IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Closed TopicStart new topic
> Percy Jackson & The Olympians : Life after dead of 7 heroes, ประเภท : แฟนฟคเรื่องยาว
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 1 2013, 02:03 PM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์










ห้องนี้เป็น ห้องแสดงผลงาน มีไว้สำหรับเจ้าของกระทู้โพสเท่านั้น! หากต้องการแสดงความคิดเห็นหรือติชมแฟนฟิค
เรื่อง Percy Jackson ; Life After Dead of 7 Heroes เชิญได้ที่ ห้องวิจารณ์ผลงาน :)


_____________________________


ชื่อเรื่อง
. . . Percy Jackson ; Life After Dead of 7 Heroes

หมวด
. . . แฟนฟิคเพอร์ซีย์ แจ็กสัน

ผู้แต่ง
. . . Celovine` [ Bianca Di Angelo ]

อัพเดท
. . . - แนะนำตัวละคร [ Character ]
. . . - บทนำ (1) [ Prologue ]
. . . - บทนำ (2) [ Prologue ]
. . . - บทที่ 1 ไง! ผมชื่อ 'เบียงก้า ดิ แองเจโล' [ Hey! My name is 'Bianca Di Angelo' ]
. . . - บทที่ 2 ผมเจอผู้หยั่งรู้แห่งฮาเดส [ I met the Oracle of Hades ]
. . . - บทที่ 3 คำพยากรณ์ [ The Prophet ]
. . . - บทที่ 4 พวกเราโดนเสียงปริศนาโจมตี [ We're attacked by anonymous sound ]
. . . - บทที่ 5 คุณทำให้ฉันคลั่ง [ You make me go insane ]
. . . - บทที่ 6 ผู้นำที่แท้จริง [ Real Capitaine ]
. . . - บทที่ 7 ความลับของบุตรธิดาแห่งอพอลโล [ The Secret of Apollo's children ]
. . . - บทที่ 8 หนี้แค้นที่ต้องชำระ [ The debt must be paid ]






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 1 2013, 02:11 PM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์













เบียงก้า ดิ แองเจโล [ Bianca Di Angelo ]
หนึ่งในเหล่าพรานแห่งอาร์เทมีส(เทพีแห่งการล่าสัตว์) ธิดาแห่งฮาเดส(เทพเจ้าแห่งความตาย)


______________




โซอี้ ไนท์เชด [ Zoe Nightshade ]
อดีตหัวหน้าเหล่าพรานแห่งอาร์เทมีส ธิดาแห่งแอตลาสและเทพีเพลโอนี


______________




ลุค คาสเทลแลน [ Luke Castellan ]
หนึ่งในมนุษย์กึ่งเทพ บุตรแห่งเฮอร์มีส(เทพเจ้าแห่งการติดต่อสื่อสาร)


______________




ชาร์ล เบ็กเคนดอร์ฟ [ Charles Beckendorf ]
หนึ่งในมนุษย์กึ่งเทพ บุตรแห่งเฮเฟตัส(เทพเจ้าแห่งโรงตีเหล็ก )


______________




ไซเลน่า เบอเรอการ์ด [ Silena Beauregard ]
หนึ่งในมนุษย์กึ่งเทพ ธิดาแห่งอะโฟร์ไดต์(เทพีแห่งความงาม)


______________




ไมเคิล ยู [ Michael Yew ]
หนึ่งในมนุษย์กึ่งเทพ บุตรแห่งอพอลโล(เทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์ การทำนาย และการรักษา)



______________




อีธาน นากามูระ [ Ethan Nakamura ]
หนึ่งในมนุษย์กึ่งเทพ บุตรแห่งเนเมซิส(เทพีแห่งการล้างแค้น)








Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 1 2013, 07:34 PM
โพสต์ #3


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | บทนำ (1) | -



..... ผมชื่อเพอร์ซีย์ แจ็กสัน

..... แม่ผมเป็นผู้หญิงธรรมดาเท่าที่จะธรรมดาได้คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงดีๆที่ได้รับแต่โชคร้ายตอบแทน ผู้หญิงดีๆที่มีลูกเป็นสุดยอดเด็กมีปัญหาแห่งปี แม่บอกว่า สิ่งที่ดีที่สุดสองอย่างในชีวิตของแม่คือการได้เจอกับพ่อและการที่ผมเกิดมา ผมเคยคิด ว่าบางทีแม่อาจจะโกหกผม ผมไม่เข้าใจแม่ ทำไมแม่ถึงไม่โกรธพ่อ ทำไมแม่ต้องทนกับไอ้อ้วนเก๊บตัวเหม็นอย่างกับขยะนั่น ผมไม่เคยเข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งความจริงเปิดเผยเมื่อหลายปีก่อน ความจริงที่ทำให้ผมได้เดินทางมาที่นี่ ที่ที่คนอย่างผม ไม่ใช่ตัวประหลาดอีกต่อไป โอเค แม่อาจจะบอกว่าผมเป็นคนพิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เท่าที่ผมเห็นในกระจกคือไอ้เซ่อที่เป็นโรคไฮเปอร์แอคทีฟ และดิสเล็กเซีย เด็กมีปัญหาที่โดนตะเพิดจากทุกโรงเรียนภายในเวลาไม่ถึงปี ผมหาสิ่งที่จะทำให้แม่ภาคภูมิใจในตัวผมแทบไม่เจอ แต่แม่ก็ไม่เคยบ่น แม่ยิ้ม และบอกว่าผมดีเกินไปสำหรับที่แบบนั้น

..... จนวันที่ผมรู้ความจริง

..... 'เทพผู้เขย่าพื้นพิภพ ผู้บันดาลให้เกิดพายุ บิดาแห่งม้า เราขอสรรเสริญเพอร์ซีย์ แจ็กสัน บุตรของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ' ผมยังจำประโยคนั้นของไครอน ในวันที่ผมได้รับการประเมินเมื่อสามปีก่อน อ่าฮะ ผมอยู่ที่ค่ายมาสามปีแล้ว และก็ใช่ พ่อของผมคือโพไซดอนค่ายที่ผมอยู่คือไร่สตรอเบอร์รี่ธรรมดาๆในลองไอส์แลนด์ บนพื้นแผ่นดินที่ไฟแห่งความรุ่งโรจน์กำลังโชติช่วง สหรัฐอเมริกา ถ้าคุณเป็นคนปกติน่ะนะ แต่ถ้าคุณเป็นแบบเรา หรืออาจจะเป็นคนปกติที่ค่อนข้างจะพิเศษแบบเรเชล เพื่อนของผม (ย้ำนะครับ เพื่อนของผม)

..... ที่นี่คือค่ายฮาล์ฟบลัด ค่ายสำหรับพวกเลือดผสม ค่ายที่คุณจะปลอดภัยที่สุด เท่าที่จะปลอดภัยได้ ครับ มันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยไปทั้งหมด ถ้าไม่นับอสุรกายจากนรกแห่งการลงทัณฑ์ในช่วงสัปดาห์แรกของผม ถ้าไม่นับการบุกขื้นมาจากใจกลางค่ายโดยใช้เขาวงกตแห่งเดดาลัส (หรือที่เราอาจจะคุ้นเคยกับเขาในนามควินตัส) และถ้าไม่นับการมีหนอนบ่อนไส้ หรือโดนคนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อนทรยศ ค่ายนี้ก็ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยเลยทีเดียว ดังนั้น ให้ผมแนะนำนะ อย่าพยายามค้นหาว่าคุณเป็นใคร เชื่อเรื่องที่คนรอบตัวพยายามกรอกหูคุณซะ การเป็นเลือดผสมมันน่าสะพรึงกลัว ถ้าคุณเคยได้ยินเรื่องของแพนโดร่า ความอยากรู้อยากเห็นมันเป็นภัย ดูตัวอย่างจากแอนนาเบ็ธ เพื่อนของผ.. ก็ได้ๆ คนพิเศษของผม หยุดการสืบหาชาติกำเนิดของตัวเองซะ ก่อนที่ความรู้มันจะมาพร้อมกับหายนะ และสำหรับคนบางคน มันอาจจะมาพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย ผมเตือนคุณแล้วนะ

..... ผมเกลียดความปกติจนเกินไป

..... วันนี้เป็นวันสบายๆอีกวันในฤดูใบไม้ผลิ เวลาที่พืชพรรณในค่ายของเราจะอุดมสมบูรณ์ที่สุด เพียบพร้อมด้วยลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และเทพเจ้า ...ครับ เทพเจ้า วันนี้มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป แม้มันจะดูปกติมากก็ตาม แต่ก็ไอ้ความปกตินี่แหละที่ทำให้มันน่ากลัว จากประสบการณ์การเป็นลูกของเทพเจ้าแห่งเกลียวคลื่น มันทำให้ผมรู้ว่าคลื่นขนาดมหึมา มันจะมีความเงียบเป็นสัญญาณเตือนถึงหายนะ แม้สัญชาตญาณจะบอกผมว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องดีๆ ก็เถอะ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอนให้ผมคอยระวังตัว และกังวลอยู่เสมอ

..... 'ไครอนเรียกพวกเราไปพร้อมกันที่ลานประลอง' นั่นคือสิ่งที่แอนนาเบ็ธบอกผมเมื่อเช้า ผมมองไปที่กลางลานฝึกอย่างแปลกใจ ขณะสาวเท้าตรงเข้าไป มนุษย์กึ่งเทพร่วมสามร้อยคนทยอยเดินมารวมตัวกัน เสียงซุบซิบคาดเดาถึงเหตุผลของมาฆบูชาครั้งนี้ดังระงม ทำให้เด็กสาวที่คล้ายกับว่ามีอายุแปดขวบซึ่งกำลังเขี่ยเตาไฟกลางลานไม่ให้ดับ ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก เธอ 'คล้าย' กับว่ามีอายุแปดขวบ เพราะนั่นคือร่างที่เธอเลือก ส่วนอายุที่แท้จริงของเธออย่าให้ผมต้องเขียนมันออกมาเป็นตัวเลข เพราะผมอาจจะต้องถางป่าทั้งป่ามาทำกระดาษเพื่อเขียนให้พอ ผมยังไม่อยากโดนโกรเวอร์ยัดเอ็นชิลาด้าไส้กระป๋องไดเอ็ตโค้กใส่ปาก เพราะคราวที่แล้วมันทำให้ผมจู.. โอ้ ช่างเถอะ เธอคือเทพีเฮสเทียครับ เทพีแห่งเตาไฟประจำบ้าน เทพองค์สุดท้ายที่จะอยู่ปกป้องโอลิมปัส ผมได้แต่โค้งให้กับเฮสเทียเพื่อขอโทษแทนคนอื่นๆ และนั่นทำให้เปลวไฟในดวงตาของเธอสงบลงไปได้บ้าง

..... ไม่แปลกที่เทพีจะโมโห เพราะขนาดผม เสียงเหล่านั้น มันกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสที่ดีเกินไปของผมทำงาน และประสาทสัมผัสขั้นเทพนั่น ผมได้มาจากสายเลือดเทพเจ้าในตัวที่ผมมีอยู่ครึ่งหนึ่ง คงไม่ต้องถามถึงเหล่าเทพเจ้าเต็มร้อยหรอกนะครับว่าจะขนาดไหน ถ้าถามว่าทำไมพวกที่คุยกันถึงไม่เป็น พวกเราอาจจะมีปรสาทสัมผัสที่ตื่นตัวจนน่ากลัว แต่ถ้าพวกเราได้ลองเพ่งสมาธิไปที่เรื่องใดแล้ว สิ่งรอบตัวก็ดูจะไร้ความหมาย ยกเว้นก็แต่สิ่งรบกวนนั้น หมายจะเอาชีวิตคุณ.. เสียงเจี๊ยวจ๊าวชวนให้หัวหมุน ทำให้ผมนึกถึงกลิ่นตัวที่เหม็นเหมือนพิซซ่าบูดขึ้นราของเก๊บ อดีตพ่อเลี้ยงคนโปรดของผมที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อปีกลาย พร้อมๆกับที่รูปปั้นฝีมือแซลลี่ แจ็กสันโด่งดัง (หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นฝีมือของป้าเอ็มที่เคารพรัก) แค่คิด อาการอยากจะปล่อยของจากมื้อที่แล้วก็เริ่มออกฤทธิ์

..... เท่าที่ผมฟังออก เหตุผลจากฝั่งลูกๆของอธีน่าก็เข้าท่าพอตัว ส่วนเหตุผลจากฝั่งบ้านแอรีส ผมว่ามันออกจะแสดงรอยหยักของสมองน้อยเกินไปหน่อยน่ะนะ

..... "บางทีไครอนอาจจะจัดกิจกรรม 'ฆ่าสบายสไตล์คันทรี' ที่เราเคยเสนอกันไปก็ได้นะแคลรีส ฉันเล็งไอ้แว่นกอร์เลียสนั่นมานานละ" หนึ่งในลูกกะจ๊อกของแคลรีสบอก

..... "ฉันขอแค่ไอ้เซ่อแจ็กสันเป็นพอ" แคลรีสว่าพลางตวัดดาบไปมา พร้อมกับหัวเราะราวกับคนเสียสติ โดยมีพวกพี่น้องของพวกเธอเป็นลูกคู่รับ

..... เมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาผมก็ได้แต่กำหมัดแน่น และตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมา ไม่ใช่ว่าผมเป็นไอ้ขี้ขลาดหรอกนะ แต่ผมติดโทษแบนจากคุณดี.อยู่ หลังจากฟาดฟันกับแคลรีสคราวที่แล้ว อนาคลัสมอสของผมมันเกิดกระเด็นไปทำไวน์สามพันปีอันล้ำค่าของเขาหก เขาจึงให้ใบเหลืองผม ผมยังไม่อยากไปขัดส้วมให้เขาอีกเป็นครั้งที่เจ็ดของปีหรอก แน่นอน ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าไครอนกำลังจะทำอะไร เพราะนับตั้งแต่จำนวนประชากรของค่ายที่เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตัวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไครอนก็ไม่เคยเรียกตัวเด็กจากบ้านทั้งสิบสอ.. อ่า ตอนนี้ต้องเป็นยี่สิบหลังสินะ หลังจากที่บ้านฮาเดส เนเมซิส ฮีบี อะไรแนวๆนั้นเพิ่มมาตอนปลายปีที่แล้ว ยังไม่นับบ้านที่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างอีกเกือบสิบหลังให้มาพร้อมหน้ากัน 'เพื่อป้องกันการเหยียบกันตายของมนุษย์กึ่งเทพ' เขาว่าอย่างนั้น ซึ่งถ้าคุณเป็นฮาล์ฟบลัดแบบเรา เหยียบกันตายดูจะเป็นสาเหตุการตายที่น่าอภิรมย์ที่สุด ถ้าเทียบกับอสุรกายที่เดินเรียงแถวมาให้พวกผมได้ยืดเส้นยืดสายเกือบทุกวัน

..... "ไง เพอร์ซีย์" มือเย็นๆของนิโคที่วางลงบนไหล่ผม ไม่ได้ทำให้ผมตกใจมากนัก ถ้าเทียบกับตอนแรกที่ผมทำเรื่องน่าอายเอาไว้ โดยการสะดุดขาตัวเองหน้าทิ่มกอง.. เอ่อ กองของสิ่งที่มันเคยอยู่ในทางเดินอาหารของพวกเพกาซัสลงไปเต็มๆ และมันทำให้แอนนาเบ็ธไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้ในรัศมีสามเมตรไปหลายอาทิตย์

..... "นิโค" ผมหันไปยักคิ้วให้เด็กชายที่ตอนนี้น่าจะเข้าสู่วัยกำลังโต ดูจากแขนขาและส่วนสูงที่พุ่งพรวดอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังยึดคอนเซปต์เพรียวบางสไตล์ฮาเดสอยู่ก็ตาม มันเลยทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์เส้นทาโร่

..... "นายรู้ไหมว่ามีเรื่องอะไร" นิโคถามต่อขณะที่มือยังนับลูกประคำสีดำที่เขาเพิ่งได้มาเมื่อสองวันก่อน และก็คงเหมือนเคย อีกไม่ถึงอาทิตย์ไทสันก็จะโผล่พรวดหน้าตาตื่นเข้ามาว่าพวกมนุษย์งมงายศาสนาเก่าที่เรียกตัวเองว่า ฮิปปี้ จะมาบุกค่าย และในมือของเขาก็จะมีของเล่นของนิโคที่โยนลงทะเลไป ซึ่งจริงๆมันก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าเจ้าสายรุ้ง ฮิปโปแคมปัสเพื่อนซี้น้องชายผม ไม่ไปงาบเอามาแกล้งเพื่อนตัวโตขี้กลัวคนนี้ให้ตื่นตกใจเสมอ ทำไมผมรู้น่ะหรอ นั่นก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมโปรดของผมเช่นกัน

..... ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไร เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังขึ้นพร้อมกับไครอนที่เดินแหวกทางเข้ามา ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากสองพี่น้องสโตลล์ เช่นเดียวกับเด็กชายข้างๆผมที่เบิกตากว้างกับชุดสุดแนวของไครอน ครูฝึกวัยใกล้ฝั่งใส่เสื้อเชิร์ตลายสก๊อตที่มีสี.. แหวะ จะให้ผมพูดจริงๆน่ะหรอว่าเขาใส่เสื้อสีม่วงอมชมพูและสีเขียวเป๊ปเปอร์มิ้นท์อันน่าสยดสยอง ส่วนผมหยิกๆของเขาก็ถูกเซ็ตขึ้นด้วยเจลอย่างหนา ชนิดที่ว่าพายุระดับแรงสุดของพ่อผมพัดผ่านเขาสักล้านทีก็ยังไม่กระดิก เขายืนสะบัดหางที่มีโบว์สีขาวพันรอบๆอย่างกระสับกระส่ายเมื่อเห็นสายตาหวาดผวาจากชาวค่ายเกือบสามร้อยชีวิต (ครับ .. เขามีหาง) แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาต้องเดินผ่านบ้านพักหมายเลขสิบมาระหว่างทางแน่ๆ

..... "ในวันนี้.. พวกเรามารวมตัวกัน เพื่อรำลึกถึงการจากไปของชาวค่ายผู้หาญกล้า" เสียงเคร่งขรึมของไครอนกล่าวขึ้นหลังจากเด็กบ้านฮิปนอสคนสุดท้ายเดินงัวเงียเข้ามาในที่ประชุม เซนทอร์ชรากวาดสายตาไปรอบๆด้วยสีหน้าประเมิน กระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

..... "ชีวิตแรกถูกสังเวยด้วยคำว่าความรับผิดชอบ พรานแห่งอาร์เทมีสผู้เสียสละ .." พร้อมกันนั้นข้อความไอริสที่ปรากฎเหนือกองไฟ ก็แสดงภาพเหตุการณ์ที่ยังตราตรึงแจ่มชัดในความทรงจำของพวกเราอีกครั้ง ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่เข้าจู่โจมอีกครั้ง ข้างกันนั้น นิโคยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้ากำลังแสดงเหตุการณ์อะไร

..... เด็กสาวในภาพค่อยๆเบือนสายตาขึ้นไปมองหุ่นยนต์โลหะที่สูงเทียมฟ้าด้วยอาการสั่นระริก ดวงตาที่เคยสดใสเบิกกว้างออกด้วยความหวาดกลัว ผิวสีมะกอกซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กกำของในมืออย่างชั่งใจเมื่อถูกคาดคั้น ก่อนที่เธอจะตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาความตาย แวบนึงผมมั่นใจว่าผมสัมผัสได้ เด็กสาวเปล่งประกายด้วยไอสีดำ พรแห่งฮาเดส ข้อความไอริสยังคงฉายภาพเหตุการณ์ต่อ ภาพเหตุการณ์ที่ไม่มีใครเคยเห็น เด็กสาวเกาะบันไดลิงอย่างสิ้นหวัง แต่แล้วรูปบางอย่างในกระเป๋าเสื้อที่โผล่ออกมาก็ทำให้เธอมีแรงฮึด เธอปีนขึ้นไปด้วยความยากลำบากจนกระทั่งถึงห้องควบคุม ร่างบางของเด็กสาวสั่นสะท้าน แต่ก็ยังกัดฟันเดินไปยังปุ่มระเบิด ดวงตาสดใสหลับพริ้มอย่างเปี่ยมสุขขณะที่กดลงบนปุ่มมรณะ และทุกอย่างก็ระเบิดออก ท่ามกลางฝุ่นละอองและเศษซาก มีรูปรูปหนึ่งลอยละลิ่วโดดเด่น เมื่อภาพซูมไปที่รูปนั้น ผมก็เข้าใจเหตุผลของเธอทั้งหมด.. มันเป็นรูปของนิโค

..... คุณดี. ที่นั่งกระดกไดเอ็ตโค้กอยู่ข้างหลังผมดีดนิ้วด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ทันใดนั้นในมือของทุกคนก็มีเทียนไขเล่มโต บางอย่างในแววตาของเขา ผมมั่นใจว่าแวบนึง ผมเห็นความเศร้าในดวงตาคู่นั้น ก่อนจะทันได้คิดอะไรต่อ เฮสเทียก็เรียกความสนใจผมไปจากผู้อำนวยการค่าย เธอมองมาทางผมแล้วยิ้ม เปลวไฟดวงตาของเธอลุกพรึ่บขึ้นครู่หนึ่ง พร้อมกับไฟที่ปลายเทียนไขในมือพวกเราลุกขึ้นตามนิโคที่ยืนอยู่ข้างผม ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรู้งาน น้ำตาใสๆไหลลงมาตามผิวสีเข้มเป็นทาง แต่ดวงตาของเขากับทอประกายบางอย่าง บางอย่างที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ผมเห็นการยอมรับในแววตาคู่นั้น ในวันนี้ เขาทำใจได้แล้วในที่สุด

..... "... เราขอสดุดี เบียงก้า ดิแองเจโล ธิดาแห่งฮาเดส" เขาตะโกนก้อง พร้อมกับพวกเราที่ขานรับ ขณะที่ผมทวนประโยคเมื่อครู่สามครั้งไปพร้อมกับคนอื่นๆ ผมก็เหลือบไปเห็นพวกเธอ กลุ่มเด็กสาวเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงลายพรางสีเงิน มาพร้อมกับคันธนูและเทียนไขในมือ หมาป่าทิมเบอร์เลกสีขาววิ่งนำหน้าคอยอารักขา เหยี่ยวล่าเนื้อบินโฉบเฉี่ยวอยู่รอบหัวเพื่อระวังภัย เด็กสาวเกือบห้าสิบคนนำโดยเด็กสาวผู้มีรัดเกล้าสีเงินบนหัวและเสื้อเชิ้ตแอนตี้โครโมโซมวาย ศัตรูและเพื่อนตลอดกาลของผม ..ธาเลีย ธิดาแห่งซุส เธอยักคิ้วให้ผมพร้อมกับยกนิ้วชี้แตะปากเป็นสัญญาณให้เงียบไว้ ผมส่งยิ้มกว้างกลับไปก่อนจะเบือนหน้ามาสนใจพิธีกรรมต่อ





Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 1 2013, 07:48 PM
โพสต์ #4


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | บทนำ (2) | -



..... "เด็กสาวผู้ทรยศต่อสายเลือด สละชีพเพื่อทำหน้าที่สุดท้ายให้สำเร็จ ไม่หวั่นเกรงแม้จะรู้ว่าทางเดินนั้นจะนำไปสู่ความตาย ..." ไครอนกล่าวต่อ

..... เสียงคำรามของยักษ์ไททันกึกก้องไปทั่วหุบเขา ทำให้ชาวค่ายหลายคนสะดุ้งเฮือกราวกับเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้น เว้นก็แต่ผู้ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่มีสีหน้าเศร้าสลดเพียงแค่คิดว่าอะไรจะตามมา ภาพเงาเล็กโฉบฉวัดเฉวียนโจมตีด้วยความเร็วสูง บางช่วงก็ตรงเข้าโรมรันร่างมหึมาหมายจะเอาชีวิต ก่อนจะผละออกก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบโต้ ถ้อยคำผรุสวาทปราศจากสามัญสำนึกพรั่งพรูออกมาจากปากของร่างใหญ่โตที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเพื่อกระตุ้นโทสะฝ่ายตรงข้าม กระทบเข้ากับโสตประสาทของร่างบางอย่างไร้ผล

..... "... โซอี้ ไนท์เชด ความดีของเธอจะไม่ถูกลืมเลือน พวกเราให้คำมั่น" ธาเลียก้าวฉับๆขึ้นมา และตะโกนร้องก้อง

..... ไครอนส่งยิ้มให้เหล่าพราน ก่อนจะพูดต่อ "ช่างตีเกราะมือหนึ่งของค่าย ละทิ้งร่างกายเพื่อต่อลมหายใจให้พวกเรา..."

