหรือต่อยายเองเข้าจะเป็นอย่างไร

_____ “ยายจ๊ะ ไอ้ไฟสีขาวในหม้อยายนี่มันจะระเบิดไหมเนี่ยจ๊ะยาย” ข้าพูดออกไป ยายหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วเดินมาที่หม้อดินเผาบนเตาไฟนั่น ตาของยายดูตระหนกประหลาดนัก ข้าเกรงว่ายายจะหาว่าข้าไปยุ่งกับเรื่องที่มิใช่กงการของข้าหรือไม่เชียว

_____ ยายรีบกุลีกุจอเข้าไปที่หม้อดินเผาแล้วขมุบขมิบพึมพำปากเบา ๆ พักไปสักชั่วครู่เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้นแสงนั่นก็หายไปจนสิ้น เหลือเพียงหม้อดินเผาที่ใส่เม็ดบัวลอยอยู่กับน้ำกะทิเท่านั้น

_____ ข้าสะดุ้งไปพักหนึ่งเนื่องจากยังงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เมื่อชั่วครู่นี้ ยายละสายตาและเงยหน้าขึ้นมาจากหม้อ ยกยิ้มบาง ๆ ให้ข้าทำข้ากลัวสักประเดี๋ยวหนึ่งเทียวล่ะ

_____ “ข้าคิดว่าเอ็งควรจะรู้อะไรได้มากกว่านี้เสียแล้วล่ะ อายุเอ็งก็ ๑๗ และสินะไอ้หนุ่ม” ยายพูดแล้วกวักมือให้ข้าเข้าไปในข้างในแผงขายของยาย ก่อนจะควักไม้อะไรบางอย่างออกมาแล้วเอามาให้ข้าดู ไม้มีลักษณะยาวสักศอกหนึ่งลบออกสักครึ่งคืบคงได้ ด้านที่ยายจับเป็นด้านที่มีฐานใหญ่ มีสลักเป็นเหมือนอักขระเขมรที่ข้าเคยพบเห็นตามวัดและตามรั้ววังบ้างในบางครั้ง ลายกระหนกสลักไว้เป็นสัญลักษณ์บนไม้ดูงดงามไม่เบาเทียว

_____ “เอ็งคลับคล้ายคลับคลาว่าเอ็งเคยเห็นมันบ้างไหมล่ะ”

_____ ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นไม้แบบนี้มาก่อนน่าจักครั้งหรือสองครั้ง แม่ข้าเคยหยิบออกมาแล้วก็เก็บมันไป คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนสักข้าอายุได้ ๑๐ ขวบปีเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย

_____ “เคยจ้ะยาย เหมือนแม่ข้าจะเคยหยิบของพรรค์นี้ออกมาให้ข้าดู”

_____ “งั้นเอ็งก็ควรจะมากับข้าเสียไอ้หนุ่ม มีหลากเรื่องที่เอ็งจักต้องรู้ไว้หลังจากนี้” สิ่งที่ยายเอ่ยออกมาทำให้ข้าสงสัยว่ายายกำลังพูดถึงเรื่องอันใดอยู่ การเรียนรู้อย่างนั้นหรือ มีใครจะได้เรียนหนังสือนอกจากราชนิกุลในราชสำนักงั้นหรือ ข้าก็คิดว่าคงไม่มีเสียนี่กระมัง

_____ “ท่านยายหมายความว่ากระไรหรือ สิ่งที่ข้าจักต้องรู้ แล้วมันอันใดกัน ข้าจำเป็นจักต้องเรียนหนังสือด้วยหรือยายจ๋า ข้ามิใช่พวกราชนิกุลนะจ๊ะยาย”

_____ “เอาเถอะ ถึงเอ็งจะมิใช่ราชนิกุลแต่เรื่องพรรค์นี้เอ็งก็ควรเรียนรู้ไว้ คนพิเศษอย่างเอ็งไม่ควรจะปล่อยให้หมดความสามารถไปเฉย ๆ ดอกไอ้หนุ่ม” ยายพูดเรื่องที่ทำให้ข้างุนงงเสียอีกแล้ว ครานี้ก็คนพิเศษ ความสามารถ ข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่าตัวข้าเองนั้นมีความพิเศษอันใด แต่ข้าก็ว่าข้าไม่ได้มีความพิเศษอันใดเสียหน่อย

_____ “เอ็งอย่ามาทำหน้าฉงนนักเลย เดี๋ยวเอ็งก็จักรู้เองในอีกประเดี๋ยวหนึ่ง” ยายพูดแล้วเอื้อมมือมาจับมือข้า หลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็หายไปจากสติของข้าในพลัน

......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................

Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Oct 25 2017, 04:54 PM
โพสต์ #5


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

"เอ็งเป็นผู้สูงศักดิ์มานับแต่เมืองศุกโฃไทยแล้ว ผู้คนที่นี่บ้างก็มาจากศุกโฃไทยเดิมนั่นแล
มิต้องสงสัยไป อีกสักประเดี๋ยวเอ็งก็จักได้รู้เรื่องทุกอย่างเอง"


- ส่วนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวของกรมพระยามหาเวทชยันต์ -

......................................................................



