IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> นิทานของบีเดิลยอดกวี
Ian McMillan
โพสต์ Mar 26 2021, 03:46 PM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์











The Tales of Beedle the Bard
นิทานของบีเดิลยอดกวี





ชื่อ : นิทานของบีเดิลยอดกวี (The Tales of Beedle the Bard)
ผู้เขียน : บีเดิลยอดกวี (Beedle the Bard)
วัน เดือน ปีที่ตีพิมพ์ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 15
สำนักพิมพ์ : เชลฟ์เพรส
หมวดหมู่ : หนังสือนิทานเด็ก
สำเนา : เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ (ซึ่งได้มาจากพินัยกรรมของดัมเบิลดอร์), ตระกูลดัมเบิลดอร์, ตระกูลวีสลีย์, ตระกูลเลิฟกู๊ด, บรรดาผู้วิเศษ, ห้องสมุดฮอกวอตส์


นิทานของบีเดิลยอดกวี คือหนังสือรวมนิทานที่เขียนขึ้นสำหรับพ่อมดแม่มดผู้เยาว์ ออกจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์เชลฟ์เพรส และวาดภาพประกอบโดยลักโซ คารูซอส นิทานเหล่านี้เป็นเรื่องอ่านก่อนนอนที่นิยมแพร่หลายมาหลายศตวรรษแล้ว ดังนั้น หม้อกระโดดได้ และ น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่นักเรียนฮอกวอตส์จำนวนมากคุ้นเคย เช่นเดียวกับที่เด็ก ๆ มักเกิ้ลคุ้นเคยกับเรื่องซินเดอเรลล่า และ เจ้าหญิงนิทรา




นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับของเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์

QUOTE
แฮร์รี่ พอตเตอร์: “ใช่ แต่ถ้าดัมเบิลดอร์ยังอยู่ ทำไมเขาไม่แสดงตัวล่ะ ทำไมเขาไม่ยื่นดาบให้เราเฉย ๆ”
รอน วีสลีย์: “ไม่รู้สิ ก็คงเหตุผลเดียวกับที่เขาไม่ให้นายตอนยังอยู่ละมั้ง หรือที่เขาทิ้งลูกสนิชเก่า ๆ ไว้ให้นาย ทิ้งหนังสือนิทานเด็กไว้ให้เฮอร์ไมโอนี่”

เครื่องรางยมทูต บ.20 น.359

เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ได้สิทธิเป็นเจ้าของหนังสือ นิทานของบีเดิลยอดกวี ฉบับพิมพ์ครั้งแรก จากการที่อัลบัส ดัมเบิลดอร์ได้มอบให้กับเธอในพินัยกรรมก่อนที่เขาจะจากไป หนังสือเล่มนี้ถูกทำเครื่องหมายด้วยสัญลักษณ์ของเครื่องรางยมทูต บนหน้าแรกของบทนิทานสามพี่น้อง ด้วยเหตุนี้ดัมเบิลดอร์จึงสามารถบอกแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่เกี่ยวกับเครื่องรางยมทูตหลังการตายของเขาได้



การจัดทำ และประวัติความเป็นมา

นิทานของบีเดิลยอดกวี ถูกเขียนขึ้นเป็นฉบับภาษารูนโบราณโดย บีเดิลยอดกวี ในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งฉีกจากภาษาที่ผู้คนใช้กันทั่วไปในศตวรรษที่ 20 ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จนมีให้อ่านกันมาตลอดหลายศตวรรษ และในที่สุดก็ได้ตกมาอยู่ในการครอบครองของอัลบัส ดัมเบิลดอร์

ดัมเบิลดอร์ได้จดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของหนังสือเล่มนี้ไว้มากมาย โดยตีความผ่านเหตุการณ์ของเขาเอง ตลอดจนมีบันทึกเบื้องลึกเบื้องหลังที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บันทึกเหล่านี้ ถูกพบในบรรดาเอกสารที่ดัมเบิลดอร์ทำพินัยกรรมยกให้หอจดหมายเหตุของฮอกวอตส์ ก่อนจะจากไปเขาได้ตัดสินใจฝากหนังสือเล่มนี้ไว้กับเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เพราะมั่นใจว่าเธอจะอ่านมันอย่างครอบคลุม และค้นพบสัญลักษณ์เครื่องรางยมทูตที่เขาทิ้งไว้ให้ในที่สุด



สิทธิครอบครองของเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์

QUOTE
‘แด่มิสเฮอร์ไมโอนี่ จีน เกรนเจอร์ ข้าพเจ้าขอมอบหนังสือของข้าพเจ้าเรื่อง นิทานของบีเดิลยอดกวี ให้ ด้วยหวังว่าเธอจะได้รับความสนุกสนานและความรู้จากมัน’

— รูฟัส สคริมเจอร์ อ่านพินัยกรรมและคำสั่งเสียสุดท้ายของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ (เครื่องรางยมทูต บ.7 น.123)

หนังสือเล่มนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงเวทมนตร์อังกฤษได้นำไปตรวจสอบเป็นเวลาสามสิบเอ็ดวัน ตามคำสั่งของรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ รูฟัส สคริมเจอร์ ที่สงสัยในความไม่ชอบมาพากลของสิ่งของที่อยู่ในการครอบครองของดัมเบิลดอร์

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ร่วมเดินทางไปกับแฮร์รี่เพื่อค้นหาฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ เธออ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดโดยใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวิชาอักษรรูนโบราณ แปลต้นฉบับนิทานของบีเดิลยอดกวีออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในที่สุดเธอก็ค้นพบเครื่องหมายที่ดัมเบิลดอร์ทิ้งไว้ และเชื่อมโยงไปถึงสร้อยคอที่เซโนฟิเลียส เลิฟกู๊ดสวมใส่ ทั้งสามจึงเดินทางไปที่บ้านเลิฟกู๊ด

QUOTE
“นี่มันนิทานสำหรับเด็กนะ เอาไว้เล่าเพลิน ๆ มากกว่าจะสั่งสอน แต่คนที่เข้าใจเขาจะรู้ดีว่านิทานโบราณเรื่องนี้พูดถึงของสามอย่าง หรือเครื่องรางสามอย่าง ซึ่งถ้ามารวมกันจะทำให้ผู้ครอบครองได้เป็นนายแห่งยมทูต”

— เซโนฟิเลียส เลิฟกู๊ด (เครื่องรางยมทูต บ.21 น.377)

เมื่ออยู่ที่นั่น เฮอร์ไมโอนี่อ่าน นิทานของบีเดิลยอดกวี ฉบับดั้งเดิม และด้วยข้อมูลเพิ่มเติมจากเลิฟกู๊ด ทั้งสามคนได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของเครื่องรางยมทูต ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำมาเปิดเผยในภายหลัง เพื่อระบุว่าสิ่งที่โวลเดอมอร์กำลังมองหาอยู่นั้นคือไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์



เนื้อหา

QUOTE




ข้อมูลจาก Wizarding World, Harry Potter Wiki I, II
และหนังสือ The Tales of Beedle the Bard

รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 26 2021, 04:55 PM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








บทนำ



นิทานของบีเดิลยอดกวี คือหนังสือรวมนิทานที่เขียนขึ้นสำหรับพ่อมดแม่มดผู้เยาว์ นิทานเหล่านี้เป็นเรื่องอ่านก่อนนอนที่นิยมแพร่หลายมาหลายศตวรรษแล้ว ดังนั้น หม้อกระโดดได้และน้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่นักเรียนฮอกวอตส์จำนวนมากคุ้นเคย เช่นเดียวกับที่เด็ก ๆ มักเกิ้ล (ผู้ไม่มีเวทมนตร์) คุ้นเคยกับเรื่องซินเดอเรลลาและเจ้าหญิงนิทรา
นิทานของบีเดิลยอดกวีนั้นเหมือนกับเทพนิยายของเราหลายประการด้วยกัน เช่น คุณธรรมมักได้รับรางวัลตอบแทน ส่วนความชั่วร้ายก็ถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างประการหนึ่งที่เห็นได้ชัด ในเทพนิยายของพวกมักเกิ้ล เวทมนตร์คือรากเหง้าแห่งปัญหาของพระเอกและนางเอก เช่น แม่มดที่ชั่วร้ายใส่ยาพิษในลูกแอปเปิล เสกให้เจ้าหญิงนอนหลับไปร้อยปี หรือเปลี่ยนเจ้าชายให้เป็นสัตว์ร้ายน่าเกลียด แต่ตรงกันข้าม ในนิทานของบีเดิลยอดกวี เราจะพบพระเอกนางเอกที่เสกเวทมนตร์ได้ด้วยตนเอง กระนั้นก็ยังพบว่าแก้ปัญหาได้ยากเย็นพอ ๆ กับพวกเรา นิทานของบีเดิลช่วยผู้ปกครองผู้วิเศษรุ่นแล้วรุ่นเล่า อธิบายความจริงอันไม่น่าอภิรมย์ข้อนี้ของชีวิต ให้บรรดาผู้เยาว์รู้ว่า เวทมนตร์นั้นก่อให้เกิดปัญหาได้พอ ๆ กับที่ช่วยแก้ปัญหา
ความแตกต่างที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง ระหว่างนิทานเหล่านี้กับเทพนิยายของพวกมักเกิ้ลก็คือ แม่มดของบีเดิลนั้นกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโชคลาภของตนเอง มากกว่านางเอกในเทพนิยายของเรา แอชา อัลเทดา อมตา และแบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ ล้วนเป็นแม่มดที่กุมชะตาชีวิตของตนเองไว้ในมือ แทนที่จะนอนงีบยืดเยื้อนาน ๆ หรือคอยให้มีคนเอารองเท้าข้างที่หายไปมาคืน มีที่ยกเว้นคนหนึ่ง คือสาวงามไร้นามในเรื่อง “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” เธอทำตัวเหมือนเจ้าหญิงในนิทานตามทัศนะของเรา แต่ตอนท้ายเรื่องของเธอก็มิได้จบลงอย่าง “มีความสุขไปชั่วนิรันดร์”
บีเดิลยอดกวีมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สิบห้า และชีวิตส่วนใหญ่ก็คลุมเครือเป็นปริศนา เรารู้ว่าเขาเกิดในยอร์กเชียร์ และภาพพิมพ์ไม้ที่เหลืออยู่ภาพเดียวก็แสดงว่าเขามีเคราดกงามเป็นพิเศษ ถ้านิทานเหล่านี้สะท้อนทัศนคติของเขาอย่างเที่ยงตรง บีเดิลก็นิยมชมชอบพวกมักเกิ้ลมากทีเดียว เขามองพวกนี้ว่าโง่เขลามากกว่าจะมุ่งคิดร้าย เขาไม่ไว้ใจเวทมนตร์ฝ่ายมืด และเชื่อว่าการกระทำที่เลวร้ายที่สุดของพ่อมดแม่มดนั้น ผุดขึ้นมาจากสันดานดิบเยี่ยงมนุษย์ คือความเหี้ยมโหด ความไร้น้ำใจ หรือการใช้พรสวรรค์ในทางผิดด้วยความหยิ่งยโส พระเอกนางเอกผู้มีชัยในนิทานของเขาไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเวทมนตร์สูงสุด แต่เป็นคนที่เปี่ยมด้วยเมตตา มีสติ และเจ้าความคิด
พ่อมดยุคปัจจุบันคนหนึ่งที่มีทัศนคติทำนองเดียวกันนี้ แน่ละ ก็คือศาสตราจารย์อัลบัส เพอร์ซิวาล วูลฟริก ไบรอัน ดัมเบิลดอร์ เหรียญตราเมอร์ลิน (ชั้นหนึ่ง) อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ผู้วิเศษสูงสุดของสมาพันธ์พ่อมดแม่มดนานาชาติ หัวหน้าผู้วิเศษของศาลสูงวิเซ็นกาม็อต แม้จะมีทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากเมื่อพบบันทึกข้อความเกี่ยวกับ นิทานของบีเดิลยอดกวี ในบรรดาเอกสารที่ดัมเบิลดอร์ทำพินัยกรรมยกให้หอจดหมายเหตุของฮอกวอตส์ เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าข้อสังเกตที่เขาเขียนนี้เพื่อความพอใจของตนเอง หรือเพื่อจะตีพิมพ์เผยแพร่ในอนาคต อย่างไรก็ตามเราได้รับความกรุณาจากศาสตราจารย์มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล อาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของฮอกวอตส์ อนุญาตให้พิมพ์บันทึกของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ได้ พร้อมกับนิทานฉบับแปลใหม่เอี่ยมโดยเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เราหวังว่าความเข้าใจอันแหลมคมของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ประกอบกับข้อสังเกตเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผู้วิเศษ ความทรงจำส่วนตัว และข้อมูลที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ ๆ ของแต่ละเรื่อง จะช่วยให้ผู้อ่านรุ่นใหม่ ทั้งพ่อมดแม่มดและมักเกิ้ล ชื่นชมเห็นค่าของนิทานของบีเดิลยอดกวี ทุกคนที่รู้จักศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ต่างก็เชื่อว่าท่านจะต้องยินดียิ่งนักที่ได้ช่วยสนับสนุนโครงการนี้ ในเมื่อค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมดจะถูกมอบให้ชิลเดรนส์ไฮเลเวลกรุ๊ป องค์กรการกุศลซึ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของเด็ก ๆ ผู้จำเป็นต้องมีปากเสียงแทนอย่างยิ่งยวด
เป็นการสมควรที่จะพูดเพิ่มเติมสั้น ๆ เกี่ยวกับบันทึกของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ เท่าที่เราบอกได้ บันทึกนี้เขียนเสร็จประมาณสิบแปดเดือน ก่อนเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้นบนยอดหอคอยดูดาวของฮอกวอตส์ ผู้ที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์สงครามพ่อมดที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ (ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนที่ได้อ่านชีวประวัติของแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งเจ็ดเล่ม) คงจะได้เห็นว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนิทานเรื่องสุดท้ายในเล่มนี้ไว้น้อยกว่าที่เขารู้ หรือสงสัย เหตุผลที่เขาละเลยไม่บอกทั้งหมดอาจจะเป็นดังที่ดัมเบิลดอร์ เคยกล่าวกับนักเรียนคนโปรดผู้มีชื่อเสียงที่สุดของเขาเมื่อหลายปีก่อนว่า ความจริงนั้น
“เป็นสิ่งที่งดงามและร้ายกาจในเวลาเดียวกัน จึงต้องระมัดระวังมาก”
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ เราก็คงให้อภัยศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ที่ปรารถนาจะปกป้องผู้อ่านในอนาคต จากความเย้ายวนใจ ซึ่งเขาเองก็ได้ตกเป็นเหยื่อมาแล้ว และต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยราคาที่สูงลิ่ว



รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 27 2021, 11:47 AM
โพสต์ #3


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








1
พ่อมดกับหม้อกระโดดได้




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อมดชราผู้ใจดีคนหนึ่ง เขาใช้เวทมนตร์อย่างเมตตาและเฉลียวฉลาดเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนบ้าน
แทนที่จะเปิดเผยแหล่งอำนาจที่แท้จริงของตน พ่อมดกลับแสร้งทำว่าน้ำยา เครื่องราง และยาถอนพิษต่าง ๆ นั้นผุดขึ้นมาสำเร็จรูปจากหม้อมีหูใบน้อย ที่เขาเรียกว่าหม้อกับข้าวนำโชค ผู้คนเดินทางไกลจากทุกทิศทุกทาง มาหาเขาพร้อมกับเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ แล้วพ่อมดชราก็ยินดีที่จะคนหม้อสักทีหนึ่ง เพื่อทำให้ทุกอย่างกลับดีดังเดิม
พ่อมดผู้เป็นที่รักยิ่งนี้มีชีวิตอยู่จนแก่เฒ่า แล้วจึงตายจากไป ทิ้งสมบัติทั้งหมดให้แก่ลูกชายคนเดียว ลูกชายคนนี้มีนิสัยแตกต่างจากพ่อผู้อ่อนโยนของเขามาก ในสายตาของลูกชาย คนที่ไม่อาจเสกเวทมนตร์ได้นั้นไร้ค่า เขามีปากมีเสียงบ่อย ๆ เรื่องที่พ่อชอบใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน
หลังจากที่พ่อตายไปแล้ว ลูกชายพบห่อเล็ก ๆ เขียนชื่อเขา ซ่อนอยู่ในหม้อกับข้าวเก่าคร่ำคร่า เขาแก้ห่อ หวังว่าจะพบทอง แต่กลับพบรองเท้าแตะนุ่มหนา ซึ่งเล็กเกินกว่าที่เขาจะสวมได้ แถมมีเพียงข้างเดียว
เศษกระดาษใบหนึ่งซุกอยู่ในรองเท้าแตะ มีตัวหนังสือเขียนว่า
“หวังอย่างยิ่ง ลูกเอ๋ย ว่าเจ้าจะไม่มีวันจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”
ลูกชายสบถว่าพ่อแก่จนเลอะเลือน แล้วโยนรองเท้าแตะข้างเดียวนั้นกลับลงหม้อ ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะใช้มันเป็นถังขยะ
คืนนั้นเอง หญิงชาวบ้านคนหนึ่งมาเคาะประตูหน้าบ้าน “หลานสาวของอิฉันมีหูดผุดขึ้นเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ” เธอบอกเขา “พ่อของคุณเคยช่วยปรุงยาพอกสูตรพิเศษจากหม้อข้าวเก่า ๆ นั่น --”
“ไปให้พ้น!” ลูกชายร้องเสียงดัง “ฉันไม่สนหรอกว่าหลานแกจะเป็นหูด”
แล้วเขาก็กระแทกประตูปิดใส่หน้าหญิงชรา
ทันใดนั้น มีเสียงดังโฉ่งฉ่างโครมครามมาจากในครัว พ่อมดจุดไฟที่ปลายไม้กายสิทธิ์และเปิดประตูเข้าไป เขาประหลาดใจยิ่งนักเมื่อเห็นหม้อกับข้าวใบเก่าคร่ำคร่าของพ่อ มันมีเท้าทองเหลืองงอกออกมาข้างหนึ่ง และกำลังกระโดดอยู่กับที่ตรงกลางห้อง ทำเสียงดังสนั่นบาดหูอยู่บนพื้นปูหิน พ่อมดขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนเท่ห์ แต่แล้วก็รีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าผิวหม้อทั้งใบปกคลุมด้วยหูด
“หม้ออัปลักษณ์!” เขาร้อง แล้วอันดับแรก เขาพยายามเสกคาถาให้หม้อหายไป ต่อจากนั้นก็ใช้เวทมนตร์ทำความสะอาดหม้อ และท้ายที่สุด บังคับให้มันออกไปจากบ้าน อย่างไรก็ตาม ไม่มีคาถาใดใช้ได้ผลเลย นอกจากนั้น เขายังไม่อาจห้ามหม้อกระโดดตามหลังเขาออกมาจากครัว มันตามเขาขึ้นไปถึงเตียงส่งเสียงโกร่งกร่างโฉ่งฉ่างลั่นไปทุก ๆ ขั้นบันไดไม้
พ่อมดนอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน เพราะเจ้าหม้อเก่าขึ้นหูดนั้นส่งเสียงดังโครมครามอยู่ข้าง ๆ พอรุ่งเช้า หม้อก็ดึงดัน กระโดดตามหลังเขาไปถึงโต๊ะอาหารเช้า เคร้ง คร้าง เคร้ง เจ้าหม้อทองเหลืองมีเท้าส่งเสียงตลอดเวลา และยังไม่ทันที่พ่อมดจะได้ลงมือกินข้าวต้ม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าประตู
“ลาแก่ของผมนะขอรับ” เขาอธิบาย “มันหายไป หรือไม่ ก็อาจจะถูกขโมย ถ้าไม่มีลา ผมก็ขนสินค้าไปตลาดไม่ได้ แล้วคืนนี้ครอบครัวผมก็คงต้องหิวโซ”
“ส่วนฉันก็หิวโซอยู่ตอนนี้!” พ่อมดคําราม แล้วก็กระแทกประตูปิดใส่หน้าชายชรา
เคร้ง คร้าง เคร้ง เสียงเท้าทองเหลืองข้างเดียวของหม้อกระแทกพื้นห้อง แต่ตอนนี้มีเสียงร้องของลาและเสียงครวญครางด้วยความหิวของมนุษย์ ดังประสมสะท้อนก้องมาจากก้นหม้อ
“เงียบนะ! เงียบเดี๋ยวนี้!” พ่อมดตะโกนเสียงดัง แต่อํานาจเวทมนตร์ทั้งหมดที่เขามีอยู่ ก็ไม่อาจทําให้หม้อขึ้นหูดนั้นสงบลงได้ มันยังกระโดดตามติดเขาไปตลอดทั้งวัน ส่งเสียงร้องแบบลา ครวญครางและทําเสียงเคร้งคร้าง ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน หรือทําอะไรก็ตาม
ค่ำวันนั้น มีเสียงเคาะประตูเป็นครั้งที่สาม หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ธรณีประตู กําลังร้องไห้ราวกับหัวใจจะแตกสลาย
“ลูกน้อยของฉันป่วยหนักมากค่ะ” เธอพูด “คุณจะกรุณาช่วยเราหน่อยได้ไหมคะ คุณพ่อของคุณเคยบอกฉันให้มาหาถ้ามีเรื่องเดือดร้อน --”
แต่พ่อมดกระแทกประตูปิดใส่หน้าเธอ
และตอนนี้หม้อเจ้ากรรมมีน้ำเกลือเต็มเปี่ยมจนถึงขอบ เมื่อมันกระโดดก็ทําน้ำตากระฉอกไปทั่วพื้นห้อง พร้อมกับส่งเสียงร้องแบบลา เสียงครวญคราง และมีหูดผุดขึ้นมาอีกมากมาย
แม้ว่าจะไม่มีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือที่กระท่อมของพ่อมดอีกเลยตลอดสัปดาห์นั้น แต่หม้อบอกให้เขารู้ว่าทุกคนเดือดร้อนอะไรกันบ้าง สองสามวันต่อมา หม้อไม่ได้ทําแค่ส่งเสียงร้องแบบลา ครวญคราง น้ำตากระฉอก กระโดด และงอกหูดขึ้นมาเต็มตัว แต่มันยังทําเสียงสําลัก อาเจียนโอ้กอ้าก ร้องไห้แบบเด็กทารก ครางโหยหวนแบบสุนัข พ่นเนยเสียและนมบูด แถมด้วยทากหิวโหยจํานวนห่าใหญ่ออกมาด้วย
พ่อมดกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อมีหม้ออยู่เคียงข้าง แต่หม้อก็ยืนกรานไม่ยอมละทิ้งเขาไป และเขาก็ไม่อาจบังคับให้มันเงียบเสียงหรืออยู่นิ่งได้เลย
ในที่สุดพ่อมดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“เอาปัญหาทั้งหมดของทุกคนมาให้ฉัน เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจทั้งหลายแหล่!” เขากรีดเสียงร้อง วิ่งหนีไปในราตรี มีหม้อกระโดดตามหลังไปตลอดทางเข้าสู่หมู่บ้าน “มาเร็ว ๆ ! ให้ฉันรักษา ให้ฉันช่วยเหลือ ให้ฉันทําให้สุขสบาย! ฉันมีหม้อกับข้าวของพ่อ ฉันจะทําให้ทุกคนหายดี!”
เขาวิ่งไปตามถนน เสกคาถาไปทุกทิศทุกทาง มีหม้อร้ายกาจกระโดดเด้งตามหลังมาไม่หยุดยั้ง
ข้างในบ้านหลังหนึ่ง หูดที่ขึ้นทั่วตัวเด็กหญิงหายไปขณะที่เธอนอนหลับ ลาที่หลงทางถูกมนตร์เรียกตัวกลับมาจากดงไม้หนามหนาที่อยู่ห่างไกล ลอยลงสู่คอกอย่างนุ่มนวล เด็กทารกที่ป่วยชโลมอาบด้วยน้ำยาดิตทานี และตื่นขึ้นมาหายดีเป็นปลิดทิ้ง
ทุก ๆ บ้านที่มีความเจ็บป่วยและโศกสลด พ่อมดช่วยเหลือสุดฝีมือ และหม้อกับข้าวที่เคียงข้างตัวเขาก็ค่อย ๆ หยุดร้อง ครวญคราง หยุดอาเจียนโอ้กอ้าก และเงียบเสียงลง กลายเป็น หม้อที่สะอาดแวววาว
“ว่าไง หม้อ” พ่อมดถามตัวสั่นเทา ขณะที่ดวงตะวันเริ่มโผล่ขึ้นมา
หม้อสํารอกรองเท้าแตะข้างเดียวที่เขาโยนใส่มันออกมา และยอมให้เขาสวมรองเท้าแตะบนเท้าทองเหลือง ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน กลับคืนสู่บ้านของพ่อมด เสียงฝีเท้าของหม้อแผ่วเบาลงในที่สุด
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อมดก็ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน เหมือนเช่นที่พ่อของเขาเคยทํา เพราะถ้าไม่ทําเช่นนั้น หม้อจะสลัดรองเท้าแตะออกไป แล้วเริ่มต้นกระโดดใหม่อีกครั้ง