..... ผมเห็นตัวเอง ภาพความทรงจำในเรือเจ้าหญิงแอนโดรมีดาครั้งนั้นฉายซ้ำกลับมา ผมเห็นเบ็กเคนดอร์ฟกดปุ่มจุดชนวนระเบิด และเตือนให้ผมหนีไปโดยไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ภาพเรือที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลูกไฟสีเขียวขนาดยักษ์ของเพลิงกรีกม้วนตัวขึ้นมากลืนร่างของบุตรแห่งเฮเฟตัสหายเข้าไปพร้อมกับเรือและเหล่าอสุรกาย ทุกอย่างถูกดูดลงไปในน้ำวนของมหาสมุทร นิ่งสนิทสักพักและลอยขึ้นมา ซากปรักหักพัง ซากอสุรกาย มนุษย์กึ่งเทพลอยเกลื่อน แต่ไม่พบร่างของเบ็กเคนดอร์ฟ...แม้แต่เงา

..... "...อดีตหัวหน้าบ้านที่เจ๋งที่สุดตลอดกาล แด่ชาร์ลส์ เบ็กเคนดอร์ฟ!" เจค เมสันโห่ร้อง เสียงของเขาต่ำและดังราวกับหวูดรถไฟ ผมพยายามไม่เบ้หน้าหลังจากที่รู้สึกคันที่เยื่อแก้วหูเพราะเสียงของเจค

..... "พังมัน! ใช้พลังของนายสิ" เสียงจากข้อความไอริสของไมเคิลที่กำลังเกาะอยู่บนสายเคเบิลสะพานถัดจากผมไปไม่ไกลตะโกนขึ้น ก่อนที่ไครอนจะได้พูดอะไร เรียกความสนใจจากชาวค่ายให้หันไปมอง ผมในตอนนั้นตัดสินใจพังสะพาน รอยแยกที่เกิดจากดาบของผมทำให้สะพานเริ่มสั่นสะเทือนและกระเทาะกัน ไม่กี่วินาทีถัดมา เหวขนาดใหญ่ก็เปิดออกกลางสะพานวิลเลียมส์เบิร์ก เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายประกาศถอยทัพ ผมมองสีหน้าโล่งอกของตัวเองในตอนนั้นด้วยความสมเพช ผมในตอนนั้นที่ไม่เฉลียวใจเลยว่า ผมได้พังร่างของอดีตหัวหน้าบ้านอพอลโลไปพร้อมกับสะพานเรียบร้อยแล้ว...

..... "นักธนูมือหนึ่งที่ดีที่สุดตลอดกาล ไมเคิล ยู!" วิล โรเซซแหกปากด้วยเสียงเบาบาง ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงจะหลุดหัวเราะออกไปแล้วกับเสียงเล็กๆที่เข้ากับร่างอ้อนแอ้นของหัวหน้าบ้านอพอลโล แต่ลำคอของผมตีบตัน กับความจริงที่ว่า ผมคือสาเหตุที่ทำให้ไมเคิลต้องตาย

..... "เธอคือวีรสตรี ความผิดพลาดที่เธอทำลงไปไม่อาจชดเชยได้กับความดีของเธอ พวกเราทุกคนล้วนมีวันนี้ได้ก็เพราะเธอ.." ไครอนกระแอมเบาๆ และรีบพูดก่อนที่ไอริสจะไม่รอเขาและแสดงภาพถัดไป

..... กองทัพเด็กอันธพาลหนึ่งโหลในชุดเกราะพร้อมรบ ธงสีแดงเพลิงปลิวไสว เสียงเด็กสาวที่ดูจะเป็นผู้นำตะโกนด้วยเสียงเล็กแหลมขณะที่ดราคอนกำลังจะโจมตี เสียงซุบซิบมากมายกรูเข้าหูผม เด็กใหม่หลายคนหันไปมองภาพและแคลรีสสลับไปมาอย่างงุนงง ก่อนที่ข้อความไอริสจะเฉลยเหตุการณ์ เด็กสาวล้มลง พิษบาดแผลแล่นพล่านไปทั่วตัวเธอทำให้ร่างบางกระตุกเป็นระยะด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นแคลรีสตัวจริงวิ่งเข้าไปหาเด็กสาวผู้นั้นด้วยน้ำตานองหน้า หมวกหลุดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามของธิดาแห่งอโฟรไดท์...

..... แคลรีสก้าวออกไปพร้อมกับหัวหน้าบ้านอโฟรไดท์ท่ามกลางความเงียบงัน ใบหน้าของแคลรีสไม่ต่างจากวันนั้น น้ำตานองหน้า ดวงตาฉายแววเจ็บปวดไม่จางหาย

..... "ไซเลน่า เบอร์เรอการ์ด วีรสตรีแห่งโอลิมปัส" เสียงซ้อนของเด็กบ้านอโฟรไดท์และแอรีสดังกระหึ่ม ไกลออกไปในมุมมืดของกลุ่มเด็กบ้านอธีน่า ผมเห็นน้ำตาของแอนนาเบ็ธ

..... "บุตรแห่งเนเมซิสผู้เที่ยงตรง หนึ่งชีวิตของเขาแลกกับชีวิตของพวกเราร่วมร้อยคน เขาจ่ายมากกว่าดวงตาหนึ่งข้าง ค่ายฮาล์ฟบลัดในอุดมคติมีวันนี้ได้ก็เพราะเขา..."

..... ผมเห็นตัวเองอีกครั้ง ยืนหน้าโง่อยู่ระหว่างโครนอสและอีธาน เสียงโครนอสสั่งให้อีธานฆ่าผมอย่างโหดเหี้ยม ผมเห็นสายตาของอีธานที่มองไปตามจุดอ่อนของผม ผมในตอนนั้นพยายามกล่อมเขา เสียงเพลงของโกรเวอร์แทรกซึมเข้าไปในจิตใจด้านชาของเขา รื้อฟื้นความรู้สึกโหยหา เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง อีธานพุ่งใส่โครนอส โดยลืมไปว่าอีกฝ่ายมีร่างกายคงกระพัน ผมเห็นตัวเองมองเขาตกลงไปในหลุมอากาศต่อหน้าต่อตา..

..... "อีธาน นากามูระ พวกเราเป็นหนี้ชีวิตนาย" ผมก้าวออกไปพร้อมกับเด็กบ้านเนเมซิสอีกสามสี่คน พวกเขาดูงุนงง อาจะเป็นเพราะยังไม่เคยมีเวลาร่วมกันกับพี่ชายคนนี้ แต่ผมไม่ ผมมองข้อความไอริสด้วยดวงตาพร่าเลือนจากน้ำใสๆที่เอ่อคลอดวงตา

..... "ลุค คาสเทลแลน.." ไครอนเอ่ย แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อทุกอย่างก็ดับมืดลง เทียนทุกเล่มดับสนิท แม้จะยังเหลือวีรบุรุษอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เอ่ยนามก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคาสทอร์ ลี และอีกหลายๆคน เหลือเพียงไฟริบหรี่ที่กลางลานของเฮสเทีย ผู้ซึ่งยังคงนั่งเขี่ยเตาไฟราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีลมพัด แต่มีบางอย่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงผ่านด้านหลังผมไป ผมรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเช่นเดียวกับหลายๆคนที่ผมได้ยินเสียงสูดหายใจลึก หลังจากความเงียบอันยาวนาน เสียงนุ่มของเฮสเทียก็ดังขึ้น

..... "จงแสดงตัวเถิด น้องชายของข้า" เด็กสาวเอ่ยเบาๆ แต่เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี

..... "เพอร์ซีย์ ฉันรู้สึกว่าเบียงก้าอยู่ที่นี่!" นิโคกระซิบข้างหูผมอย่างร้อนรน เขาหันซ้ายหันขวาด้วยความตระหนก แต่แล้วเสียงของเทพเจ้าผู้เป็นพ่อของเด็กชายข้างๆผมก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ความมืดถักทอร่างของเขาขึ้นมา ฮาเดสกับเสื้อคลุมขนเฟอร์ตัวใหม่ หลังจากที่ผมโยนเสื้อคลุมวิญญาณนั่นทิ้งไป ก็ปรากฎตัวข้างๆเฮสเทีย

..... "สวัสดี พี่สาวที่รักของข้า นานแล้วสินะที่เราไม่ได้เจอกัน" ฮาเดสยิ้มเย็นเยียบให้กับเฮสเทีย ซึ่งอาจจะดูประหลาดไปบ้างที่ชายวัยสามสิบเรียกเด็กแปดขวบว่าพี่สาว แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆของพวกเรามันก็ดูธรรมดาไปอย่างง่ายดาย

..... "ข้าคิดถึงเจ้าแทบขาดใจ น้องชาย" เฮสเทียส่งยิ้มกลับไป ราวกับโยนฟืนเข้าไปในกองเพลิง ไฟโทสะของฮาเดสประทุขึ้นภายใต้ใบหน้าบ้าคลั่งนั่นทันที

..... "เฮสเทีย!" ฮาเดสถลึงตาใส่เด็กสาว ที่จ้องกลับอย่างสงบ แม้ผมจะแอบเห็นประกายขำขันในนั้นก็เถอะ

..... "ข้าแต่เทพเจ้า" จู่ๆนิโคก็ไปยืนกลางวง ไม่รู้ว่าผมความรู้สึกช้าหรืออะไร แต่สาบานได้ว่าเมื่อกี้เขายังอยู่ตรงนี้ ผมมั่นใจ

..... "นิโค ดิแองเจโล เจ้าช่างสุภาพ เกินกว่าจะเป็นลูกของน้องชายโรคจิตของข้า" เฮสเทียเปรยขณะเขี่ยเตาไฟอย่างไม่แยแส รังสีอาฆาตจากฮาเดสยิ่งแผ่คุกคามมากกว่าเดิม

..... "ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ตอนนี้เลยนะพี่สาวที่รัก" ฮาเดสยิ้มเหี้ยม ดวงตาของเขากระตุกด้วยความโกรธ

..... "ที่นี่คือค่ายของพวกเรา ไม่ใช่สนามรบของเทพเจ้า บอกธุระของท่านมาฮาเดส!"รู้ตัวอีกทีผมก็ไปยืนอยู่ข้างๆนิโค และตะคอกใส่หน้าฮาเดส หางตาของผมเหลือบไปเห็นแอนนาเบ็ธถลึงตาใส่ผมที่ผมหยาบคายต่อเทพเจ้าอีกครั้ง แต่ก็แหละ มันคงเป็นพรสวรรค์ของผมไปเสียแล้ว

..... "แม้ข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าพูดถูกเพอร์ซิวาล บอกธุระของท่านมาเถิด ท่านลุง" ไดโอนีซุสที่เดินแคะเล็บมาจากด้านหลังพูดขึ้น วันนี้ต้องเป็นวันวิปโยคอะไรแน่ๆ ผมถึงมีเทพเจ้าเข้าข้าง แต่ก็อาจจะไม่ใช่ เพราะเขาก็ยังคงเรียกชื่อผมไม่ถูกอยู่ดี ชื่อของผมมาจากวีรบุรุษกรีกในตำนานที่ชื่อเพอร์ซีอุส ไม่ใช่อัศวินแห่งคาเมล็อตของกษัตริย์อาเธอร์ ท่าทางผู้อำนวยการค่ายที่รักยิ่งของผม คงกำลังติดเกมคาเมล็อตอยู่เป็นแน่ หลังจากที่เขาเคลียร์เกมแพ็กแมนจบไปอาทิตย์ที่แล้ว ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกสงสารฮาเดส เขาไม่เคยได้รับการต้อนรับจากที่ไหน แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในสายตาเทพเจ้าทั้งสาม ผมเห็นประกายบางอย่าง บางอย่างที่บอกผมว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่อีกไม่ไกล

..... "ข้ามาเพื่อคืนพวกเขาให้ตามที่ข้าสัญญาไว้ จงปรากฏตัว ผู้ได้รับเลือกจากนรก!" ฮาเดสตะโกนก้อง ทันใดนั้นก็มีแสงเรืองรองกะพริบเป็นร่างเจ็ดร่าง ผมขยี้ตาและพยายามเพ่งไปที่ร่างเหล่านั้น และผมก็เห็นพวกเขา เบียงก้า โซอี้ เบ็กเคนดอร์ฟ ไมเคิล ไซเลน่า อีธาน และลุค พวกเขาเริ่มจากเงารางๆ เปลวไฟของเฮสเทียโลมเลียไปตามร่างของพวกเขาให้มีเนื้อมีหนัง จนในที่สุดก็เหมือนพวกเราแทบทุกประการ ยกเว้นตราประทับสีดำที่ไหล่ซ้ายของพวกเขา

..... "เวลานี้ ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ข้าจะมารับพวกเขาคืน" ฮาเดสกล่าว ก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของนิโค หยุดฝีเท้าของเทพเจ้าเอาไว้

..... "ท่านพ่อ ขอบคุณครับ" นิโคเอ่ยเบาๆ แต่ดวงตาจับจ้องไปที่เทพเจ้าผู้ให้กำเนิด ฮาเดสชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน ...และเขาก็หายไป

..... "เวลาแห่งการเฉลิมฉลอง!" ไดโอนีซุสประกาศ พร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดี หยดน้ำตาแห่งความปิติรินรดไปทั่ว ไครอนเป่าเขาสัตว์ให้พวกไนแอดวิ่งกรูกันนำอาหารรสเลิศเข้ามา ดนตรีเบสหนักถูกเปิดกระหึ่มโดยดีเจเซนทอร์ หนึ่งในญาติของไครอน ซิมป์สันแห่งลูกม้าปาร์ตี้ และเมื่อทุกอย่างพร้อม...มันก็เริ่มต้นขึ้น



________________________________________________
บทนำแยกออกเป็น 2 โพสนะค่ะ เพราะเนื้อหาค่อนข้างยาว ทำให้ใส่โค้ดสีอะไรไม่ได้เลย




Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 3 2013, 08:23 PM
โพสต์ #5


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | ไง! ผมชื่อ 'เบียงก้า ดิ แองเจโล' | -



..... ผมจำไม่ได้ว่าเคยมีความสุขขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

..... อย่าเพิ่งถามผมว่าปาร์ตี้เป็นยังไง เอาแค่ว่าผมลากสังขารจากลานประลองมาที่บ้านพักได้ยังไงผมก็ยังไม่รู้เลย และบางทีอาจจะไม่รู้ตัวยาวถึงเช้าเลยก็ได้ถ้าไม่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน ผมพยายามใช้เท้าเขี่ยไทสัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ระคายผิวของน้องชายผมเลยแม้แต่น้อย เขายังคงกรน และจมอยู่กับฝันหวานโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมถอนใจก่อนจะยันตัวขึ้นด้วยความยากลำบาก ขยี้ตาขณะหันไปมองนาฬิกา ...ตีสองสี่สิบสาม ท่าทางแขกแสนดีคนนี้คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องหลับต้องนอนละมั้ง ผมสบถเบาๆ ขณะเดินงัวเงียไปที่ประตู และเธอก็อยู่ที่นั่น เด็กสาวในเสื้อเชิ้ตขาว คันธนูพร้อมรบ และตราประทับที่ไหล่ซ้าย เธอยิ้มอย่างไม่แน่ใจและกล่าวทักทาย

..... "สวัสดีเพอร์ซีย์ ฉันไม่ได้รบกวนเวลานอนของนายใช่ไหม" เบียงก้า ดิแองเจโล หนึ่งในผู้ถูกเลือกจากนรกถามอย่างไม่แน่ใจ ผมควรไม่พอใจเธอหรือไม่ผมก็ไม่รู้ สิ่งที่ผมทำมีเพียงส่ายหน้าช้าๆ และส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เธอ

..... "มากับฉันหน่อยสิ" เบียงก้าบอกเบาๆ และออกเดินนำ เธอเปลี่ยนไปมาก โตขึ้น และไม่ขี้อายเหมือนเดิม ผมลากเท้าตามร่างบางไปอย่างเลื่อนลอย ไล้สายตาไปตามผมดำขลับที่ถูกจัดทรงอย่างลวกๆ ของเธอ มันปลิวไปตามสายลมเมื่อเรามาใกล้ชายฝั่ง และแล้วเธอก็หันมาดวงตากลมโตที่ยังแสดงความเป็นตัวของตัวเองไม่เคยเปลี่ยนจ้องมาที่ผ
มอย่างลังเล แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ที่ผมเคยเดินทางไปกับเธอ แต่เบียงก้ากับนิโคก็มีบางอย่างเหมือนกันมากทีเดียว จึงไม่แปลกที่ผมจะมองออกในทันที เฮ้ อย่ามองผมแบบนั้น ผมก็ไม่ได้โง่ไปซะทุกเรื่องหรอกน่า

..... "พูดมันออกมาเถอะ" ผมเปรยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะทิ้งตัวลงบนหาดทราย กลิ่นของทะเลทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย ลมอ่อนๆ พัดเอาความง่วงและความเหนื่อยล้าออกไปจากความคิด เติมเต็มพลังชีวิตให้ผมเหมือนอย่างเคย

..... "ฉันเป็นผู้ถูกเลือกให้เกิดใหม่.." เบียงก้าเริ่มก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ผม เธอเหมือนเรเชลหลายอย่าง ผมสามารถปล่อยตัวเองตามสบายขณะอยู่กับเธอ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร และมันปลุกความทรงจำในช่วงที่ผมคิดว่าผมเป็นมนุษย์ธรรมดาหวนกลับเข้ามา ชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ชีวิตของวีรบุรุษคนหนึ่ง

..... "ก็ดีนี่" ผมตอบออกไปแบบงงๆ มันคงเป็นคำตอบที่สิ้นคิดมาก เพราะมันทำให้เบียงก้าชะงักไป แต่แล้วเธอก็ยักไหล่อย่างไม่ถือสา และเริ่มพูดต่อ

..... "...แต่ฉันไปไม่ได้ ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ฉันแทบไม่เคยห่างจากข้างกายของนิโคเลย" เบียงก้าพูดพลางถอนหายใจ แววตาของเธอดูสับสน ผมควรจะดีใจไหมนะ ที่เธอเลือกให้ผมมานั่งฟัง บางทีถ้าเธอเกิดขอความเห็น ผมหวังว่าผมคงจะมีให้เธอ ดิ อิมมอร์ทาเลส ผมว่าสมองผมคงมีแต่สาหร่ายแบบที่แอนนาเบ็ธบอกจริงๆ

..... "แต่นิโคบอกว่าเธอไม่เคยมา.." ผมแย้งขึ้น และนั่นทำให้เธอยิ้มกว้าง

..... "ฉันคิดถูกจริงๆ ที่ฝากนิโคไว้กับนาย" เธอยิ้ม บางทีเบียงก้าขี้อายคนก่อนอาจจะเข้าสิงผมอยู่ก็เป็นได้ ผมหน้าแดง

..... "นายคงลืมไปแล้วว่าฉันเองก็เป็นธิดาแห่งฮาเดส ถ้านิโคสามารถสัมผัสวิญญาณได้ แล้วทำไมฉันถึงจะปกปิดตัวเองบ้างไม่ได้" เธอพูดต่อโดยแกล้งทำเป็นเสมองไปทางอื่น แต่ผมก็เห็นว่าเธอยังไม่หุบยิ้ม เยี่ยมเลย ผมกลายเป็นตัวตลกทุกทีที่คุยกับพวกผู้หญิง

..... "ฉันอยู่ข้างเขามานานเพอร์ซีย์ ฉันเมินหมายเรียกของท่านพ่อมาเกือบสามปี.." ผมมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เด็กผู้หญิงขี้อายแบบไหนกันนะ ที่กล้าเมินเสียงเรียกจากเทพเจ้า เด็กสาวตัวเล็กๆ แบบไหนกันที่จะเสียสละเพื่อน้องชายมากถึงเพียงนี้ ผมไม่เคยเป็นวิญญาณ แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ง่ายเลยที่เราจะต้องทนเป็นวิญญาณเร่ร่อนมาเกือบสามปี เพียงเพื่อน้องชายที่เป็นยิ่งกว่าชีวิ.. อ่า ไม่สิ เป็นยิ่งกว่าจิตวิญญาณของเธอ ต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบที่ผมเคยเห็นเดดาลัสเป็น เพียงเพราะอยากเห็นน้องชายมีความสุข ยอมสละโอกาสมากมาย เพียงเพื่อต่อเวลาที่จะได้อยู่กับบุคคลผู้เป็นที่รัก

..... "หลายเดือนก่อน พ่อส่งอะเล็คโตมาเอาตัวฉันไป เขาอยากให้ฉันได้ไปเกิดใหม่ เราเปิดอกคุยกันเพอร์ซีย์ และฉันได้เห็นเขาในอีกด้าน ฉันได้รับโอกาสออกเดินทางเพื่อแลกกับของขวัญที่ดีที่สุดแบบนี้ ฉันได้อยู่ข้างนิโคอีกครั้ง แบบที่ฉันฝันมาตลอดสามปี.." น้ำตาที่ไหลลงมาตามผิวสีโอลีฟของเบียงก้ากระทบกับแสงจันทร์ส่องประกายระยิบระยับ ผมมองตรงไปในทะเลเวิ้งว้างอย่างจนปัญญา ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากผม มีเพียงน้ำตาและเสียงสะอื้นที่ลอดมาจากร่างบางข้างกาย