_____ เพลานี้ช่างเงียบเชียบนัก เสียงดุเหว่าหรีดหริ่งเรไรขานร้องสับส่ายกันดังไปทั่วทั้งท้องทุ่ง ข้าตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความฝัน รอบกายข้ามืดสนิทเหลือเกิน มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่รำไรอยู่เท่านั้น แต่เมื่อข้าเพ่งมองดี ๆ แล้วถึงได้รู้ว่า นั่นมิใช่ตะเกียงไฟแต่อย่างใด แลดูจักเป็นลูกไฟที่ลอยอยู่เหนือถาดสังกะสีเสียมากกว่า ข้าค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นด้วยความกลัวว่าสิ่งนั้นจักใช่ผีกระสือหรือไม่
_____ ข้าขยับตัวลุกแล้วหันคอมองไปรอบข้าง มิเห็นอื่นใดนอกจากความว่างเปล่าและความมืดที่รายรอบ พลันนึกถึงช่วงเวลาที่ยายท่านนั้นจับมือข้าแล้วข้าก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
_____ ข้าลุกยืนขึ้นด้วยใจระส่ำระส่าย เดินไปหาดวงไฟดวงนั้นหวังเพียงเป็นแค่ตาข้าที่ฝ้าฝาดเท่านั้น
_____ ทันใดที่ข้าเดินถึงดวงไฟ อยู่ดี ๆ ดวงไฟดวงนั้นก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากถาดสังกะสี เจิดแจ้งขยายรังสีแผ่ไปทั่วทั้งสถานที่ที่ข้าอยู่ จากความมืดมิดแปรเปลี่ยนเป็นความสว่างวาบวามในทันใด สิ่งของรอบตัวข้าเริ่มปรากฏให้เห็น ทั้งกองฟอนที่เรียงกันอยู่ข้างฝา สิ่งที่มีลักษณะเหมือนหม้อกา ให้ ถ้วย ชาม ที่เรียงรายกันรอบ ๆ เต็มไปหมด
_____ ข้ายังตกใจจากสิ่งที่ข้าเห็นมิหาย เงาร่างท้วมสีดำจากฝาบ้านข้างหนึ่งเริ่มเดินเข้ามาหาข้าอย่างช้า ๆ เสียงเดินเนิบนาบทำข้ากลัวจนขนหัวลุกโกร๋น
_____ “ใคร” ข้าเอ่ยถาม
_____ “แกเป็นใคร” ข้าก้าวถอยหลังช้า ๆ ด้วยความหวาดกลัว
_____ เสียงเดินยังเนิบนาบกับพื้นไม้กระดานอย่างไม่หยุดหย่อน ข้ารุดหลังจนสุดฝาบ้าน ไร้ทางจะหนี ไร้ซึ่งประตูและหน้าต่าง ข้าปิดตาสนิท
.
.
.

_____ “ไอ้หนุ่ม เอ็งนี่ช่างเพ้อฝันดีเชียวนะ นี่ข้าเอง เอ็งมิต้องกลัวดอก” เสียงเนิบ ๆ ของยายที่ข้าเห็นอยู่เมื่อเช้าพูดขึ้น ข้าค่อย ๆ เผยอตาที่ละเล็กน้อยดูให้ชัดว่าใช่ยายจริงหรือไม่ เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มชัด ความกลัวข้าก็เริ่มหายไป เนื่องจากรอบห้องนั้นสว่างขึ้นดังตอนตะวันยังมิตกดิน ข้าถอนหายใจแล้วเอ่ยถามยาย
_____ “ท่านยาย มันเกิดอันใดขึ้นกับข้าหรือจ๊ะ” ยายครุ่นคิดสักครู่แล้วตอบข้า
_____ “ถ้าข้าพูดเอ็งอาจจะยังมิเข้าใจ เจ้าเกิดอาการไม่คุ้นชินกับการย้ายเคลื่อนด้วยจิตเท่าใดนัก ไว้เดี๋ยวข้าจักอธิบายให้เอ็งฟัง ตอนนี้เอ็งตามข้ามาก่อนเถิดไอ้หนุ่ม” ยายพูดแล้วอยู่ดี ๆ ยายก็วาบเป็นแสงขาวจากหน้าข้าไปอยู่ที่ฝาอีกฝั่งหนึ่ง ข้าประหลาดใจนัก ยายหัวเราะแล้วสั่งให้ข้าท่องคาถาแล้วยายก็บอกว่าข้าจะสามารถทำได้เช่นนั้น
_____ “สาระวาปะ” ข้าพูดตามที่ยายสอนข้าเมื่อครู่ ทันใดนั้นตัวข้าก็เหมือนโดนอะไรดึงให้ไปข้างหน้า ก่อนจะผ่านตัวยายไป ยายหัวเราะแล้วสั่งให้ข้าพูด
_____ “หยุด” ข้าพูดตามที่ยายบอกก่อนตัวข้าจะหยุดลงที่ประตูประหลาดที่ตั้งอยู่ หลังประตูมิมีอันใด มีแต่ความมืดมิด แต่มีแสงสว่างรำไรปรากฏที่กลางประตู ยายเดินมาข้างหลังข้า