ความเห็นของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เรื่อง “พ่อมดกับหม้อกระโดดได้”

พ่อมดชราผู้ใจดีตัดสินใจสอนบทเรียนแก่ลูกชายใจดํา โดยให้เขาได้ลิ้มรสความทุกข์ยากของพวกมักเกิ้ลในหมู่บ้านเสียบ้าง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพ่อมดหนุ่มจึงตื่นขึ้น และเขาตกลงใช้เวทมนตร์เพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนบ้านที่ไร้เวท บางคนอาจคิดว่านี่เป็นนิทานสอนใจที่เรียบง่ายและซาบซึ้ง ถ้าใครคิดแบบนั้น ก็แสดงตนว่าเป็นคนเซ่อไร้เดียงสาโดยแท้ ถ้าบอกว่าเป็นนิทานเข้าข้างพวกมักเกิ้ล แสดงให้เห็นว่าพ่อผู้รักมักเกิ้ลนั้น มีอํานาจเวทมนตร์เหนือกว่าลูกชายผู้เกลียดมักเกิ้ลล่ะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวดที่ต้นฉบับดั้งเดิมของนิทานเรื่องนี้ เหลือรอดมาได้จากเปลวเพลิงที่มันมักถูกโยนเข้าไป
บีเดิลก้าวล้ำยุคสมัยของเขามาก ด้วยการสั่งสอนให้มีความรักฉันพี่น้องกับพวกมักเกิ้ล การลงโทษประหารพ่อมดแม่มดเพิ่มจํานวนขึ้นทั่วยุโรปในต้นศตวรรษที่สิบห้า ผู้คนจํานวนมากในชุมชนผู้วิเศษรู้สึกว่า การเอื้อเฟื้อเสกคาถาให้หมูขี้โรคของเพื่อนบ้านมักเกิ้ล ก็เท่ากับอาสานําฟืนมาสุมบนเมรุเผาศพตนเอง1 ซึ่งก็นับว่ามีเหตุผล “ปล่อยพวกมักเกิ้ลกระเสือกกระสนกันไปเองโดยไม่มีพวกเรา!” เป็นคําเรียกร้อง ในขณะที่พ่อมดแม่มดถอยห่างจากพี่น้องผู้ไม่มีเวทมนตร์ออกไปทุกที ๆ จนถึงที่สุดเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายนานาชาติเรื่องความลับของพ่อมดศาสตร์ใน ค.ศ. 1689 พ่อมดแม่มดทั้งหลายก็หลบหนีลงใต้ดินโดยสมัครใจ

อย่างไรก็ตาม เด็กก็คือเด็ก หม้อกระโดดได้ที่น่าเกลียดน่าชังนี้เกาะติดจินตนาการของพวกเด็ก ๆ เสียแล้ว ทางออกก็คืออัปเปหิคําสอนที่เข้าข้างพวกมักเกิ้ลออกไปเสีย แต่เก็บหม้อขึ้นหูดนี่ไว้ ดังนั้นในกลางศตวรรษที่สิบหก จึงเกิดมีนิทานเรื่องนี้สํานวนใหม่เผยแพร่ไปกว้างขวางในหมู่ครอบครัวผู้วิเศษ ในเรื่องที่ดัดแปลงแก้ไขนี้ หม้อกระโดดได้ปกป้องพ่อมดผู้บริสุทธิ์จากเหล่าเพื่อนบ้านที่ชูคบไฟและถือสามง่าม โดยไล่พวกนั้นไปจากกระท่อมของพ่อมด ไล่จับและกลืนพวกนั้นเข้าไปในหม้อทั้งตัว ตอนท้ายของเรื่อง เมื่อหม้อกลืนกินพวกเพื่อนบ้านไปเกือบหมดแล้ว ชาวบ้านอีกไม่กี่คนที่เหลือก็สัญญากับพ่อมดว่า จะปล่อยให้เขาใช้เวทมนตร์คาถาได้อย่างสงบ เพื่อเป็นการตอบแทน พ่อมดจึงสั่งให้หม้อคืนเหยื่อทั้งหลายออกมา หม้อก็คายออกมาทีละคน ๆ จากก้นหม้อ โดยบาดเจ็บกันคนละเล็กคนละน้อย จนกระทั่งทุกวันนี้ พ่อมดแม่มดผู้เยาว์บางคนได้ยินพ่อแม่ (ซึ่งมักเป็นผู้ต่อต้านมักเกิ้ล) เล่านิทานเรื่องนี้เฉพาะสํานวนที่แก้ไขปรับปรุงแล้วเท่านั้น ถ้าหาก หรือเมื่อใด พวกเขาได้อ่านสํานวนดั้งเดิม ก็คงจะประหลาดใจอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ดังที่ผมได้แย้มบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ความรู้สึกเอนเอียงเข้าข้างมักเกิ้ลนั้นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทําให้มีคนโกรธเคือง “พ่อมดกับหม้อกระโดดได้” เมื่อการไล่ล่าพ่อมดแม่มดทวีความเหี้ยมโหดมากขึ้น ครอบครัวผู้วิเศษก็เริ่มดําเนินชีวิตแบบสองหน้า ใช้คาถาปกปิดเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัว เมื่อถึงศตวรรษที่สิบเจ็ด แม่มดหรือพ่อมดคนใดที่เลือกสนิทชิดเชื้อกับพวกมักเกิ้ล จะถูกสงสัยหรือถึงขนาดถูกขับไล่ออกจากชุมชน ในบรรดาคําดูหมิ่นมากมายที่โยนใส่พวกพ่อมดแม่มดที่เข้าข้างมักเกิ้ล (ฉายาบ๊อง ๆ เช่น “พวกกลิ้งเกลือกในโคลน” “พวกเลียมูลสัตว์” และ “พวกสอพลอกากเดน” ก็เริ่มมาจากสมัยนี้) คํากล่าวหาข้อหนึ่งก็คือ พวกนี้มีอํานาจเวทมนตร์ต่ำต้อยหรืออ่อนแอ
พ่อมดผู้มีอิทธิพลในสมัยนั้น เช่น บรูตัส มัลฟอย บรรณาธิการวารสาร ผู้วิเศษทําศึก วารสารต่อต้านพวกมักเกิ้ล ตีตราพวกรักมักเกิ้ลไปชั่วกัลปาวสานว่าเป็นผู้ที่มีอํานาจเวทมนตร์ เทียบเท่าสควิบ2 ใน ค.ศ. 1675 บรูตัสเขียนว่า
เราอาจกล่าวได้อย่างแน่นอนว่า พ่อมดคนใดที่แสดงออกว่าพอใจคบค้าสมาคมกับพวกมักเกิ้ลนั้นเป็นพ่อมดที่ปัญญาต่ำ มีอํานาจเวทมนตร์ที่อ่อนแอและน่าสมเพช จะรู้สึกว่าตนเองสูงส่งได้ ก็ต่อเมื่อล้อมรอบด้วยเหล่ามักเกิ้ลที่สกปรกมูมมามเท่านั้น ไม่มีเครื่องหมายใดที่แสดงถึงอํานาจเวทมนตร์ที่อ่อนปวกเปียก ได้ชัดเจนเท่าความอ่อนแอชอบคบค้ากับผู้ไร้เวทมนตร์
อคตินี้ในที่สุดก็สูญสิ้นไป เมื่อเผชิญกับหลักฐานท่วมท้นที่บอกว่า พ่อมดที่เก่งเป็นเลิศของโลกบางคนนั้น3 ถ้าจะใช้สํานวนพื้น ๆ ก็ต้องบอกว่า เป็น “พวกรักมักเกิ้ล”
การต่อต้าน “พ่อมดกับหม้อกระโดดได้” ประการสุดท้ายยังคงมีอยู่ในบางกลุ่มของยุคปัจจุบัน ผู้ที่สรุปความคิดนี้ได้ดีเยี่ยมน่าจะเป็น เบียทริกซ์ บล็อกซัม (1794-1910) ผู้แต่งนิทานเห็ดโทดสตูล อันมีชื่อเสียง มิสซิสบล็อกซัมเชื่อว่า นิทานของบีเดิลยอดกวีนั้นเป็นอันตรายต่อพวกเด็ก ๆ เพราะสิ่งที่เธอเรียกว่า
“ความหมกมุ่นอย่างผิดอนามัยเกี่ยวกับสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด เช่น ความตาย โรคภัยไข้เจ็บ เลือดตกยางออก เวทมนตร์ชั่วร้าย ตัวละครที่ไม่ดี และการพุพองไหลนองทางร่างกายที่น่าขยะแขยงที่สุด” มิสซิสบล็อกซัมนําเรื่องเก่าต่าง ๆ รวมทั้งนิทานของบีเดิลหลายเรื่องมาเขียนใหม่ตามอุดมคติของเธอ ซึ่งเธอบอกว่า “ใส่ความคิดที่ผาสุกและถูกอนามัยลงไปในจิตใจที่บริสุทธิ์ของเทวดาน้อย ๆ ของเรา ให้การนอนหลับอันแสนหวานของพวกเขาปราศจากความฝันอันเลวร้าย และปกป้องความไร้เดียงสาซึ่งประดุจดังดอกไม้สูงค่า”
ย่อหน้าสุดท้ายในนิทาน “พ่อมดกับหม้อกระโดดได้” ซึ่งมิสซิสบล็อกซัมเรียบเรียงขึ้นใหม่เพื่อให้บริสุทธิ์และมีค่ายิ่งนั้น มีความว่า
แล้วหม้อทองคําใบน้อยก็เริงระบําด้วยความปีติ กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า บนหัวแม่เท้าเล็กกระจิริดสีชมพู! วิลลีคินส์ร่างเล็กรักษาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทั้งหลายจากโรคปวดท้อง และหม้อน้อยมีความสุขมากจนมีขนมหวานปรากฏขึ้นเต็มเปี่ยม สําหรับวิลลีคินส์ร่างเล็กและตุ๊กตุ่นตุ๊กตา!