..... "ฉันกลัวเพอร์ซีย์ ไมนอสตามล่าฉันเพื่อแก้แค้น เพียงเพราะนิโครู้ความจริงและทำให้แผนของเขาพัง เขาส่งวิญญาณมากมายมาทำร้ายฉัน ปลดปล่อยอสุรกายทุกชนิดที่อำนาจเขาเพียงพอเพื่อทำลายร่างจิตของฉัน.." เบียงก้าตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากอิ่มของเธอซีดขาว

..... "เธอน่าจะบอกฮาเดส" ผมพูดขึ้น และรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่ทันที ถ้าเธอหันกลับไปหาฮาเดส นั่นหมายถึงเธอจะปล่อยนิโคไปตลอดกาล

..... "มันเป็นทางที่ฉันเลือกเพอร์ซีย์ ถ้าฉันกลับไป ฉันจะไม่ได้เจอนิโคอีก.." เบียงก้าย้ำความงี่เง่าของผมด้วยน้ำตาระลอกใหญ่ ผมตัดสินใจหุบปากก่อนที่น้ำตาเธอจะหมดตัว

..... "เธอจะอยู่กับนิโคตลอดไปงั้นหรอ เพื่ออะไรเบียงก้า เธอสมควรได้เกิดใหม่" ผมว่าผมหุบปากแล้วนะ บอกผมทีว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เสียงผม

..... "ไม่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่กับเขา" เบียงก้าส่ายหน้า

..... "ไหนเธอบอกว่า.." ผมรู้สึกเหมือนสมองตัวเองเป็นคัสตาร์ดสีเหลืองที่กำลังถูกคน บางทีถ้าอพอลโลจะสร้างกลุ่มพรานขึ้นมาบ้าง ผมนี่แหละจะไปต่อแถวลงชื่อคนแรก พวกผู้หญิงนี่เข้าใจยากชะมัด

..... "ฉันอยากให้นายเห็นมันเอง" เบียงก้าพูดด้วยเสียงจริงจัง แม้น้ำตาจะยังทิ้งร่องรอยอยู่ที่หางตาของเธอก็ตาม เธอยันตัวยืนขึ้นโดยมีสายตาของผมจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แล้วเธอก็เริ่มบิน

..... ครับ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เบียงก้าลอยตัวสูงขึ้น ร่างบางร่ายรำไปรอบๆ ตัวผม แสงสีเงินฉายออกมาจากตัวเธอ ตราประทับสีดำที่ไหล่ซ้ายของเธอเปล่งแสงวูบวาบ แสงยิ่งแผ่ออกมามากขึ้นเมื่อเธอเร่งจังหวะ เธอลอยขึ้นสูงเรื่อยๆจนผมเริ่มกลัวว่าเธออาจจะพุ่งลงมาด้วยความเร่ง แต่ก็ไม่ เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นเหนือหัว และแหวกเมฆเปิดทางให้แสงจันทร์สาดส่องมารวมตัวกัน มันเริ่มจากแสงสีนวล และค่อยๆ เข้มขึ้น จนในที่สุดก็สว่างจ้าจนผมไม่อาจฝืนมองได้อีก

..... ผมหมดสติไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่อาการหน่วงในท้องทำให้ผมรู้สึกตัว ผมค่อยๆ กระพริบตาขึ้น หยีตาเพื่อปรับสภาพตาให้รับกับแสงได้ แต่มันกลับมืดมิด ผมมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด อาคารสีดำขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นอายของความโดดเดี่ยว เสียงโหยหวนดังแว่วๆมาพร้อมกับกลิ่นกำมะถันของควันไฟ บัลลังก์โครงกระดูกตั้งตระหง่านเช่นที่ผมเคยเห็น แล้วผมก็จำมันได้ทันที พระราชวังแห่งฮาเดส

..... "เพอร์ซีย์ แจ็กสัน เจ้าคือผู้ถูกเลือกให้ได้เห็นมัน" เสึยงประหลาดดังขึ้นข้างหูของผม มันเรียกผมด้วยเสียงของเบียงก้า ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเสียงที่ติดหัวผมมาจนบัดนี้ เสียงของจิตวิญญาณพยากรณ์ เดลฟี

..... "เธอทำอะไรเบียงก้า!" ผมตะโกนออกไป แต่กลับไม่ได้ยินเสียงก้องอย่างเคย ผมเริ่มเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว

..... "ฟังคำข้าบุตรแห่งโพไซดอน!" เสียงเก่าแก่ของจิตวิญญาณแห่งการทำนายตวาด น้ำเสียงที่ใช้มันเหมือนกับเธอพูดกับผมว่า หุบปาก

..... "เจ้าถูกเลือกจากทายาทแห่งความตาย จงจดจำในสิ่งที่เจ้าจะได้เห็น จะได้ยิน จะได้สัมผัส และถ่ายทอดขับขานการเดินทางแห่งวิญญาณ เผยความจริงแก่ราชาแห่งภูติผี" ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเดลฟีด้วยความโกรธทันทีที่รู้ว่าผมจะต้องทำตามคำทำนายปัญญาอ่อน
นั่นอีก อยากทึ้งร่างของเธอให้แหลกสลาย แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ เพราะร่างที่ผมว่ามันคือร่างเพื่อนของผม เรเชล และผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ เธอไม่ใช่ผู้กำหนดอนาคต เธอเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดเท่านั้น

..... "จะให้ทำอะไรก็ว่ามา" ผมคำรามด้วยความหงุดหงิด หงุดหงิดตัวเองที่ไม่โกรธ แต่ก็หงุดหงิดตัวเองที่โกรธ อ่า ฟังดูเหมือนผมสติแตกไปแล้วสินะ ตอนนี้ผมบ้าพอจะอัดแอรีสให้ปวกเปียกเป็นมาร์ชเมลโล่วเลยล่ะ

..... "หลับตา" ผมหลับตาลงอย่างว่าง่าย และไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้อีกเลย ส่วนความรู้สึกหลังจากนั้นน่ะหรอ จะว่ายังไงดีล่ะ มันรู้สึกเหมือนโดนเครื่องดูดฝุ่นดูด มันกระชากจิตของผมออกจากร่าง ให้ความรู้สึกว่างเปล่า และเหน็บหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่มาจากปลายนิ้ว และตรงดิ่งเข้าเกาะกุมขั้วหัวใจให้ชาวาบ และแล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยนอกจากความมืดมิด

..... เวลาผ่านไปครู่หนึ่งผมก็รู้สึกตัวอีกครั้ง ไม่สิ ผมเริ่มรับรู้ความเป็นตัวของผมได้อีกครั้ง ความเย็นยะเยือกพุ่งทะยานเข้าโจมตีเป็นอย่างแรกและมันทำให้ผมสะดุ้ง เมื่อลืมตาขึ้น ผมพบว่าตัวเองกำลังยืนมองร่างของนิโค ดิแองเจโลอยู่ ความเลือนรางในจิตใจฉายชัดย้ำความกลัวของผมให้เข้มข้นขึ้น ผมพยายามที่จะยกแขน แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมลองยกขา กระทืบเท้า กรีดร้อง ทำทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเคย ขณะที่ผมกำลังจะถอดใจ จู่ๆ ร่างของผมก็เคลื่อนตัวตามหลังบุตรแห่งฮาเดสออกไปจากบ้านพัก .. ผมเหลือบไปมองเงาสะท้อนในกระจก ที่นั่น ผมเห็นเด็กสาวผิวสีโอลีฟ เจ้าของเรือนผมสีดำสลวย ดวงตาสีรัตติกาลจ้องตอบผมอย่างเลื่อนลอย ความเข้าใจวิ่งเข้ามาจากทุกทิศทางตรงเข้าสู่สมองของผม ประโยคแรกที่ผมอยากจะพูดกับเงาในนั้นคือ

..... "สวัสดี ผมชื่อเบียงก้า ดิแองเจโล"






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 8 2013, 01:49 PM
โพสต์ #6


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | ผมเจอผู้หยั่งรู้แห่งฮาเดส | -



..... สาบานเลย ถ้าคราวหน้าผมได้ของขวัญจากซุสอีก ผมจะรับมันอย่างไม่ลังเล ชีวิตอมตะที่ปราศจากการกดขี่จากผู้อมตะมันฟังดูเจ๋งชะมัด ถ้าเทียบกับการเป็นมนุษย์กึ่งเทพที่นอกจากจะต้องแขวนชีวิตไว้กับเส้นด้ายตลอดเวลาแล้ว ยังโดนผู้หยั่งรู้เอาคำพยากรณ์ปาใส่หัวไม่หยุดหย่อน

..... ก็ได้ ผมล้อเล่น บทเรียนของคุณวันนี้คือ อย่าเชื่อคำสาบานของใครจนกว่าเขาจะสาบานมันกับแม่น้ำสติกซ์ แต่ก็นั่นแหละ บางทีมันก็เชื่อถือไม่ได้อยู่ดี 'ผม' คือตัวอย่าง บุตรแห่งโพไซดอนที่เกิดจากการ 'แหก' คำสาบาน เหตุผลที่ผมไม่ยอมรับชีวิตอมตะทึ่ซุส 'อุตส่าห์" จะมอบให้ผมด้วยความ (กล้ำกลืนฝืนจะแสดงอาการ) 'เต็มใจ' ก็คือ ผมรับไม่ได้ที่ตัวเองจะได้อะไรแบบนั้นหลังจากคร่าชีวิตของเพื่อนร่วมค่ายไปนับไม่ถ้วน แม้ผมจะไม่ได้ฆ่าเองก็เถอะ แต่ผมคือ 'สาเหตุ' ที่ทำให้พวกเขาต้องตาย อีกอย่าง ผมคงไม่อยากโดนแอรีสขยี้เหมือนกระสอบทรายเน่าๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่ นั่นแหละเหตุผล ..โอเค ผมยอมแพ้ มันเป็นเพราะแอนนาเบ็ธ ชัดไหม?

..... ความคิดของเบียงก้าช่างน่าทึ่ง

..... ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ การเข้าไปอยู่ในหัวคนอื่นมันไม่เหมือนกับการเปิดหนังสืออ่านหรอกนะ มันขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเขาคิดอะไร เอาง่ายๆ คุณไม่สามารถเดินอาดๆเข้าไปรื้อลิ้นชักความทรงจำของพวกเขา ขุดคุ้ย หรือหยิบมาอ่านได้ตามใจชอบ ผมมีหน้าที่รอ รอว่าวันนี้เจ้าของจะหยิบหนังสือเล่มไหนขึ้นมา และอ่านมันไปพร้อมกับเขา ผมไม่รู้หรอกว่าลิ้นชักความทรงจำของเบียงก้ามันมีอะไรบ้าง เพราะบางส่วนก็ถูกลบจากการอาบแม่น้ำเลธีเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแค่ถูกเก็บอยู่ในส่วนลึกของลิ้นชักที่เจ้าของไม่อาจเอื้อม ใช่ มันอาจจะมีโอกาสหลุดออกมาได้บ้าง นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมบางคนถึงระลึกชาติได้ ว่ากันว่าพลังของแม่น้ำเลธีที่ใช้ลบความทรงจำมันทรงอานุภาพมาก โอกาสผิดพลาดแทบจะเป็นศูนย์ แต่ก็นะ มันก็แค่ในแง่ทฤษฎี

..... ผมตกอยู่ในสภาพ จิต-ที่สิงในจิต-ของร่างจิต-ของเบียงก้า มาเกือบสามวันแล้ว เฮ้ มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรอกนะ บางทีถ้าเบียงก้ามีความคิดอย่างอื่นบ้าง มันคงจะตื่นเต้นไม่ใช่น้อยกับการรับรู้ความคิดเธอ แต่ก็ไม่ เธอใช้เวลาทุกวินาทีติดตามนิโค ดิแองเจโลไปทุกหนทุกแห่ง เฝ้ามองด้วยความห่วงหา อาลัย และเปี่ยมด้วยความรัก ประเด็นคือ ผมเป็นผู้ชาย และนิโคก็เป็นผู้ชาย การที่ผมต้องรับรู้ความรู้สึกแบบนั้นซ้ำๆมันเป็นอะไรที่.. ถ้ามีเสี้ยววินาทีที่ผมหวั่นไหวละก็ ทั้งหมดเป็นความผิดของเบียงก้า ..เดี๋ยวนะ ที่ผมเปิดอกพูดกับคุณ อย่าคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียวละ

..... วันนี้เป็นวันน่าเบื่ออีกวันที่เบียงก้าลอยอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลเพื่อเฝ้าน้องชายของเธอ ดวงตาสีนิลมองนิโคในคลาสฝึกอาวุธอย่างเลื่อนลอย ดาบสไตเจียนของเขายังเจ๋งเหมือนเคย คมของดาบสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นเงาวาววับชวนขนลุก ส่วนฝีมือการใช้อาวุธของเด็กชายก็ยังเฮงซวยเช่นเดิม สีหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวเมื่อโดนแคลรีสรัวดาบใส่ไม่ยั้ง เขาก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ตามน้ำหนักดาบที่ลงใส่ ผมมองคู่อื่นฟัดกันด้วยความคุ้นเคยแปลกๆ ผมเห็นแอนนาเบ็ธสวมเสื้อสีส้มที่สกรีนเป็นรูปเทพีเสรีภาพ เสื้อตัวเดิมที่ผมเห็นเมื่อเดือนก่อน เสื้อตัวที่ควรจะโดนคุณนายโอเลียรีงับจนขาดวิ่นไปแล้ว แก้มของเธอมีแผลที่เกิดจากดาบของมัลคอล์ม รอยแผลที่ควรจะสมานไปตั้งนานแล้วโผล่มาอยู่ที่เดิม ลักษณะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน มัลคอลม์และแอนนาเบ็ธประเคนดาบใส่กันและกันอย่างชำนาญ แต่จู่ๆมัลคอลม์ก็หยุด เขาลดดาบแล้วมองพี่สาวของเขาด้วยแววตาล้อเลียน แอนนาเบ็ธหันไปมองเด็กชายผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มสดใส เมื่อมองไปตามสายตาของเธอ ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมขนที่ก้นของผมตั้งชัน ...ผมเห็นตัวเอง

..... โอเค ตอนนี้นอกจากผมจะเข้าไปอยู่ในหัวของเบียงก้าแล้ว มันยังย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนที่แล้วด้วย สมองของผมเริ่มประมวลหนัก พร้อมกับที่ความคิดของเบียงก้าสะดุด เสียงแหวกอากาศดังขึ้นที่ด้านหลังทำให้เด็กสาวหันกลับไปมอง แล้วผมก็เห็นครูสอนคณิตศาสตร์ที่ผมแสนจะคิดถึง ...คุณนายด็อดส์ อะเล็คโตในร่างฟิวรี่ตัวลื่นๆตะปุ่มตะป่ำเต็มยศมาพร้อมกับพี่น้องทั้งสองของเธอ เบียงก้าผงะ ความกลัวแล่นปราดไปตามร่างกาย แต่ก่อนที่เธอจะได้ขยับตัวหนี พวกมันก็ดีดนิ้ว และผมก็เผชิญหน้ากับการเดินทางผ่านเงาอีกครั้ง ไม่มีคำกล่าวทักทาย ไม่มีคำเตือน ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ พวกฟิวรี่ยังคงทำตัวน่าคบเหมือนเดิม การเดินทางผ่านเงาครั้งนี้ช่างแปลกใหม่ ไม่มีเสียงดังชวนขนหัวลุก ไม่มีความรู้สึกว่าหน้ากำลังจะหลุด มีเพียงความเงียบ ผมเดาว่าอาการเหล่านั้นคงเป็นเพราะแรงเฉื่อยของมวลในร่างกาย แบบที่ผมเคยได้ยินมา ซิกมาเอฟเท่ากับศูนย์ กฎของนิวตัน กฎที่ผมท่องมาตั้งแต่เกรดสิบ ท่องโดยที่ไม่รู้ว่าท่องไปทำไม

..... อึดใจเดียวผมก็มาถึงวังแห่งฮาเดส

..... ประตูของอาคารสีดำที่มักมาพร้อมเสียงโหยหวนเปิดผ่างออกอย่างเชิญชวน ร่างของเบียงก้าลอยเข้าไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังบัลลังก์โครงกระดูก ที่มีร่างผอมแห้งของชายอายุประมาณสามสิบคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาคือฮาเดส ลุงที่เคารพรัก พ่อของเบียงก้าและนิโค บางอย่างในแววตาของเขาทำให้ผมไม่เกลียดเขามากแบบที่แล้วมา แม้มันจะดูเหี้ยมโหด บ้าคลั่ง และปราดเปรื่อง แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดความเศร้า ความห่วงใย และความรักเต็มเปี่ยมที่เขามีต่อเบียงก้า ชั่วขณะหนึ่งผมก็ตระหนักได้ว่าเทพเจ้าแห่งความตายก็เป็นพ่อที่ดีได้เช่นกัน แม้ผมจะชอบแววตาว่างเปล่าของโพไซดอนมากกว่า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสารเทพองค์นี้ เทพผู้ไม่เคยได้รับการต้อนรับจากใคร.. ฮาเดสนั่งด้วยท่วงท่าเย่อหยิ่งอยู่บนบัลลังก์โครงกระดูก เสื้อคลุมของเขาแผ่กลิ่นอายแห่งหายนะ ดาบต้องห้ามที่เขาไม่เคยแตะต้องหลังจากเพอร์ซิโฟเน่ขัดคำสั่งแอบทำขึ้นวางอยู่ข้างกายอย่างไร้ค่า หมวกแห่งความมืดไม่อยู่ที่นั่น มีเพียงแว่นกันแดดสีดำที่ดูแปลกตาวางอยู่แทนที่ ความคิดของเบียงก้าบอกผมว่านั่นเป็นอีกรูปหนึ่งของหมวกแห่งความมืด สัญลักษณ์แห่งอำนาจของฮาเดส เขาถลึงตามองเบียงก้าที่เคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน เมื่อร่างของเด็กสาวคุกเข่าลงตรงหน้า เขาก็ยันตัวขึ้น

..... "เบียงก้า" ฮาเดสเรียกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ไร้การตอบสนอง เบียงก้ายังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม เสียงเรียกของฮาเดสปลุกความทรงจำอันเลวร้ายและหดหู่ให้กรูกันเข้ามาในหัวของเด็กสาว ภาพที่ฮาเดสใช้อำนาจบีบคั้นเธอจนต้องหนีจากมา ภาพอสุรกายหลากหลายสปีชีส์ที่ไมนอสเอามาบรรณาการให้โดยไม่ได้ขอ ภาพการหนีหัวซุกหัวซุนที่เธอต้องเผชิญมาตลอดหลายปี ถูกฉายซ้ำอีกครั้งในความคิด

..... "...ท่านพ่อ" เบียงก้าขานรับด้วยเสียงสั่นๆ น้ำตาของเธอรินไหลกระทบพื้นหินอ่อนสีดำเกิดเสียงกังวานอย่างน่าอัศจรรย์ พวกผู้หญิงนี่ก็แปลก ร้องไห้ได้ร้องไห้ดีฝีมือไม่เคยตก บางทีท่อน้ำตาของพวกเธอ โพรมีเธอุสคงใช้ก๊อกน้ำซัลวาตอนปั้นพวกเธอละมั้ง ถึงได้เปิดปิดไวอย่างกับกดสวิตช์ แต่ก็อย่างว่า เทพเจ้าแห่งความตายก็ยังทำให้แมนๆอย่างพวกผมฉี่แตกได้แทบทุกครั้งที่เจอหน้าเลย ผมเห็นฮาเดสมองธิดาของเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร ประกายกราดเกรี้ยวก็วิ่งผ่านเข้ามาในแววตา พร้อมกับที่ร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างบัลลังก์ สายลมอบอุ่นของใบไม้ผลิพัดมาวูบหนึ่ง ก่อนจะถูกความหนาวเหน็บกัดกินหายไป

..... "ไม่ยักรู้ว่าท่านมีแขก" น้ำเสียงโกรธกรุ่น ของราชินีแห่งนรกดังขื้น ดวงตาเจิดจ้าจ้องเขม็งมาทางเบียงก้าที่เหลือบมองเพดานอย่างเซ็งๆ น้ำตาที่เมื่อครู่ไหลพรากหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (ผมบอกแล้วไงว่ามันสั่งได้) แม้แต่เด็กสาวแสนดีอย่างเบียงก้าก็ยังเป็นไม้เบื่อไม้เบาด้วย ผมว่าเพอร์ซีโฟเน่น่าจะลองพิจารณาตัวเองสักหน่อยนะ

..... "ข้าสั่งเจ้าว่าห้ามรบกวนไง!" ฮาเดสตวาด คลื่นโทสะแผ่กระจายไปทั่วห้อง ผมไม่เคยเห็นฮาเดสใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเพอร์ซิโฟเน่มาก่อน ปกติแล้วเขาจะเรียกนางว่า 'ยอดรัก' สรรพนามที่ชวนให้อ้วกผมพุ่งด้วยความสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่ได้ยิน

..... "ข้าแค่เป็นห่วงท่าน สวามีที่รัก ถ้าซุสรู้เข้า.." เพอร์ซีโฟเน่เอ่ยต่ออย่างเสแสร้ง ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจ้องเบียงก้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทีแสนเฟกที่น่าจะชนะรางวัลออสการ์มาสักสามร้อยสมัยของเธอ ทำให้ผมนึกถึงคราวที่ผม ธาเลีย และนิโคถูกหลอกให้ไปเอาดาบที่เธอแอบทำขึ้นมาคืน ดาบที่เธออ้างว่ามันเป็นความคิดของฮาเดส ดาบที่อาจจะนำมาซี่งสงคราม แต่ก็โชคดีไปที่ฮาเดสฉลาดพอจะรู้ทันเกมของนาง

..... "เผื่อว่าความจำของเจ้าจะเลือนไปตามวัยนะเพอร์ซิโฟเน่ คำสาบานนั่นถูกยกเลิกไปโดยแจ็กสันเมื่อปีที่แล้ว อย่าให้ข้าต้องออกปากไล่.." ฮาเดสกัดฟันจนกรามเป็นสันนูน ใบหน้าตอบฉายประกายบ้าคลั่งกว่าที่เคย น้ำเสียงและถ้อยคำหยามเหยียดที่เขาหยิบยกมาใช้ทำให้เพอร์ซีโฟเน่ถลึงตาใส่อย่างไม่เชื่อหู ฮาเดสจ้องกลับไปด้วยสีหน้าท้าทาย สุดท้ายนางก็ได้แต่หายใจฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหายวับไปในที่สุด จ้าวแห่งความเงียบงันเหลือบหางตาไปมองทางที่ที่เพอร์ซิโฟเน่เคยยืนด้วยสีหน้าถมึงทึง ตอนนี้เขาดูเหมือนเก๊บตอนท้องผูกมาได้สองสัปดาห์ หงุดหงิดและเกรี้ยวกราด