จับมือข้าอีกครั้งแล้วพาข้าเดินเข้าไปในประตูประหลาดนั้น
_____ ความรู้สึกเดิมตอนข้ามาจากตลาดกลับมาอีกครั้ง รู้สึกคลื่นในท้องพิกล หัวข้าเริ่มตืดตันเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ แต่สักพักแสงสว่างก็เริ่มปรากฏต่อสายตาข้า เป็นเหมือนซอยขนาดย่อมมีผู้คนเดินเรียงรายกันมากมาย เรือนมากมายตั้งอยู่เรียงรายไปตามถนนที่ปูด้วยหินสีขาวเรียงราย ทั้งที่ตะวันนั้นตกดินไปแล้วแต่สถานที่แห่งนี้ดูจะเต็มไปด้วยแสงไฟมากมาย สว่างไสว ผู้คนเดินไปเดินมา พลางแวะเข้าร้านนั้นร้านนี้ไปทั่ว
_____ “ยายจ๊ะ ที่นี่ที่ไหนหรือ ทำไมคนช่างพลุกพล่านนักเล่ายาย” ข้าเอ่ยถามด้วยอารามสงสัย
_____ “ไหนเล่าที่นี่ตะวันมิได้ตกดินหรอกหรือ จึงสว่างโล่งนัก”
_____ ข้าพูดไปเรื่อยเปื่อย ยายก็มิได้ขัดอันใดข้า จนเดินมาถึงเรือนใต้ถุนสูงลักษณะคลับคล้ายเรือนข้านัก ข้าเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวเรือน ทั้งชานเรือน บนเรือน รวมทั้งใต้ถุน ดูเช่นไรมันก็คือเรือนของข้าแน่ ๆ เลยเทียว
_____ “ยายจ๊ะ นี่เรือนข้ามิใช่หรือ ไหนเล่าจึงมาอยู่ตรงนี้ได้เล่ายาย”
_____ “เดี๋ยวเอ็งขึ้นเรือนไปเอ็งก็จะรู้เองไอ้หนุ่ม ตามข้าขึ้นเรือนมาสิ” ยายเรียกข้าขึ้นไป
_____ พอข้าขึ้นไปบนเรือนแล้ว ของใช้บนเรือน เตา หม้อหุง สารพัดอย่างก็ช่างคล้ายที่บ้านข้าเสียเหลือเกิน ข้าสังเกตหน้ายาย ยายยิ้มอย่างมีความสุขแล้วเดินไปที่หน้าประตูเรือน
_____ “อ้าว พี่หง่า มาแล้วรึ รีบเข้ามาสิจ๊ะ พาไอ้ทัดมาแล้วหรือ รีบเข้ามาสิ เรากำลังรอพี่กันอยู่เทียว” เสียงแม่ข้าแน่ ๆ แล้วแม่ข้ามิได้อยู่ที่บ้านหรอกหรือ แล้วทำไมแม่ข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้
_____ ยายเดินนำข้าเข้าไปในเรือน ข้าเดินตามเข้าไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยนั่งเรียงรายกันอยู่รอบ ๆ บ้างใส่โจมอก บ้างนุ่งขาวห่มขาว ส่วนพ่อและแม่ของข้านั่งอยู่ตรงกลางโถงเรือนนั้น พลางจ้องมองมาที่ข้าอย่างไม่ลดละสายตาลงเลยสักผู้เดียวข้าเดินกล้า ๆ กลัว ๆ ตามยายไปแล้วนั่งลงที่ตรงกลางเรือน เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นในทันทีที่ข้านั่งลง ผู้คนรอบข้างข้าคุยอันใดกันเสียดัง แต่ข้ามิยักจะได้ยินออกเป็นศัพท์เสียเลย
_____ “เอาล่ะ พวกเอ็งเงียบหยุดเสวนาจิปาถะกันเสียก่อน นี่คืออดีตพระยาเวชาแห่งศุกโฃไทย ไหนเล่าพวกเอ็งจึงไม่แสดงความเคารพก่อนเสียที่จะคุยอะไรเรื่อยเปื่อยรึ” ยายพูดอะไรที่ข้าฉงนนัก พระยาเวชา ศุกโฃไทย อันใดกันที่ยายพูดออกมา ทันใดนั้นทุกคนในโถงเรือนก็ยกมือประนม ก่อนจะทำท่าเช่นถวายบังคมข้า ข้าชงักก้าวถอยหลังแล้วทำหน้างวยงงกับภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าข้า ผู้คนในโถงเรือนถวายบังคมข้าถึงสามครั้งก่อนจะหมอบแทบกับพื้นสร้างความฉงนให้ข้าเพิ่ มมากไปอีกหลายเท่าตัว
_____ “มิต้องกังวลไปไอ้หนุ่ม เอ็งเป็นผู้สูงศักดิ์มานับแต่เมืองศุกโฃไทยแล้ว ผู้คนที่นี่บ้างก็มาจากศุกโฃไทยเดิมนั่นแล มิต้องสงสัยไป อีกสักประเดี๋ยวเอ็งก็จักได้รู้เรื่องทุกอย่างเอง”