“แต่อย่าลืมแปรงฟันซี่น้อย ๆ ของพวกเธอด้วยนะจ๊ะ!” หม้อร้องบอก

แล้ววิลลีคินส์ร่างเล็กก็จูบและกอดหม้อกระโดดเริงร่า พร้อมสัญญาว่าจะช่วยเหล่าตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเสมอ และไม่มีวันกลับเป็นพ่อมดแก่ขี้บ่นอีกเลย

ปฏิกิริยาของพ่อมดแม่มดผู้เยาว์ต่อนิทานของมิสซิสบล็อกซัมนั้น เป็นแบบเดียวกันมาตลอดทุกยุคทุกสมัย นั่นคือโก่งคออาเจียนอย่างควบคุมไม่ได้ ติดตามด้วยคําสั่งเฉียบขาดให้เอาหนังสือไปให้พ้นมือพวกเขาโดยเร็ว และส่งไปบดให้ยุ่ย



เชิงอรรถ
QUOTE
1 เป็นความจริงแท้แน่นอนว่า แม่มดพ่อมดตัวจริงย่อมช่ำชองพอจะหนีพ้นจากเสา จากแท่นที่ประหาร และห่วงผูกคอ (ดูความเห็นของผมเกี่ยวกับลีแซต เดอ ลาแปง ในบทวิจารณ์เรื่อง แบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้) อย่างไรก็ตาม มีคนจํานวนไม่น้อยที่ตายจริง ๆ เช่น เซอร์นิโคลัส เดอ มิมซี-พอร์พิงตัน (พ่อมดในราชสํานักเมื่อมีชีวิตอยู่ และเมื่อตายไปแล้วคือผีประจําหอคอยกริฟฟินดอร์) ถูกริบไม้กายสิทธิ์ไปก่อนจะถูกนําตัวไปขังในคุกใต้ดิน จึงไม่อาจใช้เวทมนตร์หลบหนีจากการประหารได้ และครอบครัวผู้วิเศษมักจะสูญเสียสมาชิกผู้เยาว์อยู่เนือง ๆ เนื่องจากสมาชิกเหล่านี้ขาดความสามารถที่จะควบคุมเวทมนตร์ของตน ทําให้ถูกสังเกตเห็นและตกเป็นเหยื่อของพวกมักเกิ้ลนักล่าพ่อมด

2 สควิบ คือผู้ที่เกิดจากพ่อแม่ผู้วิเศษ แต่ตนเองไม่มีอํานาจเวทมนตร์ เป็นปรากฏการณ์ที่หายากมาก พ่อมดแม่มดที่เกิดจากพวกมักเกิ้ลนั้นเป็นเรื่องปกติมากกว่า

3 ดังเช่นผมเอง


รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 27 2021, 09:43 PM
โพสต์ #4


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








2
น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว




สูงขึ้นไปบนภูเขา ในสวนวิเศษที่ล้อมรอบด้วยกําแพงสูงและปกป้องด้วยเวทมนตร์กล้าแข็ง มีน้ำพุแห่งโชคดีทีเดียวไหลรินอยู่
ครั้งเดียวในแต่ละปี ในวันที่ยาวนานที่สุด ช่วงเวลาระหว่างตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน ผู้โชคร้ายคนหนึ่งจะได้รับโอกาสให้หาหนทางขึ้นไปถึงน้ำพุ จะได้สรงสนานอาบน้ำ และได้รับพรแห่งความโชคดีทีเดียวไปตลอดกาล
เมื่อถึงวันนัดหมาย คนนับร้อย ๆ เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศในอาณาจักร เพื่อมาถึงกําแพงสวนก่อนรุ่งอรุณ ทั้งชายและหญิง มั่งมีและยากจน ผู้เยาว์และผู้ชรา มีเวทมนตร์และไร้เวทมนตร์ พวกเขาชุมนุมกันอยู่ในความมืด แต่ละคนหวังว่าตนเองจะเป็นผู้ที่ได้เข้าไปในสวน
แม่มดสามคน ซึ่งต่างก็มีทุกข์โศกหนักหน่วง มาพบกันที่ชายขอบของกลุ่มคน และเล่าเรื่องเศร้าของตนให้กันฟัง ระหว่างที่คอยตะวันขึ้น
แม่มดคนแรกชื่อแอชา เธอป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่มีผู้บําบัดคนใดจะรักษาได้ เธอหวังว่าน้ำพุจะช่วยขับไล่อาการทั้งหลายให้หมดสิ้นไป และให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาวและผาสุก
แม่มดคนที่สองชื่อว่าอัลเทดา ถูกพ่อมดชั่วร้ายขโมยบ้าน ทอง และไม้กายสิทธิ์ไป เธอหวังว่าน้ำพุจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากความยากจนและสภาวะไร้พลังอํานาจ
แม่มดคนที่สามชื่ออมตา ถูกชายที่เธอรักอย่างดูดดื่มทอดทิ้ง เธอคิดว่าหัวใจของเธอคงไม่มีวันกลับคืนดีเหมือนเดิมอีกแล้ว เธอหวังว่าน้ำพุจะช่วยปลดปล่อยเธอจากทุกข์โศกและความถวิลหา
หญิงทั้งสามต่างเห็นใจซึ่งกันและกัน และตกลงว่าถ้ามีโอกาสละก็ พวกเธอจะผนึกกําลัง และพยายามไปให้ถึงน้ำพุพร้อมกันทั้งสามคน
อรุณฉายแสงแรกทาบบนท้องฟ้า และกําแพงเปิดออกมาเป็นรอยแยกเล็กกระจิด ฝูงชนโถมตัวไปข้างหน้า แต่ละคนกรีดเสียงร้องว่าตนมีสิทธิ์ได้รับพรจากน้ำพุ เถาไม้จากในสวนเลื้อยผ่านกลุ่มคนที่เบียดเสียด และบิดพันรอบตัวแอชา แม่มดคนแรก เธอฉวยข้อมืออัลเทดา แม่มดคนที่สอง ซึ่งคว้าเสื้อคลุมของอมตา แม่มดคนที่สามไว้แน่น
ส่วนอมตานั้นถูกเสื้อเกราะของอัศวินหน้าสลด ผู้นั่งอยู่บนหลังม้าผอมกะหร่องเกี่ยวเอา
เถาไม้เลื้อยดึงแม่มดทั้งสามผ่านรอยแยกบนกําแพง และอัศวินก็ถูกกระชากลงจากม้า ติดตามแม่มดเข้าไปด้วย
เสียงร้องกราดเกรี้ยวจากฝูงชนที่ผิดหวังดังสนั่นในอากาศยามเช้า แล้วเงียบสนิทเมื่อกําแพงสวนปิดลงอีกครั้ง
แอชาและอัลเทดาโกรธอมตา ผู้ซึ่งพาอัศวินเข้ามาด้วยโดยบังเอิญ
“คนเดียวเท่านั้นที่จะได้อาบน้ำพุ! แค่เราสามคนนี่ก็เลือกยากพอแล้วว่าจะเป็นใคร ไม่ต้องแถมเอาอีกคนเข้ามาด้วย!”
อัศวินผู้นี้เป็นที่รู้จักในดินแดนนอกกําแพงว่า เซอร์ลักเลสส์ผู้ไร้โชค ตอนนี้เอง เขาก็สังเกตเห็นว่าหญิงทั้งสามคือแม่มด และในเมื่ออัศวินไม่มีเวทมนตร์ ไม่เชี่ยวชาญในการแทงทวนหรือดวลดาบ และไม่มีสิ่งใดที่จะทําให้ผู้ชายธรรมดาอย่างเขาโดดเด่นขึ้นมาได้ เซอร์ลักเลสส์จึงมั่นใจว่าเขาไม่มีหวังจะไปถึงน้ำพุได้ก่อนผู้หญิงทั้งสามเลย ดังนั้นเขาจึงประกาศเจตจํานงว่าจะถอยกลับออกไปนอกกําแพงอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนั้น อมตาก็พลอยโกรธขึ้นมาด้วย
“ใจเสาะ!” เธอว่าเขา “ชักดาบออกมา อัศวิน แล้วช่วยพวกเราให้บรรลุเป้าหมาย!”
แล้วแม่มดทั้งสามและอัศวินผู้โศกสลดก็เดินหน้าบุกเข้าไปในสวนวิเศษ ณ ที่นั้น สมุนไพร ไม้ผล และไม้ดอกหายากขึ้นหนาแน่นอยู่สองข้างทางซึ่งสว่างไสวด้วยแสงแดด พวกเขาไม่พบอุปสรรคใด ๆ เลย จนกระทั่งมาถึงตีนเขาที่น้ำพุตั้งอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่เชิงเขานั้นมีหนอนยักษ์สีขาวตัวหนึ่งพันรอบอยู่ มันตัวอ้วนป่องและตาบอด เมื่อทั้งหมดเดินเข้าไปใกล้ เจ้าหนอนก็หันหน้าที่น่าเกลียดน่าชังมาหา และเอ่ยวาจาดังนี้

“ยื่นหลักฐานพิสูจน์ความทุกข์ทรมานของเจ้ามา”