..... "นั่งก่อนสิ" เขาเอ่ยปากพร้อมกับผายมือไปทางบัลลังก์ของเพอร์ซิโฟเน่ ทว่าเบียงก้าไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองบัลลังก์ด้วยซ้ำ เธอใช้มือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ และเงยหน้าขึ้นมามองเทพเจ้าผู้ได้ชึ่อว่าเป็นพ่อด้วยสีหน้าชิงชัง แล้วเธอก็ทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน ลูกธนูที่ทำจากสัมฤทธิ์วิเศษถูกขึงเข้ากับคันธนูสีเงิน และเล็งไปที่หน้าอกซ้ายของฮาเดสในเสี้ยววินาที เด็กสาวจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาว่างเปล่า ณ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วในที่สุดว่าคำพูดที่เบียงก้าพร่ำบอกนิโคไม่เชื่อเรื่องโกหก ความเคียดแค้นเป็นจุดอ่อนถึงตายของบุตรธิดาแห่งฮาเดสจริงๆ

..... "เจ้าฆ่าข้าไม่ได้" ฮาเดสเอ่ยทำลายความเงียบที่ดำเนินมาหลายอึดใจด้วยเสียงเรียบเรื่อย หมอกกสีดำในดวงตาของเขาปั่นป่วนขณะจับจ้องไปที่ร่างบาง เบียงก้ายังไม่คลายสีหน้าว่างเปล่า ความเคียดแค้นชิงชังยังเกาะกุมจิตใจของเธอไม่ยอมปล่อย ผมสัมผัสรสชาติหวานเลี่ยนของเพลิงโทสะและอ่านความคิดของเบียงก้าไปพร้อมกัน ผมเคยคิดว่าเบียงก้ารักฮาเดส และฮาเดสก็แสดงท่าทีมาตลอดว่าเขาภูมิใจในตัวธิดาคนนี้แค่ไหน บัดนี้ความคิดของเบียงก้ายืนยันกับผมอีกครั้งว่ามันคือความจริง ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เบียงก้าเปลี่ยนไป ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของฮาเดสคือการห้ามไม่ให้เธอไปหานิโค เมื่อเธอแข็งขืนและโดนไมนอสทำร้าย เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น โดยหารู้ไม่ว่ามันเป็นการหยั่งรากลึกให้กับเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้กับดวงวิญญาณที่เคยสุกสว่างไปด้วยความดี ฮาเดสไม่เคยเข้าใจว่าการขออนุญาตไปหานิโคคราวนั้นคือการไปสั่งลาเพื่อจะไปเกิดใหม่ตามที่เขาต้องการ กว่าเขาจะรู้ตัวความมืดมิดจากความเจ็บปวดในจิตใจของธิดาของเขาก็เติบโต รุกรานและครอบงำจิตใจดีงามของเธอจนแทบไม่เหลือ

..... "ข้ารู้ว่าท่านเป็นอมตะ..." เบียงก้าเปรยด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของเธอกระด้างกระเดื่องอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เปลวไฟสีดำที่ลุกโชนในจิตใจของเธอทวีความรุนแรงขึ้น สิบเท่าของที่ลุคเคยเป็น มากกว่าที่นิโคเคยมี แทบจะเทียบได้กับโครนอส

..... "..ข้าแค่อยากจะรู้ ว่าเทพเจ้าอย่างท่านเคยมีหัวใจบ้างไหม เคยคิดจะใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นบ้างรึเปล่า หรือว่าพวกท่านหยิ่งยโสจนไม่รู้ตัวว่าจิตใจของพวกท่านมันโสมมขนาดไหน!" เบียงก้าตะโกนลั่น เธอเค้นเสียงออกมาสุดปอดราวกับจะกรีดร้อง เด็กสาวส่งรอยยิ้มเย้ยหยันให้กับฮาเดสอย่างไม่เกรงกลัว ปีศาจแห่งโทสะในตัวของเธอกำลังครอบงำเด็กสาวมากขึ้นทุกที

..... "เป็นถึงจ้าวนรก จ้าวแห่งความตาย แต่กลับไม่มีความยุติธรรม ไม่เคยรับฟังอะไร หรือว่าความชั่วช้ามันกลืนกินสามัญสำนึกของท่านไปจนหมดแล้ว ท่านมันก็เป็นแค่หุ่นเชิดของปีศาจ ชั่วไม่ต่างจากโครนอสหรอก!" ผมตะลึงกับถ้อยคำผรุสวาทที่พรั่งพรูออกมาจากปากเบียงก้า ใบหน้าแหลมของฮาเดสกระตุกด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเบิกตากว้างจ้องธิดาของเขาด้วยแววตาที่ยิ่งกว่าความเสียใจ มือของฮาเดสกระตุกอย่างไร้ทิศทางขณะกำลังต่อสู้กับโทสะในจิตใจ ไม่ต่างจากเบียงก้าที่กำลังจะถูกปีศาจกลืนกินอย่างสมบูรณ์ ผมพยายามตะโกนเรียกเบียงก้าให้ตั้งสติ เสียงความคิดของผมแหลมเล็กราวกับหมาจนตรอกเมื่อพบว่ามันไปไม่ถึงเด็กสาว เบียงก้ารั้งธนูเข้ามาเตรียมพร้อมด้วยมืออันสั่นเทา ผมกลั้นใจไม่รับรู้เมื่อเบียงก้ากำลังจะยิง แต่แล้วเสียงของฮาเดสที่เริ่มจะควบคุมตัวเองได้แล้วก็ดังขึ้น

..... "ยิงข้า ถ้าเจ้าปรารถนา" ฮาเดสพูดพร้อมกับอ้าแขน จ้าวแห่งความตายปลดอาวุธออกจากตัวทีละอย่างอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเริ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างบาง เบียงก้าเบิกตากว้างขึ้นตามก้าวเดินที่ฮาเดสเหยียบย่าง สายตาของเธอถูกตรึงไว้กับร่างสูงที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ มือเรียวสั่นหนักหน่วงขึ้นตามเข็มวินาทีที่ก้าวเดิน น้ำตาเค็มปร่าไหลลงมาจากหางตาทั้งสองข้างเป็นทางด้วยความเจ็บปวด จิตใจของเธอกำลังดิ้นรนให้พ้นจากการเกาะกุมของความเคียดแค้น จนในที่สุดเธอก็ทรุดลงไปกองกับพื้น เมื่อไฟแห่งความโกรธมอดลง ความหวาดกลัวก็เข้าโจมตีเด็กสาวจนไม่อาจขยับตัว

..... ฮาเดสเซอร์ไพรส์ผมเป็นครั้งที่ล้านสามของวันด้วยการทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเบียงก้า เขามองเด็กสาวที่สะอื้นจนตัวโยนด้วยแววตาเปล่งประกาย เสียงร่ำไห้ของร่างบางยังคงดำเนินต่อไปโดยมีฮาเดสนั่งมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่บางอย่างในดวงตาของเขาปลอบประโลมให้เบียงก้าหยุดร้องไห้ได้ในที่สุด ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเงยขึ้นอย่างตั้งคำถาม เมื่อมือของฮาเดสยื่นมาข้างหน้าเธอ บังเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดระหว่างทั้งสองชั่วครู่ ก่อนที่เบียงก้าจะวางมือลงบนมือของเทพเจ้า และประคองกันลุกขึ้น

..... "ข้าเสียใจที่ตัดสินเจ้าผิดไป แต่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่เคยมีวันไหนที่ข้าไม่ภูมิใจในตัวเจ้า.." ฮาเดสเริ่มด้วยน้ำเสียงเนิบ แต่ดวงตาของเขาที่มองตรงมาสื่อความหมายอย่างชัดเจน

..... "..เจ้าคือธิดาแห่งข้า ไม่ว่าเจ้าจะทำผิดพลาดแค่ไหนก็ตาม เช่นเดียวกับที่ข้าคือบิดาของเจ้า เบียงก้า ดิแองเจโล" แม้ว่าฮาเดสอาจจะดูเป็นตัวร้ายในสายตาใครหลายๆคน (สำหรับผมด้วยเช่นกัน) แต่สิ่งที่น่ายกย่องของเขาคือการปกป้องสิ่งที่เขารัก เขาทำมันได้อย่างไร้ที่ติ ยังไงก็เถอะ มันอาจจะเป็นเพราะคอนเฟล็กซ์ของดีมิเทอร์ก็ได้ ที่ทำให้ฮาเดสประสาทกลับ

..... เบียงก้าทรุดตัวลงอีกครั้งต่อหน้าฮาเดส เธอคุกเข่าและจ้องฮาเดสด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากอะไร ฮาเดสก็แทรกขึ้นเสียก่อน

..... "ข้ารู้ว่าเจ้าจะขออะไรเด็กน้อย ..แต่การขอสิ่งนั้นจำต้องมีข้อแลกเปลี่ยน" ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวจากความคิดของเบียงก้า สิ่งที่เธอจะขอก็คือการได้กลับไปใช้ชีวิตกับน้องชาย เพื่อจดจำและบอกลา แบบที่ผมเห็นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ปัญหาคือข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าคืออะไร

..... "ทุกอย่างที่ท่านต้องการท่านพ่อ" เบียงก้าตอบรับทันควัน ไม่มีวี่แววความลังเลใดๆในสายตา ทุกถ้อยคำของเธอเปึ่ยมไปด้วยอำนาจไม่ต่างจากฮาเดส เทพเจ้าพยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม

..... "ข้าอยากให้เจ้าพบใครคนหนึ่งก่อน" ฮาเดสกระตุกยิ้มมุมปาก และผายมือไปทางหญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าสมบูรณ์แบบคุ้นตา ร่างสูงโปร่งของเธอที่ถูกสวมทับด้วยชุดสีดำสนิทเคลื่อนตัวมาอย่างสง่างาม ดวงตาของเธอจับจ้องมาทางเบียงก้าด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเผือด แล้วผมก็นึกออก ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนมาเรีย ดิแองเจโลไม่ผิดเพี้ยน!

..... "เบียงก้า นี่แมรี่ ฝาแฝดผู้พี่ของมาเรีย ดิแองเจโล ผู้หยั่งรู้แห่งฮาเดส"






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 10 2013, 08:30 PM
โพสต์ #7


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | คำพยากรณ์ | -



..... ฮาเดสช่วย

..... จริงอยู่ที่ว่า จ้าวแห่งความตายมีผู้หยั่งรู้เป็นของตัวเองสร้างความประหลาดใจให้ผมไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่ากับชื่อที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดของคนที่เธอเลือก ให้ตายสิ แมรี่ ดิแองเจโลเนี่ยนะ!?

..... "เบียงก้า นี่แมรี่ ฝาแฝดผู้พี่ของมาเรีย ดิแองเจโล ผู้หยั่งรู้แห่งฮาเดส" เสียงของฮาเดสดังก้องอยู่ในหัวของเบียงก้าซ้ำไปซ้ำมา และแน่นอน ในหัวผมด้วยเช่นกัน

..... "สวัสดีจ้ะเบียงก้า" แมรี่ ดิแองเจโลเอ่ยด้วยสำเนียงอิตาลีที่ฟังยังไงก็เหมือนมาเรียไม่มีผิด เธอส่งยิ้มให้กับเบียงก้าเพื่อซ่อนสีหน้าเคลือบแคลง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันมาก่อน

..... "เบียงก้า" ฮาเดสเรียกซ้ำเมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่มีการตอบสนอง เบียงก้าอ้าปากค้าง ดวงตาจับจ้องไปยังผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นป้าด้วยสีหน้าที่เกือบจะเรียกได้ว่า.. สติแตก ความคิดของเธอตีรวนจนผมจับใจความแทบไม่ได้ ลิ้นชักความทรงจำกำลังถูกรื้ออย่างร้อนรน รวดเร็วราวกับป่าโดนถาง ความทรงจำแทบทั้งหมดถูกตีแผ่ตรงหน้า แต่ไม่มีความทรงจำไหนเชื่อมโยงถึงแมรี่ ดิแองเจโลเลยแม้แต่น้อย

..... ก่อนที่เบียงก้าจะทันได้ตอบสนองต่อคำพูดของฮาเดส ปฏิกิริยาของแมรี่ก็กระชากความสนใจจากเธอไปเสียก่อน หญิงสาวงอตัวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีนิลเบิกโพลงอย่างผิดธรรมชาติ เธออ้าปาก พยายามกรีดร้อง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา เบียงก้าตวัดสายตาไปหาฮาเดสที่ยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ความงุนงงระดับแมกซิมัมแผ่ซ่านไปทุกเซลล์ในร่างกายของเด็กสาว และก่อนที่จะได้พูดอะไร จู่ๆสายตาตื่นตระหนกของแมรี่ก็เปลี่ยนไป มันกลายไปเป็นดวงตาเลื่อนลอย สงบนิ่ง เก่าแก่ และทรงอำนาจอย่างประหลาด เสียงงูขู่ฟ่อเลื้อยมาตามโสตประสาทของเด็กสาวจนผมขนลุกเกรียว และผมจำมันได้ จิตของผู้หยั่งรู้มาเยี่ยมเราด้วยตัวเอง

..... "จงตามหาสามมหาคีตกวี.." โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า มันก็เริ่มต้นอีกครั้ง คำพยากรณ์ที่ตามหลอกหลอนผมไม่ว่ายามหลับหรือตื่น แมรี่เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า ดวงตาเลื่อนลอยไร้สติมองมาที่เบียงก้า และไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่าที่ว่าผู้หยั่งรู้มองทะลุมาที่ผม เดี๋ยวนะ ผมเป็นแค่จิตไม่ใช่หรอ เธอจะมาเห็นได้ยังไง หรือว่าเธอวางแผนไว้ล่วงหน้า ให้ตายสิ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้า ถ้านี่เป็นแผนจะปั่นหัวผมละก็ เธอทำสำเร็จ

..... "ข้ายังไม่ได้เริ่มเกริ่นเลยนะเดลฟี ไหนเราตกลงกันว่..." ฮาเดสแทรกขึ้นมา พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ความสนใจพุ่งกลับมาที่เขา

..... "เป็นกุญแจพลีชีวีผู้สูญหาย.." เดลฟียังคงพูดต่อราวกับฮาเดสไม่มีตัวตน ส่งผลให้ความโกรธจุดประกายบนใบหน้าบ้าคลั่งของเทพเจ้า และยิ่งทำให้เขาโมโหขึ้นไปอีกเมื่อแมรี่หันมาแสยะยิ้มอย่างท้าทายให้ฮาเดส ผมรอที่จะเห็นเทพเจ้าแห่งความตายอาละวาด แต่ก็ไม่ ฮาเดสเพียงแค่กำหมัดแน่น และถลึงตาใส่อย่างข่มขู่ เดาว่าผู้หยั่งรู้คงมีข้อต่อรองบางอย่างกับฮาเดส ไม่อย่างนั้นป่านนี้เธอคงกลายเป็นเชือกผูกรองเท้าให้เขาไปแล้ว ถ้าผมจะบอกว่าผมแอบสะใจเล็กๆจะเป็นอะไรไหม

..... "...สังเวยสองเครื่องบูชาแดนคนตาย ผู้อมตะเผยตราบาปที่เงียบงัน" ทันทีที่มันจบลง ร่างของแมรี่ก็ทรุดลงไปกองกับพื้น และนั่นก็ช่วยเรียกสติของเบียงก้ากลับมาได้ เธอถลาเข้าไปประคอง แต่กลับชะงักกลางคัน ความสับสนเข้าโจมตีเธออีกครั้ง พร้อมกับเสียงคำรามจากฮาเดสดังขึ้น ไอสีเขียวของจิตวิญญาณพยากรณ์พุ่งออกจากร่างโปร่งของแมรี่ตรงไปหาฮาเดสอย่างไม่เกรงกลัว ควันสีเขียวเหม็นอับวนรอบหัวของเทพเจ้าแห่งความตายอย่างท้าทาย ส่งผลให้ฮาเดสคำรามด้วยความโกรธ และก่อนที่เขาจะระเบิดพลังทำลายล้าง ไอสีเขียวก็หายวับไป

..... "ท่านพ่อ นี่คงไม่ใช่.." เบียงก้าลากเสียงอย่างไม่แน่ใจ ความไม่เชื่อที่ฉายชัดในน้ำเสียงช่วยดึงสติของฮาเดสที่ทำท่าว่าจะลอยตามเดลฟีไปให้กลับมา เทพเจ้ายืนนิ่งราวกับกำลังพยายามรวบรวมคำพูด อึดใจเดียว เขาก็เปิดปาก

..... "ป้าของเจ้า เป็นหญิงสาวผู้มีดวงตากระจ่าง นางแลกชีวิตกับน้องสาวที่นอนอาการโคม่า และนั่นทำให้ข้าได้เจอมาเรียเป็นครั้งแรก" ฮาเดสเล่าด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย เค้าหน้าเวิ้งว้างทอดสายตาอย่างอ่อนล้า รอยยับย่นบนใบหน้าที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังทำให้เขาดูแก่ลงไปสักล้านปี ซึ่งก็เตือนผมให้จำได้ว่ามันคืออายุที่แท้จริงของเขา

..... "พ่อก็เลยให้ป้.. เอ่อ ..เขา มาเป็นผู้หยั่งรู้ เพื่อถ่วงอำนาจกับโอลิมปัส" เบียงก้าเค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก

..... "มันเป็นข้อแลกเปลี่ยน" ฮาเดสส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าเบียงก้าเริ่มเพ้อไปไกล ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความคิดของธิดาแห่งฮาเดสช่าง.. ผมก็รู้สึกแบบที่พวกผู้หญิงชอบเหน็บความคิดในหัวผมน่ะแหละ

..... "ข้อแลกเปลี่ยน?" เบียงก้าผูกโบว์สามทบบนคิ้วของเธอ หน้าผากยับย่นด้วยความงุนงงถึงขีดสุด

..... "เพื่อแลกกับการเดินทางครั้งนี้ ..แล้วเจ้าจะเข้าใจ" ฮาเดสตัดบท พร้อมกับเสียงฝีเท้าหกคู่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกเด็กสาวให้หันไปมอง เทพเจ้าแห่งอเวจีอาศัยจังหวะนั้นหยิบแว่นขึ้นมา เมื่อหันไปอีกที ก็เหลือเพียงบัลลังก์โครงกระดูกที่ว่างเปล่า

..... "เบียงก้า?" เด็กสาวผู้มีรัดเกล้าคุ้นตาวิ่งนำมาก่อนใคร โผกอดเบียงก้าที่ตั้งรับแทบไม่ทัน โซอี้ยังสง่างามในชุดพรานเหมือนเคย ผิวของเธอดูเหมือนจะเปล่งแสงสีเงินออกมาเล็กน้อย เดาว่าน่าจะเกิดจากการไปเป็นดวงดาวโลดแล่นอยู่บนฟ้า ที่ที่ผมจะตายทันทีที่ขึ้นไป น่าขนลุกชะมัดที่พวกเขาเปล่งแสงได้ มันทำให้ผมนึกถึงวันที่ผมกับแม่ไล่จับหิ่งห้อยที่มอนท็อคจนหมดแรง และมารู้ทีหลังว่ารังของมันอยู่บนต้นไม้หลังบ้านพัก ห่างออกไปไม่ถึงสามก้าว

..... "..พี่สาวของนิโคหรอ" จู่ๆเด็กสาวที่มีใบหน้าสมบูรณ์แบบคนนึงยื่นหน้าเข้ามาระหว่างโซอี้และเบียงก้า ดวงตาสีฟ้าสดใสสำรวจเบียงก้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

..... "ไซเลน่า" แขนที่มีกล้ามเป็นมัดของเบ็กเคนดอร์ฟพยายามแกะธิดาแห่งอะโฟรไดท์ออกจากเบียงก้าด้วยความยากลำบาก บุตรแห่งเฮเฟตัสหลิ่วตาให้เด็กชายอีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือ ไมเคิล ยู ฉีกยิ้มขณะที่ไซเลน่ากรีดร้องกับปิ่นปักผมอันใหม่ ลูกธนูที่อุดมไปด้วยสนิมสามอันปักผมยาวสลวยของเธอจนพันกันยุ่งเหยิง

..... "เอาละ หมดเวลาสำหรับการดราม่าแล้วยัยพวกปัญญาอ่อน ทำเหมือนไม่ได้เจอกันมาสักสามล้านปีแสงไปได้ ไร้สาระชะมัด เราจะไปกันได้รึยังไม่ทราบ" เสียงเหน็บแนมจากเด็กชาย ทำให้อีกห้าคนชะงัก เสียงดีดนิ้วของลุค คาสเทลแลนดังเป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมสังเกตเห็นดวงตาครุ่นคิดของบุตรแห่งเฮอร์มีสที่จ้องเด็กชายอยู่ก่อนแล้ว เบียงก้าไล้สายตาไปตามร่างของเด็กชายด้วยสายตาพิจารณา ร่างเก้งก้างบ่งบอกว่าคนตรงหน้าอายุไล่เลี่ยกับนิโค ผ้าปิดตาสีดำที่ดูคุ้นตา เด็กชายยังคงผอมแห้งเหมือนเดิม ความบึ้งตึงยังสลักอยู่บนหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีบางอย่างผิดปกติ ผมมองบุตรแห่งเนเมซิสบ่นพึมพำกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยความพรั่นพรึง เมื่อพบว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ลุคระแวง เท่าที่ผมรู้จัก .... นี่ไม่ใช่อีธาน นากามูระ






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Apr 21 2013, 02:57 PM
โพสต์ #8


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | พวกเราโดนเสียงปริศนาโจมตี | -



..... - เฮร่า
..... - แอรีส

..... ผมลิสต์รายชื่อสองแม่ลูกนี้ออกมาได้ขณะที่คณะเดินทางทั้งเจ็ดเริ่มออกเดินทาง หลังจากมั่นใจแล้วว่าคนที่ใส่ผ้าปิดตาและดูเหมือนอีธานนั่นไม่ใช่เขา ก่อนจะคิดได้ว่า ผมอยู่ในร่างเบียงก้า ไม่ใช่ตัวผมเอง ฆ่าแอรีสทิ้งและเพิ่มซุสลงไป เยี่ยม สองผู้อมตะ ราชาและราชินีแห่งทวยเทพ ผมขอแอรีสกลับมายังทันไหม อย่างน้อยเขาก็ไม่มีสมอง น่าจะดีกว่าเล่นกับสายฟ้า

..... "ลุค นายรู้ทางไปทาร์ทารัสใช่ไหม" โซอี้หันมาถามบุตรแห่งเฮอร์มีสที่กำลังเดินลากเท้าตามหลังอีธานด้วยสายตากึ่งข่มขู่ ดวงตาสีฟ้าหม่นของลุคที่จับจ้องบุตรแห่งเนเมซิสไม่วางตาฉายแววหงุดหงิดชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะยอมละสายตามาหาอดีตหัวหน้ากลุ่มพรานพร้อมกับเลิกคิ้ว

..... "นำไปหน่อยสิ" โซอี้ยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดฝีเท้า พร้อมกับผายมือให้ลุคด้วยสีหน้าท้าทาย แต่ลุคกลับยืนกอดอกนิ่งไม่ขยับไปไหน ดวงตาของโซอี้กระตุกเล็กน้อยเมื่อถูกต่อต้าน