อภิธานศัพท์
1) ศุกโฃไทย เป็นการสะกดรูปเก่าของกรุงสุโขทัยอย่างที่เขียนในปัจจุบัน


......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................

Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Oct 29 2017, 04:24 PM
โพสต์ #6


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

รูปปั้นปูนสีขาวใส่ชุดดูหรูหราอลังการนั่นมีลักษณะเป็นผู้ชายร่างสูง
ข้าตั้งใจมองดี ๆ ก็พบว่ามันเป็นใบหน้าของข้าเป็นแน่แท้


- ส่วนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวของกรมพระยามหาเวทชยันต์ -

......................................................................



_____ ข้าสับสนนักกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเพลานี้ อันใดคือศุกโฃไทย อันใดคือหลายคนในที่แห่งนี้มาจากศุกโฃไทย ศุกโฃไทยเป็นเมืองอย่างนั้นหรือ แล้วผู้สูงศักดิ์ที่ยายพูดหมายถึงอันใด ข้าเนี่ยรึผู้สูงศักดิ์ บ้านข้าก็เป็นเพียงเรือนไม้หลังย่อมริมน้ำเพียงเท่านั้น จักเป็นผู้สูงศักดิ์ไปได้อย่างไรกันเทียว เชื้อเจ้าหรือก็คงมิใช่ มิเห็นมีญาติข้าคนไหนเคยบอกข้าสักคำว่าข้ามีเชื้อเจ้า แล้วเช่นนั้นที่ยายกำลังพูดถึงมันคืออันใดกันแน่เล่า
_____“ดูท่าให้ทัดจะเริ่มปวดกะบาลเสียแล้วล่ะพี่หงบ อธิบายให้มันฟังเสียเถิดก่อนมันจักเตลิดวิ่งแล่นหนีไปจากเรือนเสียก่อน” เสียงแม่ข้าพูดขึ้นปนเสียงขบขันในลำคอ ข้าหันหน้าไปทางแม่ข้าแล้วยักคิ้วหลิ่วตาเป็นเชิงว่าเมื่อใดทุกอย่างจักกระจ่างสักที
_____ ทันใดนั้นยายก็เดินนำข้าไปข้างหน้า หันหลังมากวักมือเรียกข้าเป็นเชิงให้เดินตามไป ข้าเดินตามยายไป ผู้คนที่กำลังนั่งอยู่ขวางบ้างไม่ขวางบ้างก็เริ่มกระเถิบออกจากทางที่ข้าเดิน เสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อข้าพ้นจากพวกเขาไป
_____ ยายนำข้าไปยังห้องห้องหนึ่งในบ้านข้า ข้าฉงนนักไยเวลาที่ข้าอยู่บ้านปกติข้าไม่ยักจักเห็นห้องห้องนี้เลย หรือนี่มันมิใช่บ้านข้ากันแน่ ประตูห้องประหลาดนั่นถูกเปิดออก ส่งเสียงครืดไปทั่วทั้งเรือน ถึงแม้จักไม่ไกลจากกลุ่มคนนั้นนักแต่บรรยากาศเงียบเชียบกลับมาอีกครา แม้มีแสงสว่างรายล้อมไปทั่วแต่บรรยากาศก็ช่างวังเวงนัก
_____ ข้าเดินตามยายเข้าไปในห้องประหลาดนั่น สภาพห้องภายในดูโอ่โถงเหลือเกิน ทั้งที่เรือนข้าเป็นเรือนเล็ก ไม่มีทางจักมีห้องใหญ่เท่านี้เป็นแน่ ทันใดนั้นข้าก็คิดขึ้นได้ว่าคนที่ข้าพบเห็นอาจจะเป็นภูตผีหรือวิญญาณร้าย สารพัดความคิดต่าง ๆ นา ๆ ผุดเข้ามาในหัวของข้า ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ข้ามองยายเดินไปที่ตั่งไม้ฉลุที่ด้านบนมีโอ่งหรือไหอันใดสักอย่างวางไว้อยู่ ข้ารำพึงรำพันในหัวอย่างอดสู ‘ไอ้ทัดเอ้ย เอ็งไม่รอดแล้ว ต้องเป็นผีแน่ ๆ มิฉะนั้นสถานการณ์ประหลาดแบบนี้จักเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไรกันเล่า’ ทันใดนั้นยายก็เปิดผ้าสักหลาดที่คลุมอ่างไม้ออก อ่างนั่นมีแสงเรืองรองผิดกับในความคิดข้าที่คิดว่าเมื่อเปิดผ้าสักหลาดแดงนั่นออกแล้
วจะมีภูตผีวิญญาณร่างดำพุ่งออกมาแล้วมากัดกินข้าให้เป็นเหยื่อของพวกมันแน่ ๆ เลยเทียว
_____ “ไอ้หนุ่ม เอ็งเลิกเพ้อเจ้อเสียที ข้าชักจักรำคาญเอ็งแล้วนะ” ยายหันมามองข้าแล้วพูด ข้าสะดุ้งสุดตัวแล้วเอามือลูบที่หน้าอกเบาแล้วยิ้มไม่สู้ดีเท่าใดนักให้ยายไป
_____ “ผงผีอะไรกัน เอ็งนี่ชักเลอะเทอะ แล้วแบบนี้เอ็งจักมาเป็นผู้นำคนเขาได้ไหมฮะไอ้ทัดเอ้ย เอ้า เลิกเพ้อเจ้อแล้วมานี่ เดินมาข้าตรงนี้เร็ว ๆ เข้า” ยายเร่งให้ข้าที่ยังยืนอยู่หน้าประตูเข้าไปหา ข้าสลัดความคิดประหลาดนั่นออกไปทันทีแล้วเดินไปที่ตั่งไม้ฉลุนั่น อ่างไม้ที่ยายดึงผ้าสักหลาดแดงออกมาแล้วมีน้ำสีใสบรรจุอยู่ แสงแวววาววิบวับเรืองรองไปทั่วทั้งอ่าง ข้าชะโงกหน้าไปดูให้ชัด ๆ ก็เห็นเป็นน้ำธรรมดาไม่ได้มีอะไรแปลก ยายคงเห็นว่าข้อสงสัยจึงเอ่ยปากอธิบายให้ข้าฟังอย่างสั้น ๆ
_____ “เอ็งเอานิ้วมือขวาเอ็งแตะน้ำนั่นแล้วมาป้ายตาเอ็งซะ เดี๋ยวทุกอย่างจะออกมาให้เอ็งเห็นเองนั่นแล เอ้า ชักช้าอยู่ไยเล่า เร็วสิ ประเดี๋ยวมิได้ทำอย่างอื่นต่อกันพอดี” ยายชี้นิ้วไปที่อ่างน้ำ ข้าเมื่อฟังยายกล่าวให้ฟังแล้วก็เอานิ้วชี้ขวาแตะน้ำในอ่างไม้นั่นมาป้ายที่ตาข้าทั้
งสองข้าง
_____ “เอ้า เอ็งหลับตาซะ ไม่ต้องกลัวไป”
.
.