เซอร์ลักเลสส์ชักดาบออกมาพยายามฆ่าสัตว์ร้ายนั้น แต่ดาบกลับหักดังเปาะ อัลเทดาขว้างก้อนหินใส่หนอน ในขณะที่แอชาและอมตาก็พยายามใช้คาถาทุกชนิดที่จะทําให้มันเชื่องหรืองงงวย แต่พลังไม้กายสิทธิ์ไม่มีผลเหนือเจ้าสัตว์นั้น ดุจเดียวกับก้อนหินของเพื่อน หรือดาบเหล็กของอัศวิน หนอนไม่ยอมให้พวกเขาผ่านไป
ตะวันลอยสูงขึ้น ๆ บนท้องฟ้า แอชาซึ่งหมดหวัง เริ่มร้องไห้ออกมา
ทันใดนั้น หนอนยักษ์ยื่นหน้ามาเหนือใบหน้าของเธอ แล้วดื่มน้ำตาที่ไหลย้อยจากแก้ม เมื่อดื่มจนสิ้นกระหายแล้ว หนอนยักษ์ก็เลื้อยไปข้าง ๆ และหายลับลงไปในรูบนพื้นดิน
แม่มดทั้งสามและอัศวินต่างก็ปีติยินดีที่หนอนหายไป พวกเขาเริ่มปีนขึ้นเขา มั่นใจว่าจะไปถึงน้ำพุได้ก่อนเที่ยง
อย่างไรก็ตาม เมื่อไต่ขึ้นเนินสูงชันไปได้เพียงครึ่งทาง ทั้งหมดก็มาพบถ้อยคําสลักไว้บนพื้นตรงหน้า

ยื่นผลพวงแห่งความเหนื่อยยากของเจ้ามา

เซอร์ลักเลสส์หยิบเหรียญอันเดียวที่มีอยู่ออกมา แล้ววางลงบนเนินเขาที่ปกคลุมด้วยหญ้า แต่เหรียญนั้นกลิ้งหายไป แม่มดทั้งสามและอัศวินปืนเขาต่อ แต่แม้ว่าจะเดินเป็นเวลาหลายชั่วโมง พวกเขาก็ไม่ได้คืบหน้าไปเลยสักก้าวเดียว ยอดเขาไม่ได้ใกล้เข้ามาเลยสักนิด และคําจารึกบนพื้นดินก็ยังคงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ทุกคนต่างก็หมดกําลังใจ เมื่อดวงตะวันลอยสูงขึ้นเหนือหัว และเริ่มคล้อยต่ำลงไปทางขอบฟ้าไกล แต่อัลเทดาเดินเร็วขึ้น แข็งขันกว่าทุก ๆ คน เธอชักชวนให้คนอื่น ๆ ทําตาม แม้จะไม่ได้คืบหน้าขึ้นไปบนเขาต้องมนตรานี้เลย
“กล้าหาญไว้ เพื่อน อย่ายอมแพ้!” เธอร้องบอก พลางปาดเหงื่อจากหน้าผาก
เมื่อหยาดเหงื่อเป็นมันวาวตกลงบนพื้นดิน คําจารึกที่กีดกั้นหนทางก็หายวับไป ทั้งหมดพบว่าสามารถไต่ขึ้นเขาไปได้อีกครั้ง
ด้วยความดีใจที่ขจัดอุปสรรคชิ้นที่สองออกไปได้ ทั้งสี่รีบรุดคืบหน้าสู่ยอดเขา รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นน้ำพุอยู่ลิบ ๆ น้ำพุเป็นประกายแพรวพราวดังแก้วเจียระไน อยู่ท่ามกลางซุ้มดอกไม้ต้นไม้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปถึงน้ำพุ ทุกคนมาถึงลําธารที่ไหลรอบยอดเขา ปิดกั้นหนทางอยู่
ก้นลําธารน้ำใสนั้นมีก้อนหินราบเรียบก้อนหนึ่งตั้งอยู่ มีคําจารึกไว้ว่า

ยื่นสมบัติในอดีตของเจ้ามา

เซอร์ลักเลสส์พยายามลอยข้ามลําธารไปโดยใช้โล่ของเขา แต่โล่จม แม่มดทั้งสามช่วยกันดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ แล้วพยายามกระโจนข้ามลําธารกันเอง แต่ลําธารไม่ปล่อยให้ใครข้ามไปได้ ในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตะวันก็จมต่ำลงเรื่อย ๆ ในท้องฟ้า
ดังนั้นพวกเขาจึงทรุดตัวนั่ง คิดใคร่ครวญถึงความหมายของคําจารึกบนก้อนหิน และอมตาเป็นคนแรกที่เข้าใจ
เธอหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา ล้วงดึงความทรงจําจากใจ ทุกนาทีแห่งความสุข ยามเมื่ออยู่กับคู่รักผู้ทอดทิ้งเธอไป เธอปล่อยมันลงในสายน้ำที่ไหลเชี่ยว
กระแสน้ำพัดพาความทรงจําจากไป และก้อนหินสําหรับเหยียบก็ผุดขึ้นมาเป็นแถว
ในที่สุด แม่มดทั้งสามและอัศวินก็ข้ามลําธารไปถึงยอดเขาได้
น้ำพุเป็นประกายเลื่อมพรายอยู่เบื้องหน้า ตั้งอยู่ท่ามกลางสมุนไพรและไม้ดอก ซึ่งหายากและงดงามยิ่งกว่าที่ทุกคนเคยเห็น ท้องฟ้าลุกแดงดุจทับทิม ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้วว่าใครจะได้อาบน้ำพุ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่พวกเขาจะตัดสินใจได้ แอชาผู้อ่อนแอก็ล้มลงบนพื้น เธอเหนื่อยอ่อนจากการบุกบั่นขึ้นมาถึงยอดเขา และจวนเจียนจะสิ้นใจ
เพื่อนทั้งสามคนจะช่วยกันหอบหิ้วเธอไปถึงน้ำพุ แต่แอชาผู้เจ็บปวดปางตายขอร้องไม่ให้ใครแตะต้องตัวเธอ
ทันใดนั้นอัลเทดารีบเร่งเก็บสมุนไพรที่เธอคิดว่าจะใช้ได้ผล ผสมมันในน้ำเต้าใส่น้ำของเซอร์ลักเลสส์ และเทน้ำยาใส่ลงในปากของแอชา
พริบตานั้นเอง แอชาก็ลุกขึ้นยืนได้ ยิ่งไปกว่านั้น อาการโรคร้ายแรงทั้งหลายของเธอหายไปหมดสิ้น
“ฉันหายแล้ว!” เธอร้อง “ฉันไม่ต้องการน้ำพุแล้ว ให้อัลเทดาไปอาบเถอะ!”
แต่อัลเทดากําลังวุ่นเก็บสมุนไพรอื่น ๆ ใส่ผ้ากันเปื้อน
“ถ้าฉันรักษาโรคนี้หายได้ ฉันจะได้ทองเยอะแยะไป! ให้อมตาอาบเถอะ!”
เซอร์ลักเลสส์โค้งคํานับ และชี้บอกอมตาให้ไปยังน้ําพุ แต่เธอส่ายศีรษะ กระแสน้ำได้พัดพาความเสียใจเรื่องคู่รักไปจากเธอจนหมดสิ้น ตอนนี้เธอเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนใจร้ายและไม่ซื่อสัตย์ และเธอควรเป็นสุขที่พ้นจากเขามาได้
“อัศวินผู้ใจดี คุณต่างหากที่ควรไปอาบน้ำพุ เป็นรางวัลสําหรับความกล้าหาญเสียสละของคุณ!” เธอบอกเซอร์ลักเลสส์
ดังนั้นอัศวินจึงเดินส่งเสียงโกร่งกร่างไปข้างหน้า ท่ามกลางแสงสุดท้ายของดวงตะวันที่กําลังจะตก และลงอาบในน้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว เขาประหลาดใจที่ตัวเองเป็นผู้ได้รับเลือกจากคนนับร้อย ๆ และมึนงงกับโชคอันเหลือเชื่อนี้
เมื่อดวงตะวันตกลับขอบฟ้า เซอร์ลักเลสส์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ความรุ่งโรจน์จากชัยชนะอาบไล้ทั่วกาย เขาทรุดร่างในเสื้อเกราะขึ้นสนิมลงคุกเข่าแทบเท้าอมตา ซึ่งเป็นหญิงผู้ใจดีและงดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ด้วยความอิ่มเอิบใจจากความสําเร็จ เขาบอกรักและขอแต่งงานกับเธอ อมตาเองก็ปีติยินดีไม่แพ้กัน เธอตระหนักว่าเธอพบชายที่มีค่าคู่ควรแล้ว
แม่มดทั้งสามและอัศวินเดินคล้องแขนลงจากเขามาพร้อมกัน คนทั้งสี่มีชีวิตยืนยาวและผาสุกยิ่งนัก และไม่มีคนใดเลยที่รู้ หรือสงสัยว่าน้ำในน้ำพุนั้นไม่ได้มีมนตราศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่หยดเดียว




ความเห็นของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เรื่อง “น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว”