..... "เบียงก้าก็นำไปได้ ใช่ไหม" เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้ธิดาแห่งฮาเดส ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาไปทะเลาะกันตอนไหน ก็ตอนเลือกผู้นำการเดินทางน่ะแหละ ลุคคิดว่าเบียงก้าควรจะได้เป็น แต่โซอี้คิดว่าตัวเองควรจะได้เป็นมากกว่า ส่วนตัวต้นเหตุอย่างเบียงก้าก็ไม่ยอมออกความเห็น ในหัวของเธอมีแต่เรื่องของแมรี่ ดิแองเจโลชอนไชไปทั่ว เมื่อลุคถามเธอก็ได้พยักหน้าอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก แค่ตอนนี้เธอก็ดูเหมือนคนสติแตกเต็มที

..... "นายแน่ใจหรอไมเคิล" เบ็กเคนดอร์ฟขัดขึ้นอีกครั้ง หลังจากพยายามแย้งมาตลอดทาง การที่ไมเคิลบอกว่าสามมหาคีตกวีมีบ้านพักอยู่แถวนรกทาร์ทารัส ผมเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าใครมันจะบ้าขนาดไปตั้งรกรากใกล้ๆโครนอส แต่ไมเคิลเป็นบุตรแห่งอพอลโล เทพแห่งกวี คำพูดของเขาจึงมีน้ำหนัก แม้กลอนไฮกุของพ่อเขาจะทุเรศทุรังแค่ไหนก็เถอะ

..... "นายแค่ไม่อยากเข้าไปที่นั่นมากกว่าละมั้ง เบ็กเคนดอร์ฟ" ไมเคิลถากถางกลับด้วยประโยคเดิม ว่ากันว่าเลยปากนรกทาร์ทารัสก็จะเป็นโลกมนุษย์ รอยต่อระหว่างสองโลกที่เรียกว่า 'ดาโรก้า' รอยต่อที่ทางเข้าจากนรกผ่านได้เฉพาะคนเป็น และทางเข้าจากโลกมนุษย์ผ่านได้เฉพาะคนตาย ซึ่งจริงๆไม่รู้จะมีทำไม ไอ้ทางเข้าที่ไม่มีวันเข้าได้เนี่ย แต่ก็นะ ทุกอย่างถูกสร้างและดำรงอยู่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง บางอย่างที่ผมแน่ใจว่าผมเคยรู้ ถ้าเพียงแต่รอยหยักในหัวผมมันมีมากกว่านี้ผมคงนึกออก..เอาเป็นว่าหนึ่งในความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ คือที่ที่เฮร่าโยนเฮเฟตัส พ่อของเบ็กเคนดอร์ฟลงมาจากโอลิมปัส และถ้าผมเป็นเขา ผมคงไม่อยากเข้าไปใกล้แถวนั้นเท่าไหร่เหมือนกัน

..... "ไม่เอาน่า ไมเคิล" ไซเลน่าแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเล็กแหลมที่คล้ายจะเป็นการกรีดร้องมากกว่าเมื่อเห็นบุตรแห่งเฮเฟตัสเริ่มถลกแขนเสื้อสีหน้าของเบ็กเคนดอร์ฟถมึงทึง ชวนให้นึกถึงตรอกมืดแถบแมนฮัตตันที่อุดมไปด้วยแมลงสาบยุบยับและหนูตัวเท่าแมว ตลาดมืดที่พวกอันธพาลจะไปหาซื้อ เลิฟ ไอซ์ อะไรเทือกนั้น แต่แล้วเสียงตะคอกของโซอี้ก็ดึงความสนใจจากทุกคนไป

..... "เบียงก้า ทางไหน!" โซอี้กดเสียงด้วยอารมณ์ปั่นป่วนเมื่อเด็กสาวที่ผมสิงร่างไม่มีการตอบสนอง ห่างออกไปไม่ไกล เสียงของบุตรแห่งเฮอร์มีสก็ดังเหน็บแหนมป่่วนประสาทธิดาแห่งแอตลาสไม่ขาดสาย

..... "ชาตินี้จะถึงทาร์ทารัสไหมครับ คุณหัวหน้าคณะเดินทาง" ลุคพูดลอยๆด้วยน้ำเสียงยียวน

..... "เบียงก้า.." โซอี้พยายามข่มกลั้นคลื่นโทสะ เธอเบือนหน้าหนีจากลุคและพยายามหันไปเค้นคอกับเบียงก้า แต่เสียงของใครบางคนก็ขัดขึ้น

..... "ซ้าย" คนที่พยายามจะเป็นอีธานเอ่ย

..... "นายรู้ได้ไง" ไมเคิลถามขึ้นทันที ดวงตาหวาดระแวงห้าคู่จู่โจมเจ้าของเสียงบอกทางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

..... "เคยมา" ประโยคเดิมที่ความหมายไม่ต่างจากการบอกให้หุบปากดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ไมเคิลได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง เพราะตลอดทางอีธานก็เอาแต่เงียบ (หลังจากรัวกระสุนคำพูดจนชาวบ้านสตั๊นไปตอนยังอยู่ที่วังแห่งฮาเดสน่ะนะ) นอกจากเวลาบอกทางเท่านั้น และเมื่อมีใครถาม เขาก็จะพูดแค่ว่า เคยมา และเป็นใบ้ไปจนกว่าเราจะเจอทางแยกอีกอัน ผมขอเรียกว่า 'อีธาน' แทน 'คนที่พยายามจะเป็นอีธาน' แล้วกัน ถือว่าเราเข้าใจตรงกันว่า อีธานไม่ใช่อีธาน ... เยี่ยม จบงานนี้ผมต้องไปแกะไดโอนีซุสออกจากหน้าเครื่องเกมมารักษาผม ก่อนจะโดนแอนนาเบ็ธเตะโด่งไปสถาบันฟื้นฟูสุขภาพจิตแล้วละ

..... เอาตามตรง นี่เป็นคณะเดินทางที่พิลึกพิลั่นที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ใบ้หนึ่ง สติแตกหนึ่ง หวาดระแวงอีกหนึ่ง อีกคนทำตัวเหมือนคนหมดประจำเดือน สามคนที่ดูจะปกติที่สุด ก็เอาแต่เถียงกัน จะว่าปกติก็ไม่น่าใช่ จอมแหกปากคนนึง บ้ากำลังอีกหนึ่ง ดูเหมือนบุตรแห่งอพอลโลจะดูดีที่สุดในกลุ่มแล้วละ

..... "ถึงแล้ว" เสียงของไมเคิลและอีธานที่ดังประสานกันโดยไม่ได้นัดแนะ เรียกทุกคนให้มองไปรอบตัว ทางเดินลาดชันและผนังถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยปกคลุมด้วยตะไคร่สีดำลื่นๆดูไม่ต่างจากที่เดินผ่านมา แม้แต่คนรู้ทางทั้งสองก็ดูจะประสาทเสียเช่นเดียวกับคนอื่น ไมเคิลมองไปยังจุดที่ผนังถ้ำกว้างที่สุดอย่างไม่เชื่อสายตา ส่วนอีธานก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว ประมาณว่า 'ตาแก่หายไปไหน'

..... "..เลือดผสม" ท่ามกลางความสับสนในหัวของวิญญาณทั้งเจ็ด ก็มีเสียงแหบแห้งจนแทบระบุเพศไม่ได้ลอยมาสัมผัสเยื่อแก้วหู แม้จะเป็นสัมผัสบางเบาแต่กลิ่นอายบางอย่างที่มาพร้อมกับมันกลับเข้มข้นอย่างน่าประหลาด และดึงความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่เบียงก้า มนุษย์กึ่งเทพทั้งเจ็ดตัวแข็งทื่อ เหลือบตาไปมองบุตรแห่งเฮอร์มีสเพื่อรอสัญญาณ

..... อย่าเพิ่งแปลกใจ จริงอยู่ที่โซอี้เป็นหัวหน้าการเดินทาง แต่ลุคจะขึ้นแทนทันทีถ้าทีมีอะไรผิดปกติ ทุกคนเห็นชอบแม้ว่าที่จริงอยากจะให้ลุคเป็นหัวหน้าลำพังก็ตาม แต่คงยากที่จะกล่อมพวกบ้าศักดิ์ศรีอย่างโซอี้ พวกเขาจึงปล่อยให้เธอทำตามที่เธอพอใจ เพราะยังไงทุกคนก็เชื่อลุคมากกว่าอยู่ดี

..... ลุคหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิดก่อนจะยกมือขวาขึ้นมา เขาหันหลังมือออกจากตัวและดึงมันมาชิดหัวนมที่ไม่มีการขยับของก้อนเนื้อภายใน นิ้วชี้อีกข้างวาดรูปวงกลมกลางอากาศ สัญญาณมือของค่าย ที่แม้ผมจะไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยสักครั้งแต่ก็เข้าใจความหมายของมัน 'หลังชนหลังเป็นวงกลม' เป็นการจัดแถวที่ใช้กันบ่อยที่สุด ถ้ามันสามารถฝังตัวเองในซีรีบัมของผมได้ ก็ไม่มีทางที่สัญญาณจะผิดพลาด ขาเจ็ดคู่ลากเท้าถอยหลังช้าๆโดยไม่คลาดสายตาไปจากระยะการมองเห็นของตนแม้แต่เซนต์เดียว อีธานถลึงตาจนแทบจะหลุดจากเบ้าขณะลากขาผอมแห้งของเขาที่วางอยู่ไกลจุดรวมพลที่สุด และมันทำให้ผมสังเกตบางอย่าง ขาของเขามีบางอย่างผิดปกติ มันเรียบเนียน เรียวสวยอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีขนหน้าแข้งและผิวกระด้างโผล่ให้เห็นเป็นหย่อมๆ เหมือนเวลาคนโฟโต้ชอปภาพแล้วมันไม่เนียน ย้ำและดันลางสังหรณ์ของผมให้ใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น

..... "นั่นใคร" โซอีแข็งใจตะโกนถามกลับไป ดวงตาของเธอฉายแววประหวั่นพรั่นพรึงไม่ต่างจากคนอื่น

..... "ใครคือข้า ข้าคือใคร ตรงไหนเล่า ที่สำคัญ" บังเกิดความเงียบเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เสียงแหบแห้งจะลอยมาอีกครั้ง

..... "..ให้ฉันคุยเอง" ไมเคิลใช้พูดเบาๆ ก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้า การจัดแถวที่เสียรูปทำให้อีกหกคนกระสับกระส่าย

..... "เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน" ไมเคิลเริ่ม น้ำเสียงของเขากังวานและมีพลังมากกว่าที่เคย เบียงก้าเขม้นมองด้วยความแปลกใจ พลังงานบางอย่างที่สาดใส่กันด้วยคำพูดของทั้งสอง ..ไม่ธรรมดา

..... "..บุตรแห่งอพอลโล" เสียงปริศนารำพึงอย่างเลื่อนลอย

..... "และพี่น้องของท่าน" คำพูดเรียบง่ายของไมเคิล ทำให้คิ้วของทุกคนผูกปม เบ็กเคนดอร์ฟทำหน้าเหมือนถูกตุ๊ยท้องเข้าอย่างจัง แต่ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่กวีในตำนานจะเป็นบุตรแห่งอพอลโลเช่นกัน

..... "...บุตรแห่งอพอลโลไม่มีวันหันหลังให้ใคร เจ้าไม่ใช่บุตรแห่งอพอลโล!" เสียงที่เคยแหบแห้งค่อยๆดังขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นเสียงตะโกน สิ้นเสียงของบุคคลปริศนา ควันสีทะมึนก็พุ่งทะยานขึ้นมาจากกลางวง และอีธานดูเหมือนเป็นคนแรกที่ได้สติ

..... "ลุค!" อีธานตะโกนด้วยสีหน้าตระหนก หลังจากได้สติว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า เจาะทะลุผ่านความปลอดภัยขี้นสูงสุด พื้นที่เล็กๆพวกเขาหันหลังให้เป็นแหล่งกำเนิดของควัน

..... "ถอย!" ลุคโห่ร้องพร้อมกับพุ่งตัวไปข้างหน้า เช่นเดียวกับอีกสี่ร่าง ที่ดันตัวเองไปจนชิดผนังถ้ำ เดี๋ยวนะ..สี่ร่าง?

..... ตู้ม!
..... เสียงระเบิดดังลั่นจนหินงอกหินย้อยชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงระนาวลงมาราวกับห่าฝน เบียงก้าหลับตาปี๋และกุมหัวตัวเองไว้แน่น แม้ว่าดวงวิญญาณคงจะไม่ได้รับอันตรายจากของพวกนี้อยู่แล้วก็ตาม แต่แล้วผมก็รู้ตัวว่าคิดผิด เมื่อแขนบางส่วนของเบียงก้าเริ่มเป็นรู ไอคิวส่วนน้อยของผมดิ้นรนเพื่อหาข้อเท็จจริงสำหรับสิ่งนี้ และผมก็จำได้ ภาพที่เซอร์บีรัสนั่งทับวิญญาณจนลมออกและแบนแต็ดแต๋เหมือนลูกโป่งที่โดนเจาะ..

..... "กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องความดังร้อยเดซิเบลเคลื่อนที่ฝ่าฝุ่นสีขาวคละคลุ้งตรงเข้าโสตประสาทของทุกคนหลังจากเสียงระเบิดไม่นาน เสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัว เสียงที่เต็มด้วยความปวดร้าว เสียงหวีดสยองที่ทำให้ขนหัวของผมพร้อมใจกันตั้งชัน แต่นั่นก็ไม่น่าสะพรึงเท่ากับความจริงที่ว่า มันเป็นเสียงของไซเลน่า เบอร์เรอการ์ด..






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 3 2013, 06:15 PM
โพสต์ #9


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | คุณทำให้ฉันคลั่ง | -



..... ถ้าเบียงก้าจะมีศัตรู ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ามันคือสิ่งที่เรียกว่า 'โชคชะตา'

..... หลังจากเศษหินนับร้อยถล่มลงมาบนร่างของเหล่าวิญญาณ โชคก็ดูจะเข้าข้างธิดาแห่งฮาเดสเป็นพิเศษ เมื่อร่างแบนๆที่โดนเจาะทะลุมากที่สุด จางลงจนเกือบจะเลือนหาย วิญญาณอีกสี่ร่างใช้เวลาไม่นานนักในการฟื้นตัว ผิดกับเบียงก้าที่นอกจากจะโดนหนักกว่าคนอื่นแล้ว สภาพจิตที่ไม่พร้อมก็ทำให้ร่างจิตบูสต์ตัวเองด้วยสปีดเนิบนาบ

..... "เบียงก้า.." เสียงกระซิบเรียกแผ่วเบาจากโซอี้ บางเบาราวกับขนนกอ่อนโยนที่ไล้ไปตามเปลือกตาสีอ่อนของเด็กสาว เรียกสติอันน้อยนิดให้กลับคืนมาช้าๆเบียงก้ากระพริบตาด้วยความงุนงงเมื่อพบว่าร่างของตนอยู่ในอ้อมแขนของธิดาแห่งแอตลาสโดยมีไมเคิลยืนกอดอกมองมาอย่างกังวล ห่างออกไปไม่ไกล เสียงของลุคที่กำลังเถียงกับอีธานอย่างเคร่งเครียดก็ดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ

..... "..ไซเลน่า" เบียงก้าครางเบาๆเมื่อความทรงจำเริ่มไหลกลับคืน ชื่อของธิดาแห่งอะโฟรไดท์ทำให้ไมเคิลเบิกขมวดคิ้วอย่างมีพิรุธ เขามองตรงไปยังพื้นที่ว่างตรงกลางที่บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยบ้านสีอิฐคลาสสิกแทนคำตอบ เบียงก้าหันตาม ภาพของบ้านหลังเล็กสีตุ่นก็ปรากฎสู่สายตา ให้ความรู้สึกอุ่นวาบในอกซ้ายอย่างบอกไม่ถูก แต่หลังคาสีเทาที่ดูจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลากลับแผ่กลิ่นอายของอันตรายออกมา

..... "เธออยู่ที่ไหน" เบียงก้าถามย้ำโดยไม่มองหน้าทั้งสอง ทำให้ไมเคิลและโซอี้มองหน้ากันอย่างกังวล

..... "เบียงก้า เบ็กเคนดอร์ฟอยู่กับไซเลน่า เธอจะปลอดภัย" โซอี้พูดเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มอย่างปลอบประโลมมาให้ เธอใช้มือเรียวเกลี่ยผมที่ประหน้าของเด็กสาวออกอย่างเบามือชณะที่บุตรแห่งเฮอร์มีสเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามา

..... "มีอะไรหรอลุค" เบียงก้าเงยหน้าขึ้นทัก อาการประสาทที่กำลังครอบงำเธอไม่ได้ลดทอนประสาทสัมผัสคมกริบอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตั
วของบุตรธิดาแห่งฮาเดสเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับทวีความสามารถนั้นให้ทรงพลังเป็นทวีคูณ

..... "ได้อะไรเพิ่มไหม" ไมเคิลเอ่ยถาม ร่างสูงผู้ซึ่งกำลังเตะก้อนกรวดบนพื้น กรามที่ขบกันแน่นจนเป็นสันนูนเพื่อระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านขยับเป็นคำว่า ลีฟ-มี-อ-โลน ห่างออกไป ร่างเก้งก้างของอีธานยืนกอดอกจ้องมาทางพวกเขาอย่างมาดร้าย เมื่อไมเคิลเหลือบไปมอง ก็แสยะยิ้มให้อย่างเป็นมิตรจนผมซึ้งใจแทนบุตรแห่งอพอลโล ผู้ซึ่งกำลังกลอกตาแทนการพุ่งเข้าไปตุ๊ยหน้าบุตรแห่งเนเมซิสอย่างที่ใจอยาก

..... "มันเชื่อว่าบ้านหลังนั้น.." ลุคกัดฟันพูดอย่างอดกลั้นพร้อมกับชี้มือ "..เป็นของคนที่เราตามหา"

..... "คนไหนละ เราต้องตามหาสามคนนะ" โซอี้แหวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับถลึงตาใส่ลุคที่ส่ายหัวและพ่นลมหายใจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

..... "งั้นเราคงต้องเสี่ยง" เบียงก้าประกาศพร้อมกับลุกพรวดขึ้น

..... "อันตรายเกินไป เราจะหาทางอื่น" โซอี้สวนขึ้นทันควันด้วยสรรพนามพหูพจน์ ทำให้เบียงก้าตวัดสายตามองอย่างไม่ชอบใจ

..... "นี่เป็นการเดินทางของฉันโซอี้" ธิดาแห่งฮาเดสเอ่ยอย่างสงบ ดวงตาสีนิลที่ฉายแววดื้อรั้นมองมาทางธิดาแห่งแอตลาสอย่างจริงจัง โซอี้ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปลี่ยนท่าทีทันทีที่เห็นลุคฉีกยิ้มกว้างให้อย่างเยาะเย้ย

..... "ว่าแต่..เขาเป็นใครกัน ไม่ใช่อีธานใช่ไหม" เบียงก้าถาม

..... "ฉันไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย แต่มันบอกฉันว่ามีเพียงคนคนเดียวที่จะเผยความจริงได้" ลุคถอนหายใจ

..... "ใคร" โซอี้ถามเสียงห้วน ใบหน้างดงามเชิดขึ้นอย่างยโส เค้าหน้าบึ้งตึงแสดงอารมณ์ชัดเจนราวกับเขียนไว้บนหน้าผาก เดาว่าลุคคงไปเหยียบหางเธอเข้าตอนไปขัดคอเมื่อครั้งอยู่ที่วังแห่งนรก เพราะปกติโซอี้ไม่ใช่คนบ้าอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีอำนาจ ..เอ่อ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม

..... "ฉันเชื่อว่ามันหมายถึงคนที่อยู่.. ในนั้น" ลุคขยิบตาให้เบียงก้า ก่อนจะตอบด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการ

..... "แล้วก็เชื่องั้นหรอ จะให้ฉันฝากความหวังไว้ที่ความคิดงี่เง่าของพวกผู้ชายอย่างแกเนี่ยนะ! ไปตายให้สนุกคนเดียวเถอะ" โซอี้ตวาดลั่น ไอโกรธกรุ่นลอยขึ้นมาจากตัวเธอราวกับน้ำซุปที่เดือดพล่าน ลุคเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นโซอี้กระทืบเท้าเดินหนีไป เฮ้เฮ้ นี่ไม่ใช่นิสัยของโซอี้แน่นอน ต้องมีบางอย่างระหว่างสองคนนี้แน่ ชั่วแวบนึงผมนึกอยากจะเข้าไปในหัวของโซอี้แทนเบียงก้า แต่ก็ต้องสลัดความคิดทุเรศนี้ทิ้งเมื่อพบว่าการต้องอยู่ในหัวเบียงก้ามาหลายวัน ทำให้ผมถูกยัดเยียดของแถมอันน่าบัดซบ คือปกติผมไม่ใช่คนชอบแส่เรื่องชาวบ้าน มันเป็นเพราะเดลฟีที่ทำให้ผมต้องมาอยู่สภาพแบบนี้ ไม่ได้จะแก้ตัวนะ แต่คือ .. เอ้อ เอาเถอะ ผมพล่ามอะไรเนี่ย

..... "ฉันจะคุยกับเธอเอง" ลุคบอกเบาๆ ดวงตาสีฟ้าหม่นหมองมองเบียงก้าราวกับจะเอ่ยคำว่าขอโทษ

..... "ฉันเอาใจช่วยนะลุค" เบียงก้าฉีกยิ้มกว้างให้โดยไม่ติดใจอะไร ลุคพยักหน้ารับก่อนจะสาวเท้าตามหลังโซอี้ไป โดยมีเด็กสาวมองตามจนลับสายตา

..... "พวกเราจะทำสำเร็จ ใช่ไหม" ไมเคิลเอ่ยถาม ดึงสติของเบียงก้าให้กลับมา เด็กสาวมองหน้าบุตรแห่งอพอลโลอย่างพิจารณา ก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆให้

..... "ไม่รู้สิไมเคิล ฉันรู้สึกไม่ดีเลย" เบียงก้าส่ายหัวอย่างท้อใจ

..... "เกี่ยวกับคนที่เราจะเผชิญหน้าน่ะหรอ" ไมเคิลถามด้วยเสียงเนิบนาบที่สะท้อนความห่วงใยมากกว่าความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับทำให้คนถูกถามอึดอัดใจมากกว่าการบีบบังคับ

..... "คำพยากรณ์น่ะ.." เบียงก้ารำพึงด้วยน้ำเสียงบางเบา

..... "เธอไปเจอผู้หยั่งรู้มา? ได้ไง?" ไมเคิลรัวคำถามด้วยความแปลกใจ

..... "ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะพูด.." เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างอึดอัดเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีมาไล่บี้เธอ

..... "ขอโทษที ไม่ได้ตั้งจะละลาบละล้วง ถ้าเธอลำบากใจ.." สีหน้าอึดอัดของเด็กสาวทำให้ไมเคิลรู้ตัว เขาละล่ำละลักแก้ตัวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

..... "ไม่เป็นไรไมเคิล.." เบียงก้าสูดจมูกขณะรวบรวมความกล้า "ฉันแค่ ..ฉันแค่ แค่ยังไม่อยากเชื่อน่ะ" เบียงก้าถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเจ็ด แล้วเธอก็เริ่มเล่า

..... ไมเคิลเป็นผู้ฟังที่ดีจนน่าแปลกใจ เขาเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ และคอยพยักหน้าให้กำลังใจเบียงก้าทุกครั้งที่ก้อนสะอึกเข้าจู่โจมจนเธอไม่อาจเล่าต่อ "งั้นก็แปลว่า ฮาเดสมีแผนการบางอย่าง โดยมีคนของพ่อฉันร่วมมือด้วยงั้นหรอ ว่าแต่ป้าของเธอ.."