_____ความมืดตอนที่ข้าหลับตาลงไปเริ่มประหลาดไปทุกที เหมือนแสงสว่างกำลังพุ่งเข้าสู่ตาข้าแม้ข้าจะไม่ได้ลืมตา แสงนั่นจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนสว่างไปทั่ว สักพักข้ารู้สึกเหมือนข้าหลุดเข้าไปในภวังค์ของตัวเอง ข้าหันหน้ามองไปรอบตัวด้วยความตื่นกลัว รอบตัวข้าเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปทั่ว พักหนึ่งก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของข้าจนทำข้าขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
_____“กราบถวายบังคมท่านพระยา”
_____ ข้ามองไปรอบตัว ไม่มีผู้ใดเดินมาคุยกับข้า หรือพูดกับข้า เสี้ยวเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งหากมีผู้ใดมาพูดอันใดกับข้าคงไม่สามารถที่จะวิ่งเร็วเป็น
ลมไปขนาดนั้นเป็นแน่
_____ “มิต้องมองหาข้าไปหรอก ท่านไม่มีทางมองเห็นข้าเป็นแน่ ตอนนี้ท่านอาจจะมิเข้าใจอันใดดีนัก แต่อีกสักประเดี๋ยวท่านก็คงทราบเรื่องต่าง ๆ ของตำแหน่งที่ท่านจะก้าวขึ้นไปเป็นในอนาคตเอง เอาล่ะ ไม่ทราบว่าท่านเห็นเจดีย์ทองด้านหน้านั่นหรือไม่ เดินไปทางเจดีย์นั่นแล้วเดินเข้าไปสิ” เสียงนั่นบอกข้า ไม่ทันไร ขาของข้าก็ก้าวตรงไปที่เจดีย์ทององค์ใหญ่นั่น ว่าอย่างนั้นแล้วข้าก็มิยักเคยเห็นเจดีย์แบบนี้สักครั้งหนึ่ง
_____เจดีย์ทององค์ใหญ่รูปทรงฐานสี่เหลี่ยมกลีบบัวรับเจดีย์ทรงลังกาคล้ายกับเจดีย์ที่ข้า
เห็นในเกาะเมืองตรงหน้าข้าสูงลิ่วแทบเทียบฟ้า มีบันไดรอบสี่ทิศขึ้นไปด้านบน ปลายยอดมีฉัตรสีทองส่องแสงประกายวิบวับแผ่ขจายไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ ข้าเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ราวบันไดนาคลงสีเขียวแวมวับจนข้ามิอาจจะพรรณนาความงามได้ ให้ข้านึกถึงเจดีย์ในเกาะเมืองก็มิงามเทียบเทียมเจดีย์ทององค์นี้เป็นแน่
_____ เมื่อข้าเดินจนสุดบันได ประตูบานใหญ่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้าข้า มีพระทวารบารเท่าที่ข้ารู้ว่ามันจะมีประดับอยู่ตามประตูวังอยู่ แต่พระทวารบารนั่นมิได้ถือหอกถือดาบ แต่กลับถือไม้เรียวยาวขนาดเท่าตั้งแต่ศอกถึงปลายมือหันเข้าหากลางประตู
_____ สักพักหนึ่ง แสงปลายไม้เรียวยาวที่เป็นภาพวาดอยู่บนประตูก็ส่องสว่างวาบขึ้นมา ประตูไม้เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบหูก่อนจะค่อย ๆ แง้มออกจากกันและเปิดเข้าไปด้านใน
_____ ทันทีที่ประตูเปิดออกไป ห้องโถงโอ่อ่าสว่างไสวปรากฏต่อสายตาของข้า ความงดงามเช่นนี้ข้ามิเคยพบเห็นมาก่อนสักครั้งในชีวิต พื้นปูด้วยผ้าแดงสักหลาดช่างนุ่มเหลือเกิน ยามที่ข้าเหยียบย่างเท้าของข้าลงไปก็รู้สึกถึงความนุ่มของพื้น รอบห้องโถงผนังสีแดงประดับด้วยลายกระหนกสีทองประดับประดาไปทั่ว กลางห้องโถงเป็นรูปปั้นคนผู้หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ แสงวิบวับของเครื่องทองสัมผัสกับแสงไฟจากคบที่ปักอยู่รอบ ๆ ห้องโถง ข้าเดินไปรอบ ๆ ห้องโถงนั่นอย่างสนอกสนใจ เครื่องมือเครื่องใช้สารพัดที่ข้าไม่เคยเห็น
_____ “เหมือนท่านจักสนใจแต่สิ่งของนะ มิสนใจรูปปั้นกลางโถงนี้เสียหน่อยรึ” เสียงประหลาดนั่นดังขึ้นอีกรอบทำให้ข้าต้องเงยหน้าจากสิ่งที่ข้ากำลังมองอยู่ขึ้นไปม
องยังรูปปั้นนั่น รูปปั้นปูนสีขาวใส่ชุดดูหรูหราอลังการนั่นมีลักษณะเป็นผู้ชายร่างสูง ข้าสะดุดตากับใบหน้าของเขานัก ข้าคิดว่าข้ามองไม่ผิด และตาข้าคงไม่ได้ฝ้าฟางจนกระทั่งว่ามองรูปปั้นนั่นเห็นเป็นหน้าของข้าเองเสียแล้ว
_____ “อันใดกัน” ข้าผงะเมื่อหน้าของรูปปั้นนั่นเป็นรูปของข้าเป็นแน่ ข้ายังจำใบหน้าของตนเองตอนเห็นใบหน้าที่สะท้อนจากโอ่งน้ำได้ดี ยังไงก็ไม่ใช่ใบหน้าคนอื่นนอกจากข้า ถึงแม้ว่าจะมิเหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว แต่โครงหน้ารูปปั้นเช่นใดก็เป็นหน้าของข้าแน่นอน
_____ เหตุใดรูปปั้นนี่ถึงมีหน้าตาเช่นข้า สองสามวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องให้ข้าประหลาดใจนับสิบเรื่องได้เสียแล้วกระมัง หรืออยู่ในช่วงที่ดวงข้าตกกันแน่เล่า ข้าเจออะไรประหลาดเยอะเหลือเกิน เยอะจนข้าจักเอียนตายได้เสียแล้ว ข้านึกอย่างไรก็นึกมิออกว่าจะมีคนหน้าเหมือนข้าเสียกี่คนคนเทียว หรือว่าข้าจะได้เป็นใหญ่ตอนข้าอายุมากกันนะ แล้วข้าก็ตายไปจึงมีคนสร้างรูปปั้นไว้ให้ข้าหลังจากที่ข้าตายเป็นอนุสรณ์
_____ “ก็อย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ แต่นั่นเป็นตอนที่ท่านยังมิได้มาเป็นเด็กตัวเท่านี้ดอกนะ เดี๋ยวข้าจักเล่าเรื่องให้ท่านฟังเอง”



......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................

Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Nov 11 2017, 01:25 AM
โพสต์ #7


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

เอ็งต้องไปที่โน่นภายในวันมะเรื่องนี้ เอาเถิด กลับเรือนเอ็งแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเสีย


- จารึกประวัติศาสตร์วัดตระพัง -

......................................................................



_____ บางทีข้าก็ชักจะกลัวว่าสีหน้าข้าแสดงโจ่งแจ้งจนเกินไป ผู้คนรอบข้างข้าเหมือนจักรู้ว่าคิดอันใดไปเสียหมด แม้กระทั่งเสียงน่ากลัวนี่ก็ตามที
_____ “อดีตกาล ท่านคือพ่อขุนเวทการ ผู้คุ้มครองเหล่าผู้วิเศษชาวศุกโฃไทยนับแต่พ่อขุนศรีนามนำถุมยังมิขึ้นเป็นพ่อเจ้า แห่งเมืองศุกโฃไทย แลหลังจากขอมสบาดโขลญลำพงเข้ายึดเมืองนาวนำถุม ท่านก็ได้เป็นทัพหน้าด้านการไสยคุณทั้งขาวแลดำเข้าประจัญกับขอมพร้อมกับกองทัพอปุคละ
ของพ่อขุนผาเมือง และพ่อขุนบางกลางหาวจนเกิดอาณาจักรศุกโฃไทยขึ้นมา อ้อ ตอนนี้ท่านกำลังยืนอยู่ในพระสุพรรณเจดีย์รักษาเกียรติคุณของทัพไสยในครานั้น และอยู่ในแผ่นดินพระยาเลอไทย พระบุตรแห่งพ่อขุนรามคำแหง
_____ “ท่านอาจจักสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงมา ณ ที่แห่งนี้” เสียงประหลาดกล่าวแล้วหยุดไปสักพักหนึ่ง
_____“เหตุนั่นเป็นเพราะท่านนั้นได้จุติจากยามะสวรรค์จากคำสั่งพระอินทราชาให้มาเป็นผู้ปก
ครองเหล่าบรรดาผู้วิเศษแถบสุวรรณภูมิทวีปอีกคราหนึ่ง ท่านจึงจุติมาเกิดใต้บรมโพธิสมภารพระนารายณ์อวตารที่กรุงศรีนั่นเถิดเล่าท่านพระยา” เสียงประหลาดอธิบายเนิบช้าแต่กึกก้องกังสดาลอยู่ในโถงเจดีย์ทองนั่น เสียงนั่นดูทรงพลังนักจนข้าขนลุกซู่ไปเสียแทบทั้งตัวเทียว
_____“เป็นแน่แท้เมื่อท่านจุติมาเกิดใหม่ก็ท่านก็มิได้มีฤทธานุภาพดังเช่นอดีตกาล เหตุที่ท่านกลับมายังศุกโฃไทยนั้นก็มิใช่อื่นใด ท่านกลับมาเพื่อร่ำเรียนการไสยขาวที่นี่กับปรมาจารย์ผู้รู้ไสยขาวมากมายที่ยังรวมตัว
กันอยู่ที่วัดตระพัง”
_____ “ท่านเสียงประหลาด ที่ท่านกล่าวมาทั้งสิ้นนั่นแสดงว่าในภาคอนาคตข้าจักกลายเป็นผู้นำกลุ่มไสยขาวอีกครา กระนั้นรึ” ข้าเอ่ยถามเสียงประหลาดด้วยความรู้สึกคลาบแคลงในอกนัก
_____ “ว่าเช่นนั้นก็มิผิด แต่อย่างที่ข้าได้กล่าว ท่านยังต้องเรียนรู้อีกมาก ใช้เวลามินานนักหรอก 6 ปีเพียงเท่านั้นแหละ ท่านพระยา”
_____“หกปีเชียวหรือ ไหนเล่าจึงนานเช่นนั้น แล้วถ้าเช่นนั้นข้าจักได้พบกับพ่อแม่ข้าอีกหรือไม่” ข้าไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลกับ ๖ปีที่จักต้องเล่าเรียนแม้แต่น้อย ดีเสียอีกข้าจักได้มิต้องเดินร่อนไปร่อนมาหาปลาหาข้าวตามนอกทุ่งไปวัน ๆ เหมือนปกติที่เคยทำเป็นประจำตั้งแต่ข้าอายุย่าง ๗ ขวบปี แต่สิ่งที่ข้ากังวลคือข้ากลัวจักมิได้พบเจอกับพ่อและแม่ข้าอีก
_____ “แน่นอนท่านพระยา เมื่อท่านศึกษาไสยขาวจากสำนักวัดตระพังสำเร็จ ท่านก็จักได้กลับสู่พระนครแล้วกระทำการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้คุมผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งห
มดของพระอาณาจักรเสีย นั่นแลคือหน้าที่อันใหญ่ยิ่งของท่านในอนาคตเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาเสียทั้งหมดแล้ว ท่านพระยา” เสียงประหลาดนั่นกล่าวถึงหน้าที่ของข้า การควบคุมผู้สามารถใช้เวทมนตร์ในอาณาจักร ข้ารู้สึกว่ามันช่างใหญ่โตเกินตัวข้าเสียจริง ๆ เทียว
_____“จริงอยู่ที่มันช่างใหญ่หลวงนักแลท่านพระยา แต่ด้วยท่านเป็นผู้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจักต้องดำรงตำแหน่งนี้ เอาเถิด การศึกษาของท่านมิได้เริ่มในเร็ววันนี้หรอก แต่ก็คงไม่ไกลจากวันนี้มากนัก อาจสักมะรืนหรือมะเรื่องนี้ ท่านกลับไปยังพระนครแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเถิด” สิ้นเสียงประหลาดนั่น รอบกายข้าก็พลันดับวูบลง
.
.