“น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว” เป็นเรื่องโปรดที่ยืนยงมาก จนเมื่อมีความพยายามเพียงครั้งเดียวที่จะจัดละครใบ้ฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่ฮอกวอตส์ ผู้จัดก็เลือกเรื่องนี้มาแสดง
ศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ต เบียรี1 อาจารย์ผู้สอนวิชาสมุนไพรศาสตร์ของเราในเวลานั้น เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าและอุทิศตนให้แก่การแสดงละครสมัครเล่น เขาเสนอให้ดัดแปลงนิทานยอดนิยมนี้เป็นของขวัญเทศกาลคริสต์มาส สําหรับคณาจารย์และนักเรียนทั้งหลาย ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์หนุ่มผู้สอนวิชาแปลงร่าง เฮอร์เบิร์ตมอบหมายให้ผมมีหน้าที่จัด “สเปเชียลเอฟเฟกต์” ซึ่งรวมถึงการจัดหาน้ำพุแห่งโชคดีทีเดียวที่ทํางานได้จริง ๆ และเนินเขาขนาดเล็กปกคลุมด้วยหญ้า ซึ่งนางเอกสามคนและพระเอกหนึ่งคนของเราจะทําท่าเดินไปบนนั้น ขณะที่เนินเขาจะจมหายลงไปในเวทีช้า ๆ และลับไปจากสายตา
ผมคิดว่าผมอาจกล่าวได้โดยไม่อวดตัวเลยว่า ทั้งน้ำพุและเนินเขาของผมแสดงบทบาทที่มอบให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ แต่อนิจจา คํากล่าวนี้ไม่อาจใช้ได้กับนักแสดงที่เหลือ หากไม่นับการแสดงผาดโผนของ “หนอน” ยักษ์ที่ศาสตราจารย์ซิลแวนัส เคทเทิลเบิร์น อาจารย์ผู้สอนวิชาการดูแลสัตว์วิเศษ จัดหามาให้ องค์ประกอบที่เป็นมนุษย์นี่แหละที่ทําให้การแสดงวินาศย่อยยับ ศาสตราจารย์เบียรี ในฐานะผู้กํากับการแสดง ไม่ได้รับรู้อันตรายเลยแม้แต่น้อย ว่ามีความอลหม่านด้านอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ใต้จมูกของเขาแท้ ๆ เขาไม่รู้สักนิดว่านักเรียนที่เล่นเป็นอมตาและเซอร์ลักเลสส์นั้นเป็นแฟนกันอยู่ จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงก่อนม่านจะเปิด ซึ่งตอนนั้น “เซอร์ลักเลสส์ อัศวินไร้โชค” ได้โอนย้ายความรักใคร่ไปให้ “แอชา” เสียแล้ว
เท่านี้ก็คงพอบอกได้ว่านักค้นหาน้ำพุแห่งโชคดีทีเดียวของเราไปไม่ถึงยอดเขา ม่านเพิ่งชักเปิดได้ไม่เท่าไร “หนอน” ของศาสตราจารย์เคทเทิลเบิร์น (ซึ่งบัดนี้เปิดเผยแล้วว่าคือตัวแอชวินเดอร์2 ซึ่งถูกเสกด้วยคาถาขยายตัว) ก็เกิดระเบิดออกมา ประกายไฟร้อนแรงโปรยปรายพร้อมด้วยผงธุลี ทําให้ห้องโถงใหญ่ตลบอบอวลด้วยควันและเศษเล็กเศษน้อยของฉากละคร ระหว่างที่ไข่ไฟขนาดมหึมาที่แอชวินเดอร์วางไว้ตรงเชิงเขาของผมลุกไหม้พื้นเวที “อมตา” และ “แอชา” ก็กระโจนเข้าใส่กัน สู้ตัวต่อตัวอย่างดุเดือดจนศาสตราจารย์เบียรีหลุดเข้าไปในวงด้วย คณาจารย์ต้องเคลื่อนย้ายนักเรียนออกไปจากห้องโถง เมื่อเพลิงนรกซึ่งขณะนั้นลุกโชติช่วงบนเวที มีทีท่าว่าจะลามไหม้ไปทั่วทั้งห้องโถง การแสดงเพื่อความบันเทิงคืนนั้นยุติลงด้วยคนบาดเจ็บเต็มแน่นห้องพยาบาล กว่ากลิ่นไม้ไหม้ไฟจะหมดไปจากห้องโถงใหญ่ก็อีกหลายเดือนต่อมา และนานกว่านั้นอีกกว่าศีรษะของศาสตราจารย์เบียรีจะกลับคืนสู่ขนาดปกติ และศาสตราจารย์เคทเทิลเบิร์นจะพ้นจากการถูกคุมประพฤติ3 อาจารย์ใหญ่ อาร์มันโด ดิพพิต สั่งห้ามแสดงละครใบ้เด็ดขาดตลอดไป เป็นธรรมเนียมต่อต้านการแสดงละครที่ฮอกวอตส์ภูมิใจมากและคงรักษาไว้จนตราบทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รวมการแสดงละครที่อลหม่านของเรา “น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว” ก็น่าจะเป็นนิทานของบีเดิลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กระนั้น เรื่องนี้ก็มีผู้ต่อต้านด้วยเช่นเดียวกับเรื่อง “พ่อมดกับหม้อกระโดดได้” ผู้ปกครองมากกว่าหนึ่งรายเรียกร้องให้ย้ายนิทานเรื่องนี้ออกไปจากห้องสมุดฮอกวอตส์ และโดยบังเอิญแท้ ๆ นี่รวมถึงคุณลูเซียส มัลฟอย ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจาก บรูตัส มัลฟอย และครั้งหนึ่งเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการโรงเรียนฮอกวอตส์ด้วย คุณมัลฟอยแจ้งความประสงค์ที่จะให้ห้ามเรื่องนี้มาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า
งานเขียนเรื่องอ่านเล่นหรือเรื่องจริงใด ๆ ก็ตาม ที่กล่าวถึงการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพ่อมดแม่มด และพวกมักเกิ้ลสมควรเอาออกไปจากชั้นหนังสือของฮอกวอตส์ ผมไม่ต้องการให้ลูกชายของผม ถูกชักนําไปสู่การทําให้สายเลือดบริสุทธิ์ของเขาต้องมลทิน จากการอ่านเรื่องที่ส่งเสริมการแต่งงานระหว่างผู้วิเศษและมักเกิ้ล
ผมปฏิเสธที่จะย้ายหนังสือออกจากห้องสมุด ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการโรงเรียนส่วนใหญ่ ผมเขียนตอบคุณมัลฟอย อธิบายการตัดสินใจของผมว่า
ครอบครัวที่ถือตัวว่าเป็นเลือดบริสุทธิ์นั้น รักษาความบริสุทธิ์ที่อ้างด้วยการไม่ยอมรับ ขับไล่ หรือโกหกเกี่ยวกับมักเกิ้ลหรือพวกที่เกิดจากมักเกิ้ลในสาแหรกตระกูลของตน พวกนี้ยังพยายามยัดเยียดความปากว่าตาขยิบของตนให้พวกเราที่เหลือ ด้วยการห้ามเราเผยแพร่งานเขียนที่บอกความจริงซึ่งพวกเขาไม่ยอมรับ ไม่มีแม่มดหรือพ่อมดคนใดที่มีชีวิตอยู่ ที่เลือดไม่ได้ผสมผสานด้วยเลือดของพวกมักเกิ้ล ดังนั้น ผมเห็นว่าเป็นการไร้เหตุผลและผิดศีลธรรม ที่จะ เคลื่อนย้ายงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปจากคลังความรู้ของนักเรียนของเรา4
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์อันยาวนานของคุณมัลฟอย ที่จะให้ผมพ้นจากตําแหน่งอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ และการรณรงค์ของผมเอง ที่จะให้เขาพ้นจากตําแหน่งผู้เสพความตายคนโปรดของลอร์ดโวลเดอมอร์



เชิงอรรถ
QUOTE
1 ท้ายที่สุดศาสตราจารย์เบียรีย้ายจากฮอกวอตส์ไปสอนที่ ว.ศ.ล.ผ. (วิทยาลัยศิลปะ การละครของผู้วิเศษ) เขาสารภาพกับผมครั้งหนึ่งว่า แม้อยู่ที่นั่น เขาก็ยังรังเกียจที่จะจัดแสดงละครเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าทําให้โชคร้าย

2 ดูหนังสือ สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ เพื่ออ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์น่าสนใจตัวนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะจงใจนํามาอยู่ในห้องที่ผนังกรุด้วยแผ่นไม้ และไม่ควรเสกคาถาขยายตัวใส่มันด้วย

3 ศาสตราจารย์เคทเทิลเบิร์น ผ่านการถูกคุมประพฤติไม่น้อยกว่าหกสิบสองครั้ง ตลอดเวลาที่เขาทํางานเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาการดูแลสัตว์วิเศษ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศาสตราจารย์ดิพพิต อาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ก่อนหน้าผมนั้น ตึงเครียดอยู่เสมอ ศาสตราจารย์ดิพพิตคิดว่าเขาบ้าระห่ำไม่ยั้งคิด อย่างไรก็ตาม เมื่อผมเป็นอาจารย์ใหญ่ ศาสตราจารย์เคทเทิลเบิร์นสุขุมขึ้นมาก ทว่าคนที่ชอบคิดในทางเยาะเย้ยกลับแสดงความเห็นว่า ในเมื่อเขาเหลือแขนขาแค่หนึ่งเศษหนึ่งส่วนสองของที่มีอยู่ดั้งเดิม เขาก็จําต้องดําเนินชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมมากขึ้นนะสิ

4 จดหมายตอบของผมทําให้มีจดหมายอีกหลายฉบับตามติดมาจากคุณมัลฟอย แต่เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นถ้อยคําประณามสภาพจิตของผม ตลอดจนถึงพ่อแม่และสุขอนามัยของผมเอง จดหมายเหล่านั้นจึงห่างไกลจากประเด็นที่เรากําลังพูดในบทวิจารณ์นี้


รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 27 2021, 10:57 PM
โพสต์ #5