..... "ฉันไม่รู้จักเธอ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเธอมีตัวตน" แสงสว่างอ่อนๆที่ออกมาจากตัวบ้าน กระทบบนใบหน้าของเบียงก้า ที่ดูเหนื่อยล้ากับการวิ่งหนีโชคชะตา

..... "เฮ้ ไม่เป็นไรนะ" ไมเคิลเอื้อมมือไปตบไหล่เด็กสาวที่ถอยห่างราวกับสัมผัสนั้นร้อนฉ่า

..... "ขอโทษ ฉันลืมไปว่า.." ไมเคิลยกมือขึ้นสองข้าง พูดขอโทษตะกุกตะกัก

..... "ไม่ ฉันไม่ใช่พรานหญิงอีกแล้ว ไม่เป็นไร แค่เคยชินน่ะ" เบียงก้าเสมองไปทางอื่นพร้อมกับเอ่ยอย่างอึดอัดพอกัน บังเกิดความเงียบชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าหนักๆสองคู่เดินเข้ามา

..... "ลุค.." เบียงก้าเงยหน้าขึ้นก้วยความหวังว่าจะได้เจอลุคและโซอี้ แต่คนทั้งสองกลับเป็นคนที่พวกเธอคาดไม่ถึง ...เบ็กเคนดอร์ฟ และนากามูระ






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 7 2013, 01:16 PM
โพสต์ #10


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | ผู้นำที่แท้จริง | -



..... เพียงชั่วโมงเดียวที่เบ็กเคนดอร์ฟหายตัวไป ดูเหมือนจะมีเรื่องราวให้เล่ามากมายราวกับหายไปแรมปี มนุษย์กึ่งเทพทั้งสองนั่งฟังเรื่องราวอย่างสงบ ไม่เว้นแม้แต่อีธานที่แม้จะแกล้งหันไปทางอื่น แต่กลับกางหูออกเต็มสตรีม

..... "ว่าไงนะ" เบียงก้าเค้นคำพูดออกมาด้วยความยากลำบากเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของเบ็กเคนดอร์ฟ ภารกิจนี้มีพวกวิญญาณมาพัวพันมากกว่าที่คิด ความลับที่เงียบงันต้องเป็นสิ่งที่สำคัญระดับชาติเลยละมั้ง ฮาเดสถึงเสี่ยงส่งลูกตัวเองมา

..... "นายแน่ใจหรอเบ็กเคนดอร์ฟ" ไมเคิลถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน

..... "ยิ่งกว่าแน่ซะอีก มีสัญลักษณ์ของเขาอยู่เต็มไปหมด ฉันไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ รู้ก็รู้ว่ากลไกของเขาพิสดารแค่ไหน" เบ็กเคนดอร์ฟตอบอย่างเคร่งเครียดพอกัน เป็นเวลาเดียวกับที่โซอี้และลุคสาวเท้าเข้ามาร่วมวง

..... "มีเรื่องอะไรกัน" โซอี้ถามอย่างแปลกใจ สีหน้าของเธอดูแปลกไปยามที่ยืนเคียงข้างลุค หรือว่าสองคนนั้น..

..... "โซอี้" เบียงก้ายิ้ม ยื่นแขนทั้งสองโอบรอบคอของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ ไม่ต่างจากโซอี้ที่เอาหน้าซุกผมสีดำสลวยของเด็กสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ เอ่อ รู้สึกเบียงก้าไม่ได้อาบน้ำมานานแล้วนะ..

..... "เบ็กเคนดอร์ฟ นายไปไหนมา" ลุคที่ดูจะไวต่อกลิ่นของความตึงเครียดมากกว่าหันมาถาม

..... "ยัยนั่นเข้าใจคำสั่งผิดพลาด เรื่องปกติของเด็กอโฟรไดท์" เบ็กเคนดอร์ฟพูดเรียบๆ ดวงตาสีทะมึนมองรอบตัวอย่างล่องลอย

..... "พอจะเข้าใจอยู่" อีธานลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา เบ็กเคนดอร์ฟสนองต่อลมปากเน่าๆของอีกฝ่ายอย่ารวดเร็ว เสี้ยววินาทีก่อนที่กำปั้นมหึมาจะกระทบหน้าอีธาน เด็กชายก็ถูกดึงจากข้างหลัง ส่งผลให้กำปั้นประเคนเข้าใส่หน้าผู้หวังดีทันที

..... "พอได้แล้ว!" โซอี้กรีดร้องอย่างสุดเสียงเมื่อร่างของบุตรแห่งเฮอร์มีสลอยละลิ่วเข้าสู่อ้อมกอดบอบบางของอดีตหัวหน้ากลุ่มพรานที่ไม่มีทางต้านทานแรงมหาศาลได้ ทั้งสองล้มลงกับพื้นอย่างแรง ทว่าเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกลับไม่ใช่ของโซอี้อย่างที่ควรจะเป็น เด็กสาวเบิกตากว้างมองตัวเองที่ออนท็อปอย่างงุนงง ก่อนจะเข้าใจว่าคนตรงหน้าอาศัยจังหวะเสี้ยววินาทีพลิกตัวเพื่อปกป้องเธอ ผมว่าแล้วว่าต้องมีซัมธิงรองระหว่างสองคนนี้..

..... "หยุดเดี๋ยวนี้ชาร์ลี! อีธาน!" ธิดาแห่งฮาเดสตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เรียกให้ทุกคนหันมามองเด็กสาวที่หน้าขึ้นสีเป็นตาเดียว

..... "โว้ว ดูซิว่าเมื่อกี้เสียงใคร" ไมเคิลพูดลอยๆพร้อมกับส่งยิ้มแพรวพราวอย่างหยอกล้อทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ลุคครางเบาๆขณะที่ไมเคิลแตะมือลงบนแก้ม

..... "ลุค ฉัน.." เบ็กเคนดอร์ฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

..... "เฮ้ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ " ลุคพูดพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่าย

..... "นี่ เล่าต่อสิ" เบียงก้าก้มหน้าก้มตาพูดอ้อมแอ้มโดยไม่สบตา พร้อมกับใช้มือกระตุกแขนเสื้อของบุตรแห่งเฮเฟตัส

..... "ฉันดึงตัวเธอออกมาไม่ทัน ตื่นมาอีกทีก็นอนกองอยู่คนเดียวในนั้น มันจับตัวเธอไป" เบ็กเคนดอร์ฟเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

..... "รู้ไหมว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับใคร" โซอี้ถามโดยไม่ละสายตาไปจากลุค

..... "ข้างในมี ..จุดสังเกต อะไร บ้าง ไหม" ลุคพยายามพูด ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเหยเกด้วยความเจ็บปวด

..... "หนังสือ เต็มไปหมด เยอะกว่าห้องสมุดแห่งชาติอีกมั้ง.." เบ็กเคนดอร์ฟตอบโดยไม่ต้องเสียเวลานึก

..... "มหาคีตกวี" อีธานประกาศ ส่งผลให้ดวงตาของเบ็กเคนดอร์ฟกระตุก มือเล็กของเบียงก้าแตะลงอย่างกล้าๆกลัวๆบนต้นแขนของชายหนุ่มที่ถอนหายใจอย่างยอมแพ้

..... "เอาหัวเป็นประกันเลย" เสียงห้าวของบุตรแห่งเฮเฟตัสยานคางไร้อารมณ์ร่วม ทำให้อีธานหน้าตึงทันที

..... "มีอะไรอีก นอกจากหนังสือ" ไมเคิลถามไปหาวไปขัดจังหวะทั้งคู่ได้ทันท่วงที สีหน้าอ่อนล้าของบุตรแห่งอพอลโลอันเกิดจากการใช้พลังรักษา ทำให้เด็กสาวบางคนลอบมองอย่างห่วงใย

..... "สัญลักษณ์ของเดดาลัส" เบ็กเคนดอร์ฟเอ่ยย้ำ ทุกคนยกเว้นสองผู้มาใหม่ถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก สีหน้าเคร่งเครียดกลืนกินความสุขเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว

..... "ตลกน่า" โซอี้หัวเราะแห้งๆอย่างไม่อยากจะยอมรับ พลางมองไปยังคนที่เหลือ ดวงตาเรียวได้รูปเขม้นมองทีละคนราวกับต้องการการยืนยัน ทุกคนก้มหน้าอย่างไม่อาจสู้สายตา จนกระทั่งมาถึงลุค

..... "ไม่ เขาพูดถูก" ลุคกลืนน้ำลายก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีฟ้าจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่

..... "นาย นายหมายความว่ายังไง ลุค" โซอี้พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ดวงหน้าของเธอถูกปกคลุมด้วยหน้ากากของความหวาดหวั่น ใบหน้าคมสวยซีดเผือด เหงื่อเม็ดเป้งผุดบนบนหน้าผากมนสะท้อนอารมณ์ของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน

..... "ฉันเจอตัวเดลต้าบนผนังถ้ำเมื่อกี้" ลุคตอบอย่างสงบ

..... "ทำไมนายไม่บอกฉัน" นัยน์ตาที่สั่นระริกแข็งกร้าวด้วยแรงโทสะทันที มือเรียวกำแน่นขณะถอยตัวห่างออกจากอีกฝ่าย

..... "บอกไป เธอก็หาว่าฉันบ้าน่ะสิ" ลุคเถียงเสียงอ่อน

..... "เฮ้ พอได้แล้วสองคนนั้นน่ะ" ไมเคิลบ่นพร้อมกับสะบัดหัวเพื่อไล่ความง่วงที่คอยจ้องจะปิดตาเขาตลอดเวลา

..... "เอาละ เบียงก้าว่าไง" อีธานตัดบท

..... "เราจะเข้าไปในนั้น แต่ก่อนอื่น แยกกันไปสำรวจรอบๆ อีธานกับเบ็กเคนดอร์ฟเดินไปดูข้างหน้า ลุคกับโซอี้ย้อนกลับไปดูที่เดิมว่ามีร่องรอยอะไรเพิ่มเติมไหม ฉันกับไมเคิลจะดูแถวนี้ เข้าใจนะ" เบียงก้าจัดการแบ่งกลุ่มและหน้าที่ด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ ไม่กี่วันก่อนดวงตาของทุกคนสะท้อนอย่างชัดเจนว่าภาระหน้าที่ของการเป็นผู้นำดูจะหนักหนาเกินกว่าบ่าเล็กๆของเบียงก้าที่เคยรับผิดชิบแค่ชีวิตน้องชายจะรับไหว แต่วันนี้เธอพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร้ที่ติจนผมแน่ใจว่าทุกคนก็คิดแบบเดียวกัน ดูจากประกายในแววตาของทุกคนที่มองเธอด้วยสายตาชื่นชม แม้แต่ไมเคิลที่คอยแต่จะแซวจนเด็กสาวเกือบจะหมดกำลังใจ

..... "อัย แคปปิตัน! (Aye Capitaine!)" ไมเคิลขานรับอย่างล้อเลียน หากแต่ประกายตากลับฉายแววเชื่อมั่น ทุกคนหัวเราะครืนกับเลือดในตัวเด็กสาวที่สูบฉีดเป็นพิเศษจนใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ

..... "แยกย้ายไปได้" เบียงก้ากัดฟันข่มกลั้นความอาย มือเล็กเอื้อมไปขยำเสื้อยืดของบุตรแห่งอพอลโลเพื่อลากเขาแยกออกไปสำรวจ แต่ทว่ากลับมีมือกร้านคู่หนึ่งดึงเธอไว้เสียก่อน

..... "เดี๋ยว เบียงก้า มีบางอย่างที่เธอต้องรู้" บุตรแห่งเฮเฟตัสยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูเด็กสาวอย่างร้อนรน

..... "ฉันเจออีธาน"






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 8 2013, 10:45 PM
โพสต์ #11


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | ความลับของบุตรธิดาแห่งอพอลโล | -



..... "ฉันเจออีธาน" หลังจากน็อกเอาท์ผมและเบียงก้าด้วยประโยคง่ายๆ สี่พยางค์ บุตรแห่งเฮเฟตัสก็ผละออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

..... "มาเถอะ" ไมเคิลเรียกพร้อมกับดึงแขนเด็กสาวไปอีกทางเช่นกัน ดวงตาสีรัตติกาลของธิดาแห่งฮาเดสเบือนไปมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ไม่ใช่อีธานอย่างเหม่อลอย สมองของเธอไล่ชื่อของคนที่อาจจะเป็นไปได้ออกมาไม่ต่ำกว่าร้อยชื่อ ทั้งวีรบุรุษโบราณที่โด่งดังอย่างอะคีลลีส เทพ เทพีที่เป็นปฏิปักษ์กับฮาเดส หรือแม้แต่คิดไปไกลถึงว่า 'เขา' อาจจะเป็นหนึ่งในไตรกวีด้วยซ้ำ

..... ผมได้ยินเสียงแว่วๆ ของไมเคิลที่พยายามจะเรียกเบียงก้า แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง แววตาของเด็กชายฉายแววสลด ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มและลากร่างบางไปเรื่อยๆราวกับเป็นตุ๊กตาผ้า

..... นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมดำดิ่งในห้วงความคิดไปกับเบียงก้า สรรพสิ่งรอบกายเหมือนภาพเบลอที่ไหลอย่างรวดเร็วราวกับกำลังมองภาพพวกนั้นจากรถไฟชินคันเซ็น กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เสียงของอีธานดังขึ้น ดวงตาสีเข้มของเด็กสาวกระพริบเบาๆ แววตาฉายประกายแห่งชีวิตชีวาอีกครั้ง ทำให้เด็กชายที่กุมมือเบียงก้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

..... "สัญญาณเตือนภัย" เบ็กเคนดอร์ฟเอ่ยพร้อมกับแบมือ เผยให้เห็นแมลงปีกแข็งตัวเท่านิ้วโป้ง ที่ปีกมีตราประทับสีฟ้าคุ้นตา ตัวเดลต้า ..สัญลักษณ์แห่งเดดาลัส

..... "เราต้องเข้าไป" เบียงก้าโพล่งออกไปอย่างเกรี้ยวกราด เธอตวัดสายตาหนีเมื่อเผลอหันไปสบตากับเบ็กเคนดอร์ฟ เบียงก้าเป็นคนเดียวที่ไม่เชื่อว่าอีธานเป็นตัวปลอมมาตลอด แต่เมื่อเบ็กเคนดอร์ฟกล้าพูดขนาดนี้ การพิสูจน์ดูจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เธอสบายใจ

..... "เข้าก็เข้า ไอ้นี่เอาไว้กันพวกอมตะ ไม่ใช่เลือดผสม" เบ็กเคนดอร์ฟยักไหล่

..... "นำไปเลย สาวน้อย" โซอี้ส่งยิ้มให้กำลังใจ เป็นผลให้ดวงตาสีนิลของเด็กสาวอ่อนแสงลง ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวขา คิ้วได้รูปก็ขมวดเข้าหากันเมื่อรับรู้สัมผัสที่มือเรียว เบียงก้ากระตุกมือออกตามสัญชาตญาณทำให้บุตรแห่งอพอลโลหน้าเสีย

..... "ฉัน.." ไมเคิลอ้าปากค้างราวกับกำลังควานหาอากาศมากกว่านึกคำพูด

..... "ไปกันเถอะ" เบียงก้ารีบสะบัดหน้าหนี ก่อนที่จะมีคนดับไฟในตัวของเด็กสาวที่กำลังลุกพล่านตามแรงอารมณ์

..... "เฮ้ เธอแค่อายน่ะ" ลุคเดินมาตบไหล่ไมเคิลยิ้มๆ ก่อนจะผละออกไปส่งยิ้มให้ธิดาแห่งแอตลาส ที่เบ้ปากกลับมา ท่าทีกระหนุงกระหนิงของทั้งคู่อยู่ในสายตาของไมเคิลและเบ็กเคนดอร์ฟที่เดินคอตกอย่างหงอยๆ ทว่าอีธานที่ผมคาดว่าจะต้องส่งยิ้มสะใจมา กลับมองเงียบๆ ด้วยดวงตาที่ฉายความเจ็บปวดลึกล้ำ

..... "พร้อมไหม" เบียงก้าถามขึ้นเมื่อทั้งเจ็ดมายืนพร้อมหน้ากันที่ประตูไม้สีซีด

..... "เอาเลย" โซอี้ว่า พร้อมกับเสียงพึมพำตอบรับจากคนที่เหลือ

..... เบียงก้ายกมือเรียวขึ้นเตรียมจะเคาะประตู แต่แล้ว ก็เกิดเปลี่ยนใจในเสี้ยววินาทีสุดท้าย รองเท้าหนังตามแบบฉบับพรานถูกยกขึ้นและถีบเต็มแรงลงบนแผ่นประตูที่เปิดผ่างออกตามบัญชา เผยให้เห็นโต๊ะกินข้าวขนาดมหึมาที่มีร่างบางนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะในชุดงดงาม ภาพที่ปรากฎราวกับมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นกระชากตัวเบ็กเคนดอร์ฟให้พุ่งเข้าไปโดยไม่ยั้งคิด

..... ตึง!

..... เสียงดังลั่นของเหล็กขนาดมหึมาที่แหวกอากาศลงมาจากท้องฟ้าทำให้ลุคขยับตัว แต่ก็ยังช้ากว่าคนข้างตัวที่พุ่งไปผลักเบ็กเคนดอร์ฟออกจากรัศมีการทำลายล้าง ฝุ่นที่จับตัวหนาเตอะบนพื้นฟุ้งกระจายราวกับสายหมอก เสียงกรีดร้องดังระงมค่อยๆ เงียบเสียงลงเผยให้เห็นภาพร่างที่ไร้รอยขีดข่วนในอ้อมกอดของไซเลน่า เบ็กเคนดอร์ฟเบือนหน้ามาหาผู้ที่ช่วยชีวิตเขา แต่ก่อนที่จะทันได้ขยับตัว เงาสองร่างก็เคลื่อนตัวมาทาบทับพวกเขาเสียก่อน

..... "ท่านเป็นใคร" ไมเคิลก้าวออกไปอย่างกล้าหาญ ดวงตาของเด็กชายประสานกับสายตาของชายชราที่เบือนหน้าหนีเขาอย่างขุ่นเคือง

..... "เด็กน้อยผู้ขลาดเขลา จงอย่าเบาปัญญาคิดลองดี!" ชายชราตวาดใส่ไมเคิลด้วยคำพูดแปลกแปร่งที่ทำให้คนนอกอย่างพวกเรามองหน้ากันอย่างฉงน สายพลังที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวสาดไปยังร่างเล็กของเด็กชายปลุกปั่นเปลวไฟในดวงตาให้โหมกระพือ

..... "ข้ามิบังอาจ ท่านผู้ยิ่งใหญ่" กลิ่นอายของอันตรายที่แผ่ออกมาจากคนตรงหน้า ทำให้ไมเคิลกดกลั้นโทสะที่พลุ่งพล่าน พูดเสียงลอดไรฟันอย่างยากลำบาก อะไรบางอย่างในคำพูดของเขาสองคนแซะรอยหยักของสมองผมเข้าจนได้ และผมก็นึกออก ไครอนเคยบอกว่า บุตรแห่งอพอลโลจะสื่อถึงกันด้วยคำกลอน และสิ่งที่เอ่ยออกมาต้องเป็นความจริงเท่านั้น หาไม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากคนไร้ศักดิ์ศรี ทรยศต่อสายเลือด เอาเป็นว่า สุดแสนจะบาป ยิ่งกว่าไปฆ่าวัวบูชาของโพไซดอนสักล้านตัว

..... อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะตอบคำถาม "นามนั้นสำคัญไฉน ข้า เฮซิออดโฮเมอร์โอวิด มหาคีตกวีแห่งโอลิมปัส"

..... "ตลกละ เฮซิออด โฮเมอร์ โอวิด มันเป็นชื่อของคนสามคนไม่ใช่รึไง" โซอี้พ่นลมหายใจอย่างขำขัน

..... "ตาเจ้าแล้วเด็กเอย จงเฉลยนามพวกเจ้าแก่ข้า ใครเป็นผู้ส่งเจ้ามา คลายข้อกังขาให้ข้าที" ชายชราไม่สนใจเสียงของโซอี้ เขาเหลือบตาไปมองเพียงแวบเดียวราวกับเด็กสาวไม่ควรค่าแก่สายตา ทำให้ลุคต้องถลามาล็อกตัวอดีตหัวหน้าพรานที่ตั้งท่าจะทะยานไปเสยคางเจ้าถิ่น

..... "ข้าไม่สามารถ.." ไมเคิลพูดเสียงเบา ใบหน้าที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความละอาย

..... "ข้าเชื่อว่าเจ้าจะบอกความจริงแก่ข้าเด็กเอย ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำกลอน" ชายชราสามชื่อยิ้มให้ไมเคิลอย่างเอ็นดู ทำให้โซอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังถลึงตาอย่างเคืองๆ

..... ไมเคิลกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มร่ายชื่อแต่ละคน ไล่ตั้งแต่โซอี้ที่เชิดหน้าอย่างถือดี ลุคที่จ้องตาชายชราอย่างเย็นชา เบียงก้าที่ยืนตัวแข็งทื่อ เรื่อยมาจนถึงไซเลน่าที่เอาแต่จ้องเบ็กเคนดอร์ฟที่สะลึมสะลือในอ้อมแขน จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้าย "และนี่ อีธาน นากามูระ บุตรแห่งเนเม.."