_____ข้ากลับมาที่เรือนเดิมอีกครั้ง ยายยังยืนอยู่ข้าง ๆ ข้า เช่นเดียวกับที่ตอนข้าไป ข้ามองไปรอบ ๆ จึงรู้ว่าข้ามิได้เพ้อเจ้อแต่ข้าได้กลับมาที่เรือนข้าที่อยู่ในที่ใดสักแห่งแล้วจริง ๆ
_____“เอ็งคงจักพอรู้แล้วคร่าว ๆ กำหนดการณ์ของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าวัดตระพังให้ข้ามาว่าเอ็งต้องไปที่โน่นภายในวันมะเรื่อง
นี้ เอาเถิด กลับเรือนเอ็งแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเสีย” ยายตัดบทแล้วเดินออกไปจากห้องนั่นเสีย ข้าเดินตามออกไป หลังข้าออกประตูก็ปิดดังปัง แล้วประตูนั่นก็ค่อย ๆ อันตรธานหายไปจากสายตาข้าช้า ๆ จนข้าขนลุกเกรียว
_____ ผู้คนมากมายยังคงนั่งอยู่พร้อมสนทนากันจ้อกแจ้กแต่จับความมิได้นัก ข้าเดินตรงไปหาพ่อแม่และนั่งลงเบื้องหน้า มิทันข้าได้พูดอันใดแม่ข้าก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน
_____ “ตอนข้ารู้ว่าเอ็งเป็นคนใหญ่คนโตของพวกเราแม่ก็ประหลาดใจเหมือนเอ็งนั่นแหละ พ่อเอ็งก็รีบไปถามยายหงบเลยนะว่าจริงไหม จนถึงวันที่เอ็งเอาห่อผ้าขาวใส่อัฐิเอ็งเมื่อปางก่อนมาให้น่านแหละแม่ถึงได้รู้อย่าง
ชัดแจ้งว่าเอ็งมีภาระหนักนักอยู่” แม่พูดพลางลูบหัวข้าเบา
_____ “วันมะเรื่องนี้เอ็งก็ต้องจากพวกข้าไป ๖ ปี แต่มิเป็นไร การเดินทางไปศุกโฃไทยมิได้สาหัสสากรรเท่าใดนัก ว่างเว้นจากทำนาทำไร่แล้วพวกข้าจะไปเยี่ยมเอ็งบ่อย ๆ” พ่อข้าพูด
_____“เอาเถิด วันมะเรื่องใช่ว่าจะยาวนานเสียเมื่อไรกัน รีบไปเถอะแม่ เตรียมข้าวเตรียมของให้ลูกเถิด” พ่อข้าลุกขึ้น ตามด้วยข้าและแม่ข้า เอ่ยลาสารพัดบุคคลที่นั่งอยู่ที่ชานเรือนแล้วลงเรือนไป


_____ ข้ากลับมาที่เรือนจริงของข้าที่ไม่ใช่เรือนปลอมที่ข้าเพิ่งจะกลับมา เตรียมเสื้อผ้าข้าวของเสร็จสรรพใส่ไว้ในหีบที่จักขนไปพร้อมเกวียนขึ้นเหนือ ไปศุกโฃไทย

_____วันมะเรื่องมิได้นานอย่างที่คิด ตอนนี้ข้ายืนอยู่หน้าเกวียนเทียมวัวที่จะพาข้าเดินทางไปศุกโฃไทยพร้อมกับยายคนเดิม ที่เหมือนจักตามข้าไปทุกแห่ง
_____“เดินทางปลอดภัยนะลูกนะ ๖ ปีแล้วรีบกลับมาหาข้ากับพ่อเอ็งนะไอ้ทัด” แม่กับพ่อกอดข้าพร้อมพร่ำถ้อยคำอำลาต่าง ๆ นานา ข้าขึ้นเกวียนไปพร้อมกับยาย เริ่มเรียนรู้สารพัดวิชาจากยายในเบื้องต้น
_____ เกวียนวิ่งไปข้างหน้าตามเส้นทาง ขรุขระบ้างเรียบบ้างเหมือนกับชีวิตข้าที่จะต้องพบพานในไม่ช้านี้



......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................

Go to the top of the page
+Quote Post
Armeliq Vyernt S...
โพสต์ Nov 12 2017, 03:15 PM
โพสต์ #8


อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถา

******




กลุ่ม : ศาสตราจารย์
โพสต์ : 1,672
เข้าร่วม : 25-February 17
จาก : 2017 :)
หมายเลขสมาชิก : 30,367
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ฮาเซล | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: ดัดโค้งงอเล็กน้อย

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์







.
.
.

ชีวิตเป็นสิ่งมิจีรังมิยั่งยืนดังคำพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แต่เบื้องพระพุทธกาล มีเกิดมีแก้มีเจ็บมีตายเวียนว่ายกันเป็นวัฏจักร ข้าก็คงยากที่จักรอดพ้นวัฏจักรนั้นไปได้


- ส่วนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวของกรมพระยามหาเวทชยันต์ -

......................................................................