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








3
หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ




ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้วิเศษหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งหล่อเหลา ร่ำรวย และเก่งกาจ เขาสังเกตว่าเพื่อนฝูงพากันทําตัวโง่เขลาเมื่อตกหลุมรัก ทั้งกระโดดโลดเต้นและบรรจงแต่งตัว กินข้าวปลาไม่ลงและสูญเสียความสง่าภูมิฐาน ผู้วิเศษหนุ่มตั้งใจแน่วแน่ว่า เขาจะไม่มีวันตกเป็นเหยื่อของความอ่อนแอนี้ จึงใช้เวทมนตร์ศาสตร์มืดมาทําให้มั่นใจว่าเขาจะต้านทานเรื่องนี้ได้ตลอดไป
ครอบครัวของผู้วิเศษไม่ล่วงรู้ความลับของเขา จึงมักหัวเราะเมื่อเห็นเขาทําท่าเย็นชาและเหินห่าง
“เดี๋ยวก็เปลี่ยน” ทุกคนทํานาย “ถ้าเกิดติดใจสาวสักคน!”
แต่ผู้วิเศษหนุ่มไม่ได้ติดใจสาวคนใดเลย แม้ว่าจะมีสาวโสดมากมายที่ทึ่งในท่าทางหยิ่งยโสของเขา และใช้มารยาหญิงซับซ้อนล่อใจ แต่ไม่มีใครเข้าใกล้หัวใจของเขาได้เลย ผู้วิเศษปลาบปลื้มกับความเป็นเฉยของตน และความหลักแหลมที่ก่อให้ เกิดอารมณ์ดังกล่าว
ความสดชื่นของวัยหนุ่มเคลื่อนผ่านไป เพื่อนฝูงของผู้วิเศษเริ่มแต่งงานแล้วมีลูกเต้า
“หัวใจพวกเขาต้องมีเปลือกแข็งหุ้มอยู่แน่ ๆ” เขาคิดอย่างเย้ยหยัน เมื่อสังเกตท่าทางวุ่นวายพิลึกพิลั่นของพ่อแม่วัยหนุ่มสาวรอบตัว “แล้วตอนนี้ก็เหี่ยวย่นเพราะคําเรียกร้องของลูก ๆ ที่กระจองอแง!”
และอีกครั้งหนึ่ง เขาแสดงความยินดีกับตนเองที่ได้เลือกอย่างฉลาดเฉลียวไปก่อนหน้านี้
เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควร พ่อแม่ผู้ชราของผู้วิเศษก็ตายจากไป ลูกชายไม่ได้ร่ำไห้อาลัยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเห็นว่าเขานั้นช่างโชคดีแท้ ๆ ที่พ่อแม่ตายไปเสียได้ บัดนี้เขาได้ครอบครองปราสาทของพ่อแม่ตามลําพัง เขาขนย้ายสมบัติที่มี ค่าที่สุดไปเก็บไว้ในคุกใต้ดินที่ลึกที่สุด แล้วปล่อยตัวให้สําเริงสําราญกับชีวิตที่สมบูรณ์และไร้กังวล คนรับใช้จํานวนมากมาย มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือดูแลปรนนิบัติให้เขาสะดวกสบาย
ผู้วิเศษเชื่อว่าทุกคนจะต้องอิจฉาริษยาเขาอย่างยิ่งยวด เมื่อได้เห็นว่าเขาอยู่ตามลําพังอย่างสุขสําราญไร้คนรบกวน ดังนั้นเขาจึงโกรธและผิดหวังยิ่งนัก เมื่อวันหนึ่ง บังเอิญได้ยินคนรับใช้สองคนนินทาเจ้านาย
คนรับใช้คนแรกแสดงความเวทนาผู้วิเศษ ที่ถึงจะมีอํานาจวาสนาและสมบัติพัสถานมากมาย แต่กลับไม่มีใครรัก
แต่เพื่อนคู่หูนั้นหัวเราะเยาะ ถามว่า ทําไมผู้ชายที่มีทองคํามากมายและปราสาทใหญ่โตราวกับวัง ถึงไม่อาจหาภรรยาได้สักคน
คําพูดของคนรับใช้ทั้งสองกระทบความเย่อหยิ่งของผู้วิเศษ ที่แอบฟังอยู่อย่างรุนแรง
เขาคิดทันทีว่าต้องหาภรรยาให้ได้ และเธอต้องเป็นภรรยาที่สูงส่ง เหนือกว่าภรรยาของผู้อื่นทั้งหมด เธอต้องมีความงามที่น่าพิศวง ต้องทําให้ชายทุกคนที่เห็นรู้สึกริษยาและปรารถนา เธอต้องมาจากตระกูลผู้วิเศษที่ดีเยี่ยม เพื่อว่าลูกของพวกเขาจะได้สืบทอดพรสวรรค์เลอเลิศ และเธอต้องมีทรัพย์สมบัติที่เทียบเท่าเขาด้วย เพื่อว่าความเป็นอยู่ที่สุขสบายของเขาจะได้ไม่แปรเปลี่ยน แม้ว่าจะมีคนมาเพิ่มในครัวเรือน
ผู้วิเศษน่าจะต้องใช้เวลาสักห้าสิบปี ถึงจะหาผู้หญิงที่ตรงกับความต้องการนี้ได้ แต่บังเอิญเหลือเกิน ในวันถัดมา หลังจากที่เขาตกลงจะหาภรรยา สาวโสดผู้หนึ่งที่ตรงกับความประสงค์ของเขาทุกประการ ก็มาเยี่ยมญาติพี่น้องของเธอในละแวกใกล้เคียง
เธอเป็นแม่มดที่มีความเชี่ยวชาญล้นเหลือ ทั้งมีทองคํามากมาย ความงามของเธอกระตุกหัวใจชายทุกคนที่ทอดสายตามอง ใช่แล้ว ทุกคน ยกเว้นอยู่คนเดียว หัวใจของผู้วิเศษไม่ได้รู้สึกอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เธอคือของรางวัลที่เขาใฝ่หา ดังนั้น เขาจึงเริ่มไปติดพันเธอ
ทุกคนที่สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้วิเศษต่างก็ประหลาดใจ และบอกสาวงามว่าเธอทําสําเร็จ ในขณะที่สาวนับร้อย ๆ ล้มเหลว
หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกชื่นชมระคนรังเกียจความเอาใจใส่ของผู้วิเศษ เธอสัมผัสความเย็นชาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคําเยินยออันเร่าร้อนของเขา เธอไม่เคยพบชายใดที่ทั้งแปลกและเหินห่างมากเช่นนี้ กระนั้น ญาติ ๆ ของเธอเห็นว่าทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุด และกระตือรือร้นที่จะจับคู่ให้ได้ จึงยอมรับคําเชิญของผู้วิเศษ ที่จัดงานเลี้ยงรับรองใหญ่โตเพื่อเป็นเกียรติแก่สาวงามผู้นี้
โต๊ะอาหารเต็มเพียบไปด้วยเครื่องถ้วยชามเงินและทอง บรรจุเหล้าองุ่นชั้นเลิศและอาหารที่หรูหราฟุ่มเฟือยที่สุด นักร้องนักดนตรีดีดสายไหมบนพิณน้ำเต้า แล้วร้องพรรณนาถึงความรักที่เจ้านายของพวกเขาไม่เคยรู้สึก สาวงามนั่งบนบัลลังก์เคียงข้างผู้วิเศษ เขาพูดกับเธอเบา ๆ ด้วยถ้อยคําอันอ่อนโยนที่ขโมยมาจากบรรดากวี โดยไม่รู้สักนิดถึงความหมายที่แท้จริง
สาวงามฟังด้วยความฉงน แล้วในที่สุดเธอก็ตอบว่า “ท่านพูดได้ไพเราะมาก ผู้วิเศษ และฉันคงจะปลาบปลื้มที่ท่านสนใจฉัน ถ้าเพียงแต่ฉันคิดว่าท่านมีหัวใจ!”
ผู้วิเศษยิ้ม และบอกเธอว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น เขาขอให้เธอเดินตามเขาไป นําเธอออกไปจากงานเลี้ยง ลงไปสู่คุกใต้ดิน ที่ลั่นกุญแจ ที่ซึ่งเขาเก็บสมบัติล้ำค่าที่สุดไว้
ณ ที่นั้นเอง ในโลงแก้วเจียระไนที่เสกมนตรา หัวใจของ ผู้วิเศษเต้นตุบ ๆ อยู่
นับตั้งแต่ถูกแยกขาดจากตา หู และนิ้ว มาเป็นเวลานาน หัวใจไม่เคยได้เห็นความงาม หรือได้ยินเสียงไพเราะ หรือได้สัมผัสผิวที่นุ่มเนียนดังไหม สาวงามหวาดผวาเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะหัวใจได้เหี่ยวหดลง และมีขนดํายาวปกคลุมไปทั่ว
“โอ้ ท่านทําอะไรลงไปนี่” เธอคร่ำครวญ “ใส่มันกลับเข้าที่ของมันเถิด ฉันขอร้อง!”
ผู้วิเศษรู้ว่าจําเป็นต้องทําเพื่อให้เธอพอใจ เขาจึงชักไม้กายสิทธิ์ออกมา เปิดโลงแก้ว กรีดผ่าหน้าอกตนเอง และใส่หัวใจขึ้นขนนั้นกลับเข้าไปในช่องว่างที่ครั้งหนึ่งมันเคยครอบครอง
“ทีนี้ท่านก็หายดีแล้ว และจะได้รู้จักความรักที่แท้จริง!” หญิงสาวร้องบอก แล้วเธอก็โอบกอดเขา
สัมผัสจากวงแขนขาวผ่องนุ่มนวลของเธอ เสียงหายใจของเธอที่ใบหูของเขา กลิ่นหอมจากเรือนผมหนาสีทอง ทั้งหมดนี้ประหนึ่งคมหอกกรีดแทงหัวใจที่เพิ่งตื่นขึ้น แต่หัวใจนั้นผิดแปลกไปเสียแล้ว ระหว่างเวลาอันยาวนานที่มันถูกเนรเทศ หัวใจมืดบอด และป่าเถื่อนในความมืดที่มันถูกกักขัง ความกระหายของมันเติบโตแก่กล้าและวิปริต
แขกเหรื่อในงานเลี้ยงสังเกตว่าเจ้าภาพและสาวงามหายไป ตอนแรกพวกเขาไม่เดือดร้อน แต่ก็เริ่มกระวนกระวายเมื่อ เวลาผ่านไปนานขึ้น และในที่สุดก็ออกค้นหาทั่วปราสาท
พวกเขาเจอคุกใต้ดิน และภาพที่น่าสยดสยองที่สุดคอยอยู่ที่นั่น
สาวงามนอนตายอยู่บนพื้น หน้าอกถูกแหวะออก ผู้วิเศษผู้บ้าคลั่งหมอบอยู่เคียงข้างเธอ มือเปื้อนเลือดข้างหนึ่งถือหัวใจดวงโต ผิวเรียบ สีแดงสดใสเป็นมันวาว เขาเลียและลูบไล้หัวใจนั้น สาบานว่าจะเปลี่ยนมันแทนหัวใจของเขาเอง
มืออีกข้างของเขาถือไม้กายสิทธิ์ พยายามเกลี้ยกล่อมหัวใจหดเที่ยวและมีขนหนาให้ออกมาจากหน้าอก แต่หัวใจขึ้นขนนั้นมีพลังกล้าแข็งกว่าเขา มันปฏิเสธที่จะคืนอํานาจควบคุมเหนือประสาททั้งหลาย หรือกลับไปอยู่ในโลงที่ถูกจําขังมาเป็นเวลานาน
ต่อหน้าต่อตาบรรดาแขกที่หวาดกลัว ผู้วิเศษเขวี้ยงไม้กายสิทธิ์ทิ้งไป คว้ามีดสั้นเงินมาแทน สาบานว่าไม่มีวันยอมให้หัวใจมาเป็นนาย เขาเฉือนมันออกมาจากหน้าอก
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้วิเศษคุกเข่าอย่างมีชัย กําหัวใจไว้ในมือแต่ละข้าง และแล้วเขาก็ล้มลงบนร่างของสาวงาม และขาดใจตาย




ความเห็นของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เรื่อง “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ”