..... "โอหัง! เจ้าโกหก!" เสียงตวาดจากชายชราทำให้ไมเคิลผายมือค้าง ดวงตาของเขาลอกแลกด้วยความสบสันเมื่อไฟโทสะจากมหากวีลามเลียไปตามผิวหนัง

..... "ไม่เอาน่าดับเบิ้ลเอชที่รัก" เจ้าของชื่อก้าวออกมายืนคั่นระหว่างชายชราและไมเคิล ส่งยิ้มละไมพร้อมกับดีดนิ้ว ควันสีนวลฟุ้งออกมาจากตัวเด็กชายที่บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยร่างโปร่ง ใบหน้างดงามเชิดขึ้นอย่างยโส พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดี

..... "สวัสดีเด็กน้อย ฉันคือใคร คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจทุกคนสินะ ฉันคือหญิงสาวเหล่าเทพเจ้ากริ่นเกรง ผู้ปลดปล่อยความเจ็บป่วย และกักขังความหวัง ธิดาแห่งฮีบี หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม.. แพนโดร่า"







Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 12 2013, 02:20 PM
โพสต์ #12


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | หนี้แค้นที่ต้องชำระ | -



..... แพนโดร่า เจ้าของไหที่ทำให้ผมเกือบก้าวพลาดในภารกิจปกป้องโอลิมปัสเมื่อปีกลาย หญิงสาวผู้โด่งดังในนาม 'ผู้นำความหายนะมาสู่มวลมนุษย์' และเป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่กำลังยืนเถียงกับชายชราสามชื่ออยู่ด้วยภาษาโบราณที่ผมควรจะฟังออก แต่เมื่อวิ่งผ่านโสตประสาทของเบียงก้า กลับกลายเป็นแค่ภาษาต่างด้าวที่ไร้ความหมายไปอย่างน่าเจ็บใจ

..... "ก็ได้ เอาตัวเขา แล้วไปซะ" มหากวีถอนหายใจอย่างยอมแพ้เมื่อการโต้เถียงสิ้นสุดลง ดวงตาหลุมลึกสีเงินจับจ้องไปยังตู้เหล็กเงาวับที่มาตั้งอยู่หลังประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ร่างที่งองุ้มไปตามกาลเวลายืดขึ้นขณะเดินกระโผลกกระเผลกผ่านหน้ามนุษย์กึ่งเทพที่ยืนหัวโด่ไปโดยไม่คิดจะสนใจมอง ความหยิ่งยโสที่เกินพอดีทำให้โซอี้เบ้ปากอย่างรังเกียจ

..... กิ๊ก!

..... เสียงปลดสลักดังกังวานไปทั่วห้อง พร้อมกับหมอกสีดำที่ถูกพ่นออกมาตามรูกุญแจ มันหมุนวนรอบชายชราด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับมีชีวิต ก่อนจะผละออก ก่อตัวกันหนาแน่นจนกลายเป็นร่างเก้งก้างของบุตรแห่งเนเมซิสในที่สุด

..... "เฮ้ อีธาน" ลุควิ่งเหยาะๆนำคนอื่นเข้าไปกระโดดรัดคอเด็กชายที่ยืนตัวแข็งด้วยความมึนงง

..... "กุญแจ" แพนโดร่าสาวเท้าไปแบมือตรงหน้าชายชราที่กำลังอาศัยจังหวะชุลมุน เตรียมชิ่งหน้าตาเฉย มหากวีชักสีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะยอมส่งกุญแจสีทองเหลือบเงินอันโตให้หญิงสาวที่คว้าไปทันทีอย่างฮึดฮัด

..... "ส่งให้ถึงมือเขาเท่านั้น อย่าให้มันคลาดสายตาเด็ดขาด" ชายชราคว้ามืออีกฝ่ายที่กำลังจะหันหลังกลับอย่างข่มขู่ ดวงตาปูดโปนเบิกถลนฉายแววกราดเกรี้ยว

..... "ฉันไม่พลาดหรอกน่ะ" แพนโดร่ากัดฟันพูดเมื่อถูกอีกฝ่ายดูหมิ่น ก่อนจะสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม กระแทกส้นเท้าเข้าไปรวมกลุ่ม โดยมีสายตาพิจารณาของมหากวีมองตาม

..... "เราควรจะไปกันได้แล้ว" แพนโดร่าสั่งพร้อมกับคว้าคอเสื้อของเบียงก้าให้เดินตามออกไป โดยไม่สนใจสายตาของคนที่เหลือที่มองด้วยความสับสน มึนงง และไม่พอใจ

..... "เธอจะพาเบียงก้าไปไหนไม่ทราบ" ไมเคิลเร่งฝีเท้าขึ้นมาขวางหน้าหญิงสาวที่กำลังจะเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าขึงขังไม่
สมกับไซส์ตัวเอง

..... "ถ้าไม่ตามมา ก็อยู่กับตาแก่ที่นี่ไปอีกร้อยปีแล้วกัน" แพนโดร่าพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย พร้อมกับผลักเด็กชายที่เกะกะขวางทางอย่างไม่ไยดี

"เอาตัวหัวหน้าคณะเดินทางของเรามา" ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตูดี เสียงแหลมของโซอี้ก็ดังขึ้นอย่างวางอำนาจ ทว่าหญิงสาวก็หาได้สนใจไม่ แพนโดร่ายังคงฉุดกระชากลากถูเบียงก้าให้เดินต่อราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน

..... "เรียกน่ะ ได้ยินไหม" โซอี้ตะคอกเสียงแข็งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหูทวนลม ไม่แปลกที่โซอี้จะโมโห คนที่เคยชินกับการเทิดทูนบูชาอย่างอดีตหัวหน้ากลุ่มพรานผู้สูงศักดิ์คงไม่ชินเท่าไหร่ที่จะมีคนมาเมินกันซึ่งๆหน้า

..... "อยากได้คืนนักใช่ไหม" แพนโดร่าถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดไม่แพ้กัน "เอาไป แต่กุญแจกับอีธานจะมากับฉัน" หญิงสาวในตำนานว่า ก่อนจะยื่นเบียงก้าให้อย่างท้าทาย

..... "อย่ามาขู่ฉันนะ!" ธิดาแห่งแอตลาสแผดเสียงลั่น ดวงตาวาววับด้วยไฟโทสะ

..... "งั้นก็อย่ามายุ่มย่าม ภารกิจนี้ไม่มีทางสำเร็จถ้าไม่มีฉัน" แพนโดร่าแสยะยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ ดวงตากลมโตที่มีขนตาเป็นแพเรียงสวยกวาดไปมองคนที่เหลือ พร้อมกับเชิดหน้าอย่างทรนง

..... "พวกเราทำได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเธอ" ลุคเอ่ยเสียงเรียบ ทำให้อีกฝ่ายกำลังจะก้าวเท้าต่อชะงัก ดวงตาคมตวัดมามองบุตรแห่งเฮอร์มีสอย่างกราดเกรี้ยว

..... "ลุค เราจำเป็นต้องมีเธอ" อีธานขัดขึ้น ดวงตาข้างที่ดีของเขามองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกๆ สายตาที่ผมไม่กล้าคิดต่อด้วยซ้ำว่าระหว่างอีธานกับแพนโดร่ามันมีอะไร.. บางอย่างในสายตาของเขามันคล้ายกับสายตาที่ลุคใช้มองโซอี้มาก มากเกินไป..

..... "อีธาน" ไมเคิลครางอย่างอ่อนใจ

..... "ฉันจ่ายไปเพื่อให้ได้เธอมา อย่าทำให้มันเสียเปล่าเลย ได้ไหม" เด็กชายพูดด้วยเสียงเว้าวอน

..... "รีบไปเถอะ" เบ็กเคนดอร์ฟที่เพิ่งฟื้นได้ไม่นานถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างยอมแพ้

..... แพนโดร่ายักคิ้วให้โซอี้ด้วยท่าทีกวนประสาท ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจูงมือเบียงก้าแทนการลากคอเสื้อ เด็กสาวดูไม่ขัดขืนอะไรแพนโดร่าเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่รู้ว่าอีธานต้องเอาอะไรบางอย่าง
ไปแลกเธอมา แต่ก็อย่างว่า เบียงก้าค่อนข้างจะหัวอ่อนเกินไปในบางที ขบวนแปลกประหลาดที่นำโดยแพนโดร่าและเบียงก้าเคลื่อนไปตามทางเดินแคบและชัน ตามมาด้วยลุคและโซอี้ที่เดินเคียงคู่กันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถัดไปก็เป็นคู่ของเบ็กเคนดอร์ฟและไซเลน่าที่กระหนุงกระหนิงกันตลอดทาง และปิดท้ายขบวนด้วยอีธานและไมเคิลที่เดินคู่กันอย่างเสียไม่ได้

..... หลังจากเดินมาได้สักพัก ทั้งแปดก็มาหยุดลงตรงจุดที่ทางเดินถูกความมืดกลืนหายไป แพนโดร่าสอดสายตาไปรอบๆพร้อมกับขมวดคิ้วราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง ลุคส่งสัญญาณให้ไมเคิลยกคันธนูขึ้นยิงเข้าไปในความมืดที่เวิ้งว้างตรงหน้า ลูกธนูหายวับไปทันทีทำให้เด็กชายบ่นอุบอิบด้วยความเสียดาย ทว่ายังไม่ทันจะได้ขยับตัวหยิบลูกธนูดอกใหม่มาลอง ก็ถูกอีธานผลักหัวหลบลูกธนูที่ย้อนกลับมาเฉียดหัวของบุตรแห่งอพอลโลในระยะที่ทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าซีด

..... "สวัสดี" แพนโดร่าตะโกนเข้าไปในความมืด เวลาผ่านไปเกือบนาทีที่ทุกคนหยุดรอฟังเสียงตอบกลับ แต่กลับได้แต่ความเงียบงันกลับคืน

..... "อืมม .. มนุษย์กึ่งเทพเดี๋ยวนี้ตายแล้วยังต้องมารับจ็อบทำภารกิจอีกหรอ น่าสงสาร" จู่ๆเสียงหวานเลี่ยนก็ดังขึ้นข้างหูของแพนโดร่าที่สะดุ้งเฮือกราวกับโดนคนสาดน้ำร้อน
ขนาดที่สามารถต้มไข่ให้สุกได้ใส่หน้า ทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียงด้วยสีหน้าหวาดผวา ทว่าใบหน้าของคนตรงหน้ากลับทำให้ทุกคนตื่นตะลึง ใบหน้าสวยสมบูรณ์แบบ ผิวขาวเนียน และผมสีน้ำตาลยาวสลวย ชนิดที่แม้แต่อะโฟรไดท์ก็ยังต้องอาย ทำให้หลายคนอ้าปากค้าง

..... "แก ..ท่านเป็นใคร" ไซเลน่าที่ดูจะมีสติดีที่สุดเอ่ยถามแม้ลิ้นในปากจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

..... "นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าเป็นใคร" หญิงสาวปริศนาตอบกลับมาด้วยเสียงชวนฝัน แต่กลับทำให้แพนโดร่าได้สติทันที

..... "อย่ามาเล่นลิ้น" แพนโดร่ากัดฟันพูด ดวงตาหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ

..... "เจ้าก็อย่าผยองมาเทียบชั้นกับข้า!" หญิงสาวแผดเสียงก้อง เสียงกรีดร้องที่เป็นเหมือนพายุพัดความกล้าในตัวของทุกคนออกไป หมดสิ้นซึ่งความหวัง ชีวิตไร้ซึ่งเป้าหมาย..

..... "ดับเบิลเอชส่งเรามา.." แพนโดร่ากลืนน้ำลายอย่างประหวั่นพรึง

..... "กล้าดียังไง!" หญิงสาวตวาดก้องอีกครั้ง คราวนี้พลังที่สาดออกมาทำให้เบียงก้าที่อยู่ข้างๆถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น แต่แพนโดร่าก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แต่ดูจากสภาพที่จะโอนเอนพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อแล้ว คิดว่าคงต้านได้อีกไม่นาน

..... "...เพื่อแก้ไข" แพนโดร่าอ้าปากหอบหายใจอย่างอ่อนล้า ดวงตาปรือพร้อมจะปิดลงได้ทุกเมื่อ แต่เจ้าตัวก็ยังดิ้นรนพยายามฝืนไว้

..... "หืม เจ้าว่ายังไงนะ" ดวงตาสีช็อกโกแลตหยาดเยิ้มตวัดมามองด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไป คืนพลังชีวิตให้กับอีกแปดคนที่สะบัดหัวอย่างมึนงง

..... "เรามีกุญแจ" แพนโดร่าบอกด้วยเสียงที่ฟังดูดีกว่าเมื่อครู่ พร้อมกับชูกุญแจที่มหากวีให้มาขึ้น

..... "สวามีข้าต้องพอใจมากแน่.. ข้อแลกเปลี่ยนคืออะไร" หญิงสาวตาเป็นประกายทันทีราวกับเห็นของล้ำค่า

..... "ปล่อยตัวนักโทษ" อีธานก้าวมายืนเคียงข้างแพนโดร่าด้วยดวงตาแข็งกร้าว พร้อมๆกับที่ไมเคิลตรงเข้ามาพยุงตัวเบียงก้า

..... "ซุสบอกว่าจะมีคนมารับนางออกไป พวกเจ้าสินะ" อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเนิบโดยไม่ละสายตาไปจากกุญแจ

..... "ประตูอยู่ทางนั้น วางกุญแจไว้ทันทีที่ผ่านประตูไป" สิ้นเสียง ประตูหินอ่อนขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นแทนที่ความมืดอันว่างเปล่า เสียงกระดิ่งบนบานประตูที่ดังกรุ้งกริ้งตามแรงลมเรียกความสนใจจากทุกคนไป ยกเว้นแต่แพนโดร่าที่ไม่ยอมละสายตาไปจากอีกฝ่าย

..... "เราจะเข้าไปยังไง" แพนโดร่าถาม ความชาญฉลาดของเธอทำเอาผมทึ่งไม่น้อย คนที่ระวังตัวแจแบบนี้น่ะหรอ คนที่มองเกมของอีกฝ่ายออก และไม่หลงไปกับสิ่งล่อลวงแบบนี้น่ะหรอ คือคนเดียวกับที่พ่ายต่อกิเลสที่ชื่อว่าความอยากรู้อยากเห็น

..... "สวามีข้าเป็นผู้ลงกลอน เจ้าจะเปิดได้ก็ต้องใช้ตัวแทนของเขา จะทำอะไรก็เร็วๆเข้า" หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด

..... "แล้วสวามีของท่านเป็นใคร" ไซเลน่าถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด

..... "ให้ตาย มาถึงขั้นนี้ยังเดาไม่ได้อีกหรอจ๊ะ หลานข้า มนุษย์กึ่งเทพสมัยนี้หัวทึบซะจริง" หญิงสาวหัวเราะคิกคักราวกับคำพูดของธิดาแห่งอะโฟรไดท์ช่างโง่เขลาเสียเต็มประดา

..... "ข้าคือเจ้า และเจ้าก็คือข้า ที่ใดมีชีวิตที่นั่นก็ต้องมีข้า ผู้ท้าทายความงามแห่งอโฟรไดท์ ราชินีแห่งจิตวิญญาณ ..ไซคี" เทพีประกาศด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม

..... "ท่านเนี่ยนะ ไซคี" ไซเลน่าเบ้ปากด้วยสีหน้าดูหมิ่น

..... "พูดอย่างนี้ หมายความว่าไงไม่ทราบ" ไซคีเท้าสะเอวด้วยอารมณ์กรุ่นๆ

..... "ก็ตามตำนานแล้วท่านออกจะ.." ไซเลน่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

..... "ตำนานที่มาจากลมปากของดับเบิลเอชมันเชื่อได้ที่ไหน เจ้าเคยเห็นเทพองค์ไหนเหมือนในตำนานบ้าง คิดอะไรโง่ๆไปได้" เทพีส่งยิ้มให้ไซเลน่าอย่างขบขัน

..... "หมายความว่ายังไง" เบ็กเคนดอร์ฟถามด้วยใบหน้าถมึงทึง ทำให้เทพีทำท่าเหมือนจะเป็นลมอย่าเสแสร้ง

..... "โอ้ย ฉันอยากจะบ้า เอาละฟังนะ ดับเบิลเอชคือกวี เขาคือผู้สร้างสรรค์โอลิมปัสขึ้นมา เขาคือคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงตำนานได้ตามใจชอบ" ไซคีอธิบายพลางคว้าตะไบมาขัดเล็บอย่างสบายอารมณ์

..... "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสามีของคุณ" เบ็กเคนดอร์ฟขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

..... "พวกเจ้าไม่เคยได้ยินตำนานการเกิดของเทพแห่งความรักหรือไง" ไซคีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

..... "บุตรแห่งอโฟรไดท์สินะ" ไซเลน่าพึมพำ

..... "อีรอสไม่ได้เกิดมาพร้อมกับจักรวาลหรอกหรอ" โซอี้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

..... "อ้าว อีรอสไม่ใช่บุตรแห่งซุสหรอ" เบียงก้าเกาหัวด้วยแววตาสับสน

..... "เห็นไหม! ข้าบอกแล้ว! กวีสมองทึบนั่นมันจงใจทำชีวิตสามีข้าปั่นป่วน!" จู่ๆเทพีก็แผดสียงลั่น เสียงเล็กแหลมกรีดร้องอย่างคั่งแค้น

..... "ท่านก็เลยคิดจะแก้มันงั้นสิ" แพนโดร่าถามอย่างสมเพช

..... "ข้าจะแก้อย่างที่สมควรแก้มาตั้งนานแล้วต่างหากละ" ไซคีเถียงด้วยแววตาโกรธกรุ่น

..... "เอาเถอะ บอกมาว่าเราเปิดประตูได้ยังไง" แพนโดร่าบอกปัดๆ

..... "ยังต้องให้บอกอีกหรือไง ก็แสดงความรักสิ" ไซคีชักสีหน้า ดวงตาสีเข้มมองมาอย่างเวทนา

..... "ยังไงละ" โซอี้สะบัดเสียงอย่างหงุดหงิด

..... "ตายละ สมัยนี้ใครบอกว่าเทรนด์กิเลสราคะมาแรงสุดไง พวกเจ้าไปหลบอยู่ไหนมาเนี่ย ข้าควรจะพูดว่า 'ก็จูบน่ะสิเจ้าโง่!' ใช่ไหม?"






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 14 2013, 02:46 PM
โพสต์ #13


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | รักจะนำทาง (15+) | -



..... จูบ?

..... ให้แอตลาสโยนท้องฟ้าทับหัวผมตายเถอะ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมอยากออกจากหัวเบียงก้าเท่าครั้งนี้เลย จะจูบก็จูบกันไปสิ มันกงการอะไรของผู้หยั่งรู้ที่จะต้องให้ผมมาดูคนอื่นจูบกันเนี่ย จะให้ผมเล่าให้นิโคฟังหรอว่าเบียงก้าจูบกับใคร ลึกซึ้งแค่ไหน เธอเคลิ้มรึเปล่า หรอ? ถ้าผมบ้าทำก็นรกฮาเดสแล้วละ

..... "จูบเนี่ยนะ จะบ้าหรอ" โซอี้กรีดร้องพลางมองเทพีที่ยิ้มหวานราวกับอีกฝ่ายเสียสติไปแล้ว

..... ทั้งหกคนมองหน้ากันเลิกลั่กเมื่อได้ยินสิ่งที่ไซคีประกาศ เว้นก็แต่แพนโดร่าและอีธาน ประกายบางอย่างปรากฎขึ้นในแววตาของทั้งสอง ดวงตาหวานเชื่อมราวกับมาร์ชเมโล่วละลายของแพนโดร่าเคลื่อนเข้ามาอย่างเอียงอาย เช่นเดียวกับดวงตาสีกาแฟหยาดเยิ้มของอีธานที่ไล้ไปตามร่างโปร่งตรงหน้าอย่างโหยหา มือหนาของเด็กชายค่อยๆประคองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นเพชรน้ำงามที่เลอค่า ระยะห่างระหว่างใบหน้าของทั้งสองแคบลงในทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่าน จนในที่สุดก็ใกล้กันจนลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใบหน้าของอีกฝ่าย

..... ความใกล้ชิดหอมหวนชวนให้สั่นสะท้านขับเลือดบนใบหน้าหวานของแพนโดร่าให้สูบฉีดตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง เช่นเดียวกับอีธานที่แม้จะเก๊กหน้าขรึม ทว่าก็ไม่อาจปกปิดใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดไม่แพ้อีกฝ่าย ลมหายใจของแพนโดร่ากระชั้นขึ้นจนกลายเป็นหอบถี่เมื่อใบหน้าคมของอีธานอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบาเมื่อริมฝีปากบางของอีกฝ่ายแตะลงบนริมฝีปากอิ่ม

..... ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน บรรยากาศรอบข้างถูกตัดขาดจากทั้งสองโดยสิ้นเชิง อีธานพรมจูบหญิงสาวในอ้อมกอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักพอ ส่วนแพนโดร่าก็ตอบสนองยกแขนเรียวขึ้นมาโอบรัดคอของเด็กชาย มือนุ่มไล้ไปตามไรผมของอีกฝ่ายราวกับต้องการปลดปล่อยอารมณ์วาบหวามที่อัดอั้น เสียงหอบหายใจระรัวเร่งเร้าขึ้นเมื่อลิ้นหนาแตะลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ร่างทั้งสองสอดประสานกันเป็นหนึ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่แสงสว่างสีขาวแผ่ออกมา บดบังการมองเห็นของคนที่เหลือ และหายวับไปในที่สุด

..... "พระเจ้าช่วย ไปปิ๊งกันตอนไหนวะเนี่ย" ลุคพึมพำด้วยสีหน้าสะพรึงเมื่อเห็นบุตรแห่งเนเมซิสในลุคที่.. ผมขอละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน

..... "น่าประทับใจ เอาละ คู่ต่อไป" ไซคีปรบมือเสียงดังด้วยรอยยิ้มกว้างที่ฉีกจนแทบจรดใบหู

..... หกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่เบ็กเคนดอร์ฟจะตัดสินใจดึงตัวธิดาแห่งอะโฟรไดท์เข้ามาแนบชิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าเมื่อสายตาของทั้งสองประสานกัน หน้ากากที่บุตรแห่งเฮเฟตัสพยายามสร้างก็พังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี ธิดาแห่งอะโฟรไดท์เมื่อเห็นอีกฝ่ายได้แต่ตะลึงจนไม่อาจสานต่อ และท่าทางของทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพหมิ่นเหม่เต็มที จึงตัดสินใจยื่นมือไปดึงใบหน้าหยาบกร้านของอีกฝ่ายมาเข้ามาใกล้ เด็กสาวหลับตาแน่นหายใจรวยรินราวกับไม่ต้องการรับรู้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่สะกัดกลั้นความอายจรดริมฝีปากตัวเองเข้ากับชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอารมณ์ของทั้งคู่เข้าถึงเร็วกว่าคู่แรกหรืออะไรผมก็ไม่อยากคิดต่อ แต่แสงสีขาวก็สาดส่องปกคลุมร่างทั้งสองทันทีเมื่อช่องว่างระหว่างริมฝีปากขาดหายไป

..... "สุดยอด สุดยอด เอ้า ใครจะต่อก็เชิญ" เทพีกระโดดขึ้นๆลงๆราวกับถูกหวยอิชิตัน มือเรียวปรบมือแปะๆอย่างชอบใจ แตกต่างจากอารมณ์อีกสี่คนที่เหลือ..