๑๐ ปี ผ่านไป

_____ย้อนถึงความหลัง ๔ ปีที่แล้ว ข้าสำเร็จการศึกษาจากวัดตระพังด้วยความทุลักทุเล วิชาการความรู้มากมายไหลพรั่งพรูเข้าสู่หัวข้าอย่างมิหยุดมิหย่อน แปลงร่างอยย่างโน้น เสกอย่างนี้ ยานั่นยานี้ ไสยดำไสยขาวสารพัด แต่ด้วยการเป็นนักเรียนเพียงแค่ ๑ ใน ๒ คนของสำนักการเรียนจึงไปได้รวดเร็วและไม่มีอะไรติดขัด เพื่อนอีกคนของข้าชื่อว่าแม่แช่ม ตอนนี้ก็เลื่อนสถานะจากเพื่อนกลายเป็นแม่บ้านขี้จุกจิกของข้าไปเสียแล้วเทียว
_____ไม่นานเท่าใดนักหลังจากข้ากลับมาจากสำนักวัดตระพัง ยายหงบ หรือยายที่คอยดูแลข้าตอนเรียนก็ลาลับจากโลกนี้ไปด้วยอายุอานามที่ข้าเพิ่งมารู้จาก พ่อและแม่ข้าว่ายายนั้นอายุถึง ๒๐๘ ปีเลยเทียว พ่อและแม่ข้าเล่าว่ายายรอการมาเกิดของข้านานจนอายุอานามมากเสียขนาดนี้เลยเสียด้วย
_____ ข้ากลับมาจากสำนักวัดตระพังได้ ๓ ปี กองเวทมนตร์สมัยจักพรรดิชิงเจ้าเฉิงฮว่าได้ส่งสาส์นเตือนถึงเรื่องการใช้ไสยขาวในทาง
ที่ไม่ดีในพระอาณาจักรอโยธยานี้ซึ่งการใช้ไสยเวทย์ไปในทางที่ผิดนั้นมีมาแต่นมนาน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของการปกครองของเหล่าอปุคละทำให้พวกใช้ไสยในทางอวิชานั้น เพิ่มขึ้นนัก เยายหงบในตอนที่ยังไม่ลาจากโลกนี้ไปเมื่อได้เห็นสาส์นนี่ก็ก่นด่าอย่างหัวเสีย มิทันไรยายหงบก็ได้ให้ข้าหาทำเลดี ๆ และฤกษ์ยามอันเหมาะควรต่อการตั้งโรงสำหรับคุมผู้วิเศษในอาณาจักร เพ่งญาณไปไม่น้อยก็พบที่ดินโล่งว่างที่ทุ่งเลน ห่างจากเกาะเมืองเพียง ๑ โยชน์กับอีก ๕๐ เส้นเท่านั้น ไม่รีรออะไรยายก็หาแขกพราหมณ์พร้อมพระมาตั้งเสาหลักแล้วก็รวบรวมผู้วิเศษที่มีไสยขาว เด่นด้านการก่อสร้างช่วยออกแบบแลสร้างอาคารทรงปราสาทดูแล้วคล้ายกับ พระที่นั่งสรรเพชญในพระราชวังเรียงต่อกันเป็นแนวยาวตั้งตระหง่านอยู่กลาง ทุ่งบางเลนเด่นเป็นสง่า
_____เมื่อสร้างเสร็จก็ส่งสาส์นเชิญผู้ใช้ไสยขาวทั้งอาณาจักรร่วมพิธีบวงสรวงพร้อมกับ ส่งเทียบเชิญไสยทูตจากจีนมาเพื่อรับทราบแก่การก่อตั้ง ‘สภาการเวทมนตร์แห่งพระราชอาณาจักรอโยธยา’ ให้ควบคุมผู้วิเศษชาวอโยธยารวมถึงอาณาจักรใกล้เคียงสืบไป
_____ เมื่อก่อตั้งสภาเสร็จมินานนัก เพียงแค่ ๒-๓ เดือนเห็นจะได้เมื่องานทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยเหมาะแก่การใช้งานแล้ว ข้าก็ได้รับการแต่งตั้งจากผู้อาวุโสทั้งหลายให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น ‘พระยามหาเวทชยันตร์’ เป็นผู้ดูแลแลคุ้มครองผู้วิเศษ รวมถึงสร้างกำลังแลพัฒนาสภาการเวทมนตร์ให้จำเริญเทียบเท่ากับอาณารัฐ นอกพระราชอาณาจักร ไม่นานนักเบื้องบาทพระบรมไตโลกนาถผ่านเผ้าพิภพกรุงศรีอยุธยาได้เห็นความดีความชอบของ
ข้าในด้านการปกครองผู้วิเศษชาวอโยธยาจึงพระราชทานทรงกรมให้ข้าเป็น 'กรมพระยามหาเวทชยันตร์' นั่นนับเป็นเกียรติที่คนอย่างข้าจะพานพบมันได้ยากเสียเหลือเกิน
.
.

_____ วันเวลานั้นผ่านไปไวนักยิ่งนัก ผู้คนมากมายหลายหน้าหลายตาก็ลาลับโลกไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของตัวข้า เยี่ยงนั้นแลชีวิตเป็นสิ่งมิจีรังมิยั่งยืนดังคำพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แต่ เบื้องพระพุทธกาล มีเกิดมีแก้มีเจ็บมีตายเวียนว่ายกันเป็นวัฏจักร ข้าก็คงยากที่จักรอดพ้นวัฏจักรนั้นไปได้ ยามนี้ข้าก็อายุเสีย ๒๗ ปี เสียแล้ว อีกมินานเท่าใดก็คงต้องถึงคราวข้าที่ต้องลาจากโลกนี้ไป ข้าก็หวังว่าในช่วงที่ข้ายังดำรงตำแหน่งเป็นนายสภาอยู่ ข้าจักทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสภาเวทมนตร์แห่งนี้ เพื่อสืบสานงานการเวทมนตร์เหล่านี้ให้คงอยู่ไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานชาวอโยธยาหรือ พระอาณาจักรอื่นใดในแผ่นดินนี้ในภายภาคหน้า และข้าเชื่อว่าสภาการเวทมนตร์แห่งพระราชอาณาจักรอโยธยาจักต้อง จำเริญรุดหน้าเทียมเทียบกับนานารัฐอย่างแท้จริง...


----------จบบริบูรณ์----------



* การนำพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทมาเรียงต่อกันให้นึกภาพถึงพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน
* ๑ โยชน์ ๕๐ เส้น คือ ๑๘ กิโลเมตร ปัจจุบันสันนิษฐานว่าอยู่แถวพระราชวังบางปะอิน

......................................................................


วิจารณ์ผลงาน

......................................................................


Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 27th September 2024 - 10:55 AM