ดังที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว นิทานสองเรื่องแรกของบีเดิลถูกวิจารณ์มากเรื่องโครงเรื่องที่เน้นความเอื้อเฟื้อ ขันติธรรม และความรัก อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่ามีการแก้ไขดัดแปลงหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” เลยตลอดหลาย ร้อยปี นับแต่มีการแต่งเรื่องนี้ขึ้น เรื่องที่ผมได้อ่านจากต้นฉบับอักษรรูน ก็ตรงกับเรื่องที่แม่ของผมเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด จะว่าไปแล้ว “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” เป็นของขวัญจากบีเดิลที่น่าขนลุกขนพองที่สุด ผู้ปกครองจํานวนมากไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ฟัง จนกว่าจะแน่ใจว่าลูก ๆ โตพอที่จะไม่ฝันร้าย1
ถ้าเช่นนั้น ทําไมเรื่องสยองขวัญเรื่องนี้ถึงรอดมาได้ล่ะ ผมขอเสนอประเด็นว่า “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” รอดพ้นการแก้ไขมาได้ตลอดหลายร้อยปี ก็เพราะว่ามันตอบสนองความรู้สึกลึกล้ำดํามืดที่สุดในตัวพวกเราทุกคน มันกล่าวถึงความเย้ายวนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเวทมนตร์ และที่ถูกพูดถึงน้อยที่สุดด้วย นั่นก็คือ การค้นหาความแข็งแกร่งไร้จุดอ่อน
แน่นอน การค้นหาดังกล่าวเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันอันโง่เขลา ไม่มีชายใดหรือหญิงใดที่มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้มีเวทมนตร์หรือไม่ก็ตาม จะหลบหนีจากการบาดเจ็บแบบใดแบบหนึ่งไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางใจ หรือทางอารมณ์ การเจ็บปวดแสดงถึงความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับการหายใจ กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเราเหล่าพ่อมดแม่มดมักจะเชื่อเรื่อยไปว่า เราสามารถโน้มดัดสภาวะตามธรรมชาตินี้ให้เป็นไปดังใจเราได้ ดังเช่นผู้วิเศษหนุ่ม2 ในนิทานเรื่องนี้ ตัดสินใจว่าการตกหลุมรักจะมีผลเสียต่อความสะดวกสบายและความมั่นคงของเขา เขามองความรักว่าเป็นสิ่งที่น่าละอาย เป็นความอ่อนแอ เป็นสิ่งที่บั่นทอนทรัพยากรทั้งด้านอารมณ์และวัตถุ
แน่นอน การซื้อขายยาเสน่ห์ต่าง ๆ ที่มีมาหลายศตวรรษ แสดงให้เห็นว่าพ่อมดในนิทานเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ค้นหาวิธีควบคุมเส้นทางแห่งความรักที่ไม่อาจทํานายได้ การแสวงหายาเสน่ห์ที่แท้จริงนั้น3 ยังคงดําเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่เคยมีใครประดิษฐ์น้ำยาทิพย์เช่นนั้นได้ และนักปรุงยาผู้บุกเบิกชั้นนําทั้งหลายต่างก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ละหรือ
อย่างไรก็ตาม ตัวเอกในนิทานเรื่องนี้ ไม่สนใจกระทั่งสารเปลี่ยนแปลงความรัก ซึ่งจะทําให้เขาสามารถสร้างหรือทําลายความรักได้ดังใจ ที่เขาต้องการก็คือ ไม่ให้ตนเองติดเชื้อจากสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นโรคร้ายอย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงได้กระทําเวทมนตร์ ฝ่ายมืดที่ไม่อาจเป็นไปได้นอกหนังสือนิทาน เขากักขังหัวใจของตนเองไว้นอกร่าง
นักเขียนหลายคนสังเกตถึงความคล้ายคลึงของพฤติกรรมนี้กับการสร้างฮอร์ครักซ์ อย่างไรก็ตาม ตัวเอกของบีเดิลไม่ได้ต้องการหลีกหนีความตาย ที่เขาทําคือแบ่งแยกสิ่งที่เห็นชัด ๆ ว่าไม่ควรแบ่งแยก นั่นคือร่างกายและหัวใจ ไม่ใช่วิญญาณ และเมื่อทําเช่นนั้น เขาก็ทําผิดกฎข้อแรกในกฎเวทมนตร์พื้นฐานของอดัลเบิร์ต วาฟฟลิง ที่กล่าวไว้ว่า
เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปริศนาที่ลึกลับที่สุด คือแหล่งกําเนิดชีวิตและแก่นของอัตตาได้ ก็ต่อเมื่อพร้อมรับผลที่รุนแรงผิดธรรมชาติและอันตรายที่สุด
และแน่นอนทีเดียว ในขณะที่แสวงหาหนทางกลายเป็นคนเหนือมนุษย์ หนุ่มน้อยบ้าระห่ำผู้นี้ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นอมนุษย์ หัวใจที่เขาเอาไปกักขังนั้นหดเหี่ยวลงอย่างช้า ๆ และงอกขนออกมา เป็นสัญลักษณ์ของการตกต่ำลงสู่ความเป็นสัตว์ ท้ายที่สุดเขาก็ลดตัวลงเป็นสัตว์ดุร้าย ใช้กําลังแย่งทุกอย่างที่ต้องการมา เขาตายขณะพยายามอย่างไร้ผลที่จะเอาสิ่งหนึ่งกลับคืนมา สิ่งที่บัดนี้ได้จากไปไกลเกินเอื้อม นั่นก็คือหัวใจมนุษย์
แม้ว่าจะค่อนข้างล้าสมัยไปหน่อย แต่สํานวนที่ว่า “มีหัวใจขึ้นขน” นั้น ได้ส่งทอดต่อมาในภาษาพูดของพ่อมดแม่มด หมายถึงแม่มดหรือพ่อมดที่เย็นชาหรือไร้ความรู้สึก คุณป้าออโนเรียของผมผู้เป็นสาวโสดกล่าวอ้างเสมอว่า ป้าถอนหมั้นพ่อมดที่ทํางานในกองตรวจสอบการใช้เวทมนตร์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็เพราะป้าพบความจริงทันเวลาว่า “เขามีหัวใจขึ้นขน” (อย่างไรก็ตาม ลือกันว่าอันที่จริงป้าเจอเขากําลังลูบ ๆ คลํา ๆ ตัวฮอร์กลัมป์4 ต่างหาก ซึ่งป้าเห็นว่าน่าตกใจยิ่งนัก)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ หนังสือแนวพัฒนาตนเองชื่อ หัวใจขึ้นขน: คําแนะนําสําหรับพ่อมดที่ไม่ยอมผูกมัด5 ปรากฏว่าขายดิบขายดีติดอันดับเลยทีเดียว



เชิงอรรถ
QUOTE
1 จากบันทึกประจําวันของเบียทริกซ์ บล็อกซัม เธอไม่เคยกลับเป็นเหมือนเดิมอีกเลย นับจากแอบได้ยินป้าเล่าเรื่องนี้ให้ญาติผู้พี่ของเธอฟัง “เป็นอุบัติเหตุแท้ ๆ ที่หูน้อย ๆ ของฉันไปแนบอยู่ที่รูกุญแจ ฉันรู้แต่ว่าตัวเองคงแข็งเป็นหินไปด้วยความสยดสยอง เพราะฉันได้ยินเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจฟังเลย นี่ยังไม่พูดถึงรายละเอียดเรื่องอื้อฉาวอันลามกและร้ายกาจของลุงน็อบบี กับยายแก่แร้งทึ้งประจําหมู่บ้าน และถุงหัวกระโดดโลดเต้นหนึ่งถุง ความตกใจแทบจะฆ่าฉันเสียแล้ว ฉันนอนซมอยู่บนเตียงตั้งหนึ่งสัปดาห์ และเสียขวัญอย่างรุนแรงจนเกิดนิสัยเดินละเมอ กลับไปที่รูกุญแจเดิมนั้นทุก ๆ คืน จนกระทั่งในที่สุด คุณพ่อที่รักของฉัน ซึ่งไม่คิดอะไรอื่นนอกจากห่วงใยฉันเพียงอย่างเดียว จัดการเสกคาถาติดแน่นใส่ประตูห้องฉันเมื่อถึงเวลาเข้านอน” ดูเหมือนเบียทริกซ์ไม่อาจหาหนทางใด ๆ ที่จะทําให้ “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” เหมาะสมกับหูอันละเอียดอ่อนของพวกเด็ก ๆ ได้ เพราะเธอไม่เคยนําเรื่องนี้มาเขียนใหม่ในนิทานเห็ดโทดสตูลของเธอ

2 คําว่า “ผู้วิเศษ” นี้เป็นคําที่เก่าแก่มาก แม้ว่าบ่อยครั้งจะใช้สลับกับคําว่า “พ่อมด” แต่แรกเริ่มนั้น คํานี้ใช้เรียกผู้ที่ร่ำเรียนการสู้ตัวต่อตัวและเวทมนตร์การรบทุกอย่าง รวมทั้งเป็นตําแหน่งที่ให้แก่พ่อมดผู้แสดงฝีมืออันกล้าหาญด้วย เช่นเดียวกับพวกมักเกิ้ลบางคนที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน เนื่องจากการกระทําที่ห้าวหาญ เมื่อบีเดิลเรียกพ่อมดหนุ่มในเรื่องนี้ว่า ผู้วิเศษ เขาระบุว่าพ่อมดผู้นี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านเวทมนตร์ต่อสู้ ในปัจจุบัน พ่อมดแม่มดใช้คําว่า “ผู้วิเศษ” ในสองกรณีด้วยกัน คือเพื่อบรรยายถึงพ่อมดที่มีรูปลักษณ์น่าเกรงขามมากเป็นพิเศษ หรือเป็นตําแหน่งบอกให้รู้ว่ามีความเชี่ยวชาญหรือความสามารถบางเรื่อง ดังเช่น ดัมเบิลดอร์เอง เป็นหัวหน้าผู้วิเศษแห่งสภาวิเซ็นกาม็อต

3 เฮกเตอร์ แด็กเวิร์ธ-เกรนเจอร์ ผู้ก่อตั้งสมาคมพิเศษสุดของนักปรุงยาผู้บุกเบิก อธิบายว่า “นักปรุงยาผู้บุกเบิกที่เชี่ยวชาญสามารถก่อให้เกิดความลุ่มหลงอย่างรุนแรงขึ้นได้ แต่กระนั้น ยังไม่เคยมีใครเลยที่สามารถสร้างความผูกพันที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นอมตะ และไม่แตกสลาย ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สมควรเรียกว่าความรัก”

4 ฮอร์กลัมป์ เป็นสัตว์สีชมพู รูปร่างคล้ายเห็ด มีขนแข็งพองทั่วตัว ยากที่จะเข้าใจว่าทําไมถึงมีคนอยากลูบคลํามัน ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดอ่าน สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่

5 อย่าสับสนกับหนังสือเรื่อง จมูกขึ้นขนแต่หัวใจเป็นคน เรื่องราวรันทดใจของชายหนุ่ม ผู้ต่อสู้กับคําสาปที่ทําให้เขากลายเป็นมนุษย์หมาป่า


รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 28 2021, 12:32 AM
โพสต์ #6


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








4
แบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีพระราชาผู้โง่เขลาองค์หนึ่ง ทรงตัดสินพระทัยว่า พระองค์เท่านั้น ที่ควรมีอํานาจเวทมนตร์
ดังนั้นพระราชาจึงสั่งให้แม่ทัพจัดตั้งกองพลล่าแม่มดขึ้น มา และมอบหมาล่าเนื้อสีดําดุร้ายให้ฝูงหนึ่ง ในขณะเดียวกันพระราชาให้ป่าวประกาศไปทุกเมืองและหมู่บ้านทั่วอาณาจักรว่า “พระราชาต้องการครูสอนวิชาเวทมนตร์”
ไม่มีแม่มดหรือพ่อมดคนใดกล้าอาสามารับตําแหน่งนี้ เพราะทุกคนต่างก็หลบซ่อนจากกองพลล่าแม่มด
อย่างไรก็ตาม นักต้มตุ๋นเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ผู้ไม่มีอํานาจเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย เห็นช่องที่จะทําให้ตนเองร่ำรวย เขาเดินทางมาที่พระราชวัง อวดอ้างว่าตนเป็นพ่อมดที่เชี่ยวชาญยิ่งนัก นักต้มตุ๋นแสดงมายากลง่าย ๆ ทําให้พระราชาผู้โง่เขลาหลงเชื่อในอํานาจเวทมนตร์ของเขา และแต่งตั้งเขาดํารงตําแหน่งผู้วิเศษผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ครูสอนเวทมนตร์ส่วนพระองค์ของพระราชา
นักต้มตุ๋นขอทองถุงใหญ่จากพระราชา เพื่อไปซื้อไม้กายสิทธิ์และของใช้เวทมนตร์ต่าง ๆ ที่จําเป็น นอกจากนั้น เขายังขอทับทิมเม็ดใหญ่ ๆ อีกหลายเม็ด บอกว่าจะเอาไปใช้เสกคาถาบําบัดโรคต่าง ๆ และถ้วยเงินอีกใบสองใบ สําหรับบ่มน้ำยา พระราชาผู้โง่เขลาก็ประทานให้ทุกอย่าง
นักต้มตุ๋นเก็บสมบัติไว้ในบ้านของตนอย่างปลอดภัย แล้วกลับไปในเขตวัง
เขาไม่รู้เลยว่าหญิงชราที่อาศัยอยู่ในกระต๊อบโกโรโกโส ริมวังแอบดูเขาอยู่ นางมีชื่อว่าแบ๊บบิตตี้ เป็นหญิงซักผ้าผู้ดูแลให้ผ้าปูที่นอนในวังนี้อ่อนนุ่ม หอม และขาวสะอาดเสมอ แบ๊บบิตตี้แอบดูหลังผ้าปูที่นอนที่ตากแดดไว้ นางเห็นนักต้มตุ๋นหักกิ่งไม้สองกิ่งจากต้นไม้ของหลวง แล้วหายเข้าไปในพระราชวัง
นักต้มตุ