..... "โซอี้ ฉัน.." ลุคเอ่ยเบาๆพลางมองเท้าตัวเองที่เตะก้อนหินเรื่อนเปื่อยโดยไม่กล้าสบตา ทว่าอีกฝ่ายกลับไหวตัวทันจึงรีบขัดขึ้นมาเสียก่อน

..... "เบียงก้า! เรา .. เอ่อ .. คู่กันไหม" โซอี้ตะโกนด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัด และยิ่งเบิกตากว้างด้วยความอับอายเมื่อตระหนักได้ว่าข้ออ้างที่พ่นออกไปมันสิ้นคิดขนาดไหน

..... "หา?" เบียงก้าร้องเสียงหลงอย่างงุนงง ดวงตาสีเข้มมองโซอี้กับลุคสลับไปมาอย่างขบขันเมื่อเริ่มเข้าใจ

..... "เฮ้ย จะบ้าหรอ!" ไมเคิลอุทานด้วยสีหน้าหวาดผวา ดวงตาสีฟ้าเหลือบไปมองลุคที่ยืนอยู่ข้างๆที่มองกลับมาด้วยความสยดสยองไม่แพ้กัน

..... "แต่ ฉัน.. ฉัน.. อย่าเข้ามานะ!" โซอี้กลอกตาไปมาอย่างจนปัญญา เมื่อบุตรแห่งเฮอร์มีสเริ่มสาวเท้าตรงเข้ามา

..... "ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาไง!" โซอี้ตะคอกด้วยเสียงสั่นๆ ขาที่กำลังก้าวถอยหลังหนีกลับทรยศเมื่อเผลอไปสบสายตาเจ้าเล่ห์ของลุคที่ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้

..... "ป-ปล่อย!" โซอี้กรีดร้องลั่นเมื่อลุคอาศัยจังหวะเผลอใช้อ้อมแขนแกร่งพันธนาการร่างบางไว้โดยไม่สนใจอาการขัดขืนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยของอดีตหัวหน้าพรานเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว

..... "กลั้นใจไว้ เดี๋ยวมันก็จบ" ลุคกระซิบอย่างอ่อนโยน เสียงทุ้มจากอีกฝ่ายทำให้ร่างบางของโซอี้อ่อนยวบราวกับเทียนไขที่ถูกไฟลน ยิ่งเมื่อสบสายตาหวานซึ้งของชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบก็ทำให้นิ้วเรียวที่เพิ่งทุบตีอีกฝ่ายจิกลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อสะกดอารมณ์วาบหวามที่เข้าโจมตี ก่อนที่จะทันได้อ้าปากห้ามอีกหน บุตรแห่งเฮอร์มีสก็ปิดปากของเด็กสาวอย่างร้อนแรง ไม่นานแสงสว่างก็เข้ากลืนกินร่างทั้งสองหายไป

..... "เยี่ยมที่สุด เอาละ คู่สุดท้ายแล้ว ไม่ต้องอาย" ไซคีที่ยิ้มแป้นราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ หันมามองสองคนที่เหลืออย่างคาดหวัง

..... "เอาเลย เอาเลย" ไซคีกระโดดโลดเต้นร้องเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี ต่างจากอีกสองคนที่กลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น

..... ไมเคิลหันไปมองเบียงก้าที่หันมาเช่นกัน แวบเดียวที่สบตาก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือกด้วยใบหน้าแดงแจ๋ บุตรแห่งอพอลโลกำมือแน่นราวกับกำลังพยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะสูดหายใจโกยอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ และตัดสินใจลากขาตรงเข้ามาหาเบียงก้าที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยสีหน้าหวาดผวา

..... เด็กชายใช้นิ้วเกลี่ยไรผมออกจากใบหน้าใสของคนตรงหน้าด้วยมืออันสั่นเทา มืออีกข้างวางลงอย่างแผ่วเบาบนเอวบางของธิดาแห่งฮาเดส เบียงก้าหลับตาพริ้มราวกับรู้งานเมื่อริมฝีปากบางของคนตรงหน้าเคลื่อนมาใกล้ ขนตาที่เรียงเป็นแพสวยทำให้ไมเคิลลอบกลืนน้ำลายอย่างชื่นชม ทันทีที่สัมผัสอ่อนหวานแตะลงที่เนื้ออ่อนบนริมฝีปาก ฝูงผีเสื้อในท้องของเด็กสาวก็พาทั้งสองทะยานขึ้นสู่แสงสว่างสีนวลตา ทิ้งไว้เพียงร่างของไซคีที่ยืนมองประตูที่กำลังเลือนหายด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม

..... "ออกมาได้แล้วละ อีรอส" หญิงสาวเอ่ยเบาด้วยน้ำเสียงยานคาง ใบหน้าหวานปั้นสีหน้าเหนื่อยหน่าย ปกปิดรอยยิ้มยินดีไว้อย่างแนบเนียน

..... สิ้นเสียง ร่างสีทองโฉบลงมาจากเพดานถ้ำ แสงสลัวเผยให้เห็นร่างกำยำที่มีกล้ามเนื้อสวยตามประสาคนสุขภาพดี ใบหน้าหล่อเหลาราวกับสลักเสลามาจากอุดมคติเคลียคลอบนกลุ่มผมนุ่มด้วยความห่วงหาไม่แพ้กัน ปีกสีทองที่งอกออกมาจากแผ่นหลังขยับเล็กน้อยราวกัับมีชีวิต ก่อนจะถูกพับเก็บตามบัญชาของเจ้าของร่าง ไซคีเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีรอสอย่างเศร้าสร้อยผิดกับเมื่อครู่ ริมฝีปากอิ่มได้รูปพึมพำบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนที่คำพูดจะกลืนหายไปในลำคอเมื่ออีรอสโน้มใบหน้าลงมาประทับจุมพิตอย่างปลอบประโลม

..... "น่าเสียดาย ที่ประตูให้ผ่านแค่เจ็ดคน.."






Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 15 2013, 08:17 AM
โพสต์ #14


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์









- | จุดเริ่มต้นของจุดจบ | -



..... สัมผัสที่ริมฝีปากยังประทับอยู่ในความรู้สึกของเบียงก้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะผละออกไปสักพักแล้วก็ตาม มือเรียวที่ประสานกันถูกเด็กชายกระชับแน่น แสงสว่างและหมู่ภมรในช่องท้องพาทั้งสองลอยละล่องไปท่ามกลางแสงสว่างสีขาวโพลนที่อุ่นวาบ จนกระทั่งเท้าทั้งสองก็สัมผัสถึงพื้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับแสงที่ค่อยๆจางลง

..... เบียงก้าเหลือบมองเด็กชายตรงหน้าสลับกับมือของตนที่ยังถูกอีกฝ่ายกุมแน่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทำให้ไมเคิลคลายมือพลางเกาคออย่างเก้อเขิน ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างเอียงอาย ก่อนจะพากันเดินไปตามทางเดินที่ผนังประดับประดาด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ กลิ่นอายของชีวิตเข้มขึ้นเมื่อทั้งสองเดินลึกเข้าไป กลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นไอดิน น้ำฝนที่หอมหวาน กลิ่นที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี กลิ่นพลังของเทพเจ้าผู้สูญหาย ..เทพแพน

..... "ลุค!" ไมเคิลตะโกนอย่างดีใจเมื่อมองไปเห็นร่างของบุตรแห่งเฮอร์มีสยืนหันหลังอยู่ที่ทางแยก ลุคหันมาตามเสียงเรียกด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม น้ำตาใสทิ้งคราบไว้บนแก้มตอบของเด็กชาย ดวงตาสีฟ้าฉายแววเศร้าสร้อยจนเบียงก้าเอะใจ ไมเคิลหันมาพยักหน้าส่งสัญญาณให้เด็กสาวข้างกาย ก่อนที่ทั้งสองจะออกวิ่ง

..... ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสองก็มาถึง ลุคเบือนหน้าไปยังบริเวณแผ่นหลังของเบ็กเคนดอร์ฟบดบังอยู่ เสียงสะอื้นของโซอี้ และเสียงสูดจมูกของไซเลน่าลอดผ่านเข้ามาในโสตประสาทของเด็กสาวที่เริ่มใจเสีย เบียงก้าลากเท้าเข้าไปอย่างเงียบๆ นิ้วเรียวแตะลงบนแผ่นหลังของบุตรแห่งเฮเฟตัสที่หลีกทางให้ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แล้วภาพที่ปรากฏก็ทำให้เบียงก้าถึงกับลืมหายใจ

..... หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ยาวสลวยกำลังนอนหนุนตักเด็กชายที่จมอยู่กับกองน้ำตา ใบหน้าหวานสูดลมหายใจรวยรินอย่างอ่อนล้า ผิวขาวเนียนกระพริบวิบวับคล้ายกำลังจะเลือนหาย ร่างบางกระตุก อ้าปากราวกับกำลังควานหาอากาศ ดวงตาสีทองบริสุทธิ์กลอกไปมาอย่างล่องลอย น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าจากดวงตาข้างที่ดีของเด็กชายไหลลงมากระทบกับผิวเนียนอย่างสุดจะกลั้น บนตักของเขาคือแพนโดร่าผู้กำลังจะตาย

..... "..ได้ไง" เบียงก้าครางอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาสีนิลสั่นระริกอย่างไม่อาจห้าม

..... "เธอไม่ใช่วิญญาณ" เบ็กเคนดอร์ฟเอ่ยเสียงแหบพร่า

..... "แล้วทำไม ..ทำไม" เบียงก้าส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างดื้อดึง

..... "ที่นี่จะฆ่าคนเป็นที่มาเยือน เธอกำลังจะ.." ไซเลน่าพูดได้แค่นี้ ก่อนจะปล่อยโฮ เบ็กเคนดอร์ฟเอื้อมมือไปลูบไรผมของเด็กสาวอย่างปลอบประโลม

..... "แต่วิญญาณของเธอก็จะ.." เบียงก้าพยายามเถียง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอเมื่ออีธานเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมามองด้วยแววตารวดร้าว

..... "บาปที่เธอทำ ต้องใช้เวลาชดใช้ไม่น้อยกว่าพันปี" อีธานเอ่ยด้วยเสียงละห้อย ก่อนที่เสียงหอบหายใจของแพนโดร่าจะดึงความสนใจจากทุกคนไป ดวงตาสีคาราเมลกลอกไปมาจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า มือเรียวกระตุกอย่างไร้ทิศทาง ก่อนที่ร่างบางจะกระตุกเฮือกสุดท้าย และแน่นิ่งไปในที่สุด

..... อีธานปล่อยโฮอย่างสุดจะกลั้นขณะเอื้อมมือไปปิดตาให้หญิงสาว หมอกสีดำของวิญญาณลอยขึ้นมาจากร่างที่ไร้ลมหายใจของแพนโดร่า หมอกนั้นพยายามจะก่อตัวเป็นรูปร่างใกล้ๆกับอีธาน แต่กลับถูกดูดหายเข้าไปในความมืดมิด

..... "ทานาทอส" เบียงก้าครางด้วยแววตาประหวั่นพรึง งานของฮาเดสและทานาทอส เทพแห่งความตายอีกองค์แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ทานาทอสมีหน้าที่ไล่ล่าวิญญาณชั่วร้ายโบราณมาลงโทษอย่างโหดเหี้ยมโดยที่ฮาเดสไม่อาจจะยุ่มย่าม แค่คิดว่าอะไรจะเกิดกับหญิงสาว ที่แม้จะเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่ถึงวัน ทว่าสายใยบางๆของมิตรภาพกลับเชื่อมพวกเธอไว้อย่างเหนียวแน่น น้ำตาก็รินไหลออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว

..... โซอี้ใช้มือแตะไหล่ของบุตรแห่งเนเมซิสที่กำลังประทับริมฝีปากลงบนร่างที่ไร้การตอบสนองเป็นครั้งสุดท้าย เนิ่นนานก่อนที่เด็กชายจะถอนจุมพิตออก น้ำตาเค็มปร่าหยดลงบนเปลือกตาบางของหญิงสาวที่เพิ่งจากไป ทำให้ธิดาแห่งแอตลาสต้องเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนรอยน้ำตาเมื่อเห็นภาพสะเทือนใจ

..... "เราต้องไปกันต่อ" อีธานใช้มือปาดน้ำตาอย่างลวกๆ พร้อมกับยันตัวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

..... "แล้ว.." ลุคลากเสียง พลางเหลือบไปมองร่างไร้ลมหายใจของแพนโดร่าด้วยแววตาอ่อนแสง

..... "เราต้องทำให้สำเร็จ ภารกิจนี้แลกมาด้วยชีวิตของเธอ" อีธานเอ่ยเสียงกร้าว

..... "งั้นก็มาเถอะ" เบียงก้าถอนหายใจก่อนจะออกเดินนำ โดยมีไมเคิลลากเท้าตามด้วยสายตาห่วงใย

..... คณะเดินทางทั้งเจ็ดเดินมาตามทางเรื่อยๆอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงฝีเท้าเอื่อยๆดังก้องไปตามผนังทางเดิน จนในที่สุดเบียงก้าก็หยุด ภาพตรงหน้าคือห้องโถงขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา กลิ่นอายของชีวิตแผ่ออกมาเข้มข้นจนแทบแผดเผา แต่สิ่งที่ตรึงสายตาหัวหน้าคณะเดินทางเอาไว้คือร่างโปร่งในชุดสีดำหรูหราตรงหน้า

..... "เบียงก้า?" หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคุ้นเคยเอ่ยด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด

..... " ..แม่"

..... แล้วผมก็ถูกกระชากออกจากร่างอีกครั้ง ความว่างเปล่า มืดมิด และเวิ้งว้างเข้าจู่โจมอย่างไร้ความปราณี ดูดเอาพลังชีวิต ความหวังให้เหือดหาย เสียงกรีดร้องแหลมสูงวิ่งผ่านโสตประสาทของผมครั้งแล้วครั้งเล่า ปลุกเอาความกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจให้โลดแล่น ผมกัดฟันต่อสู้กันความกลัวที่กำลังจะเอาชนะอย่างอ่อนล้า จนกระทั่งเสียงที่รอคอยดังขึ้น

..... "เพอร์ซีอุส แจ็กสัน" เสียงแหบพร่าของผู้หยั่งรู้เลื้อยเข้ามาในหัว ปลุกขนบนแผ่นหลังให้ลุกชัน

..... "พาฉันกลับค่าย" ผมบอกด้วยเสียงเล็กแหลม ที่ฟังดูน่าสมเพชอย่างประหลาด

..... "แน่นอนน แน่นอน เจ้าต้องรู้จักการรอค..." ผู้หยั่งรู้ตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย แต่จู่ๆก็หยุดชะงัก ผมได้กลิ่นความผิดปกติที่รุนแรงเสียจนบาดจมูก และแม้ผมพยายามจะเรียก ตะโกน หรือกรีดร้อง แต่กลับได้รับแต่ความเงียบงันตอบแทน จนในที่สุดผมก็ตีดสินใจหุบปากด้วยความสมเพชตัวเอง

..... "ข้า ข้าเสียใจที่ต้องทำแบบนี้ นี่เป็นบัญชาเร่งด่วน ข้าเสียใจ เด็กเอย" ผู้หยั่งรู้ที่เงียบไปนานพึมพำขึ้น และผมก็ถูกกระชากอีกครั้งก่อนจะทันได้ถามอะไร


. . . . .


..... ความมืดมิดช่างเนิ่นนาน เนิ่นนานจนผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าผมมีตัวตน เวลาผ่านไปครู่หนึ่่ง ผมถึงรู้สึกได้ถึงร่างกายอีกครั้ง ความไม่สบายตัวจากการออกจากร่างไปนานทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่สุดท้ายผมก็ค่อยๆลืมตาขึ้นจนได้ ดวงตาผมหรี่ลงตามสัญชาตญาณเพื่อปกป้องตัวเองจากแสงจ้า ทว่าตอนนี้สรรพสิ่งรอบกายกำลังหลับใหล เว้นก็แต่สิ่งมีชีวิตยามวิกาล และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงสิ่งมีชีวิตข้างหน้าผมเช่นกัน พวกเธอมีกันสองตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์เว้นก็แต่งูที่ขู่ฟ่อบนพื้นที่ที่ควรจะเป็นเส้นผม

..... ผมเปิดปลอกปากกาตามสัญชาตญาณ และฟันมันออกไป ปากกาในมือผมเปลี่ยนเป็นดาบอย่างน่าตกตะลึง ทันทีที่คมดาบสัมผัสร่างของหนึ่งในสองของมัน ร่างก็สลายกลายเป็นน้ำสีเขียวเหนียวๆที่ทำให้ผมอ้วกแทบพุ่ง หญิงหัวงูอีกตนมองหน้าผมอย่างเคียดแค้น แล้วผมก็ออกวิ่ง วิ่งโดยที่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน วิ่งโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังหนีอะไร และวิ่งโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...



The End
To be continue in 'The Heroes Of Olympus : The Son Of Neptune'
Now Avaliable

-| จบภาคพิเศษ |-
-| ติดตามต่อได้ใน 'บุตรแห่งสมุทรเทพ' |-
-| วางแผงแล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ! |-







Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ May 15 2013, 12:50 PM
โพสต์ #15


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








Special Talk With Writer

สวัสดีนักอ่านที่รักทุกคนนะคะ ในที่สุดแฟนฟิคเรื่องนี้ก็ดำเนินมาจนจบบริบูรณ์แล้ว ไอซ์ดีใจน้ำตาไหลเลยทีเดียวเพราะเป็นเรื่องแรกในชีวิตที่มีตอนจบ ฮ่าๆ
บอกได้คำเดียวว่า 'ฟินมาก' ฮ่าๆ หุหุ -.,- ก่อนอื่นต้องขอบคุณทวินจริงๆ สำหรับการผลักดัน ถีบ ตื๊อ บังคับ ข่มขู่ จนฟิคเรื่องนี้เดินทางมาถึงตอนจบได้ในที่สุด
ขอบคุณสำหรับเฮดชื่อเรื่อง ชื่อตอน การจีดหน้ากระดาษ โปรโมต แทบทุกอย่างที่ ถ้าไม่มีทวิน ก็คงไม่มีฟิคเรื่องนี้ในวันนี้ ฮ่าๆ
ขอบคุณเฮสที่คอยให้คำแนะนำในช่วงแรกๆ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยได้คุยกันแล้วก็ตาม แต่ไอซ์ก็ยังรักเฮสนะ ^^
ขอบคุณเฟ ที่บอกว่าจะอ่าน จะอ่าน แต่จน ณ บัดนาวก็ยังไม่เห็นโผล่ หึหึหึ
ขอบคุณพี่แพรที่คอยตอบคำถามปัญญาอ่อนของไอซ์ คอยติติงในส่วนที่ผิดพลาด
ขอบคุณนักอ่านที่ไอซ์ก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง เพราะวิวเยอะเหลือเกิน แต่เม้นร่อยหรอมาก -_____-;

ตอนนี้ยังไม่สายนะคะสำหรับคนที่ซุ่มอ่าน เม้นให้ไอซ์บ้างก็ดี ไอซ์ไม่ฆ่าทิ้งหรอก ช่วยให้กำลังใจกันบ้างอะไรบ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง เริ่มเว่อละ ฮ่าๆ
ตอนนี้ก็เหลือประกาศรางวัลแล้วเนอะ ไอซ์ก็ได้แต่หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเข้าตากรรมการบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไอซ์ทำได้ดีกว่าคนอื่น ก็ขอให้ไอซ์ชนะ
เพราะเป็นคนที่เฟลง่ายมาก ถ้าเจออะไรที่.. #ต้องการจะสื่ออะไร ฮ่าๆ ล้อเล่นค่ะ >_____<~ ก็ต้องมาลุ้นผลกันเนอะว่าจะเป็นยังไง
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ยังไง ฝากผลงานเรื่อง 'Seven Keys ตำนานเจ็ดเผ่าพันธุ์กุญแจแห่งราชัน' ที่ไอซ์กำลังจะขุดขึ้นมาแต่งต่อด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ทำให้ไอซ์ได้เป็น Celovine' ในวันนี้

ขอบคุณจริงๆค่ะ ^^


ถ้าหากมีข้อสงสัยอยากสอบถาม อยากให้กำลังใจ หรืออยากติชมอะไรเกี่ยวกับแฟนฟิคเรื่องนี้
สามารถไปพูดคุยกันได้ที่ ห้องวิจารณ์ผลงาน นะคะ :)





Go to the top of the page
+Quote Post
Celez Volante Am...
โพสต์ Aug 15 2017, 09:40 PM
โพสต์ #16


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 6

******




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 1,539
เข้าร่วม : 7-December 11
จาก : Amistes Universe
หมายเลขสมาชิก : 15,856
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ
ล็อกเกอร์

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เมเปิ้ล | ยาว: 13"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: ดีดตัว

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








ϟ ANNOUNCEMENT

สวัสดีค่ะ เซโลวีนเองค่ะ ในที่สุดเรื่องนี้ไอซ์ก็สามารถรีไรท์ได้จนจบ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะสามารถทำได้ T T
วันนี้ไอซ์มีข่าวมาประกาศเรื่องการตีพิมพ์แฟนฟิคเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้ไอซ์ได้เตรียมรูปเล่มบางส่วนไปแล้ว
แต่จะสามารถตีพิมพ์ได้หากมีจำนวนที่มากกว่าสิบเล่มค่ะ จึงจะสามารถคิดได้ในราคาที่โอเค และคุ้มทุน
พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนะคะว่า ไม่ได้ต้องการกำไรใดๆ
อยากได้เป็นที่ระลึกไว้ให้ตัวเองกับซฟล เผื่ออนาคตอาจะใช้เป็น portfolio เฉยๆเลยค่ะ

ตอนพิเศษทั้งเจ็ดตอนไอซ์จะเอามาเผยแพร่ก็ต่อเมื่อมีการตีพิมพ์เล่มนี้นะคะ
จะมีตอนพิเศษสามตอนแรกที่อัพโหลดลงในเด็กดี ส่วน อีกสี่ตอนจะพบกันในรูปเล่มเท่านั้น
โดยไอซ์ได้อัพเดตให้แล้วในเด็กดีว่าแต่ละตอนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรและมีการวางพล็อตไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ
เผลอๆตอนพิเศษอาจจะยาวกว่าความยาวทั้งเรื่องก็ได้นะคะ 5555555555

ไอซ์ขอทำแบบสำรวจเลยนะคะสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะสั่งรูปเล่มจริงๆ
( จะพยายามควบคุมราคาไม่ให้เกิน 500 บาทและมีของแถมนอกจากตอนพิเศษแน่นอนค่ะ )
โดยไอซ์จะเปิดให้ผู้ที่สนใจสั่งซื้อคอมเมนต์แสดงตัว ในในเด็กดี CLICK! ระบุยูสฮอกไว้ด้วยนะคะ
ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้นค่ะ เบื้องต้นมีคนมาลลงชื่อแล้วประมาณห้าคนค่า
หากมีการตีพิมพ์รูปเล่ม จะลงรายละเอียดอาร์ตเวิร์คทั้งหมดและเปิดให้สั่งจองในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ค่ะ

ประกาศนี้ได้รับอนุญาตแล้วนะคะ ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนมาตลอดนะคะ
และสำหรับคนที่อยากอ่านงานเขียนอื่นของไอซ์ ขอเชิญได้ ที่นี่ เลยค่ะ

ขอบคุณค่า ;)






Go to the top of the page
+Quote Post

Closed TopicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 26th June 2024 - 05:40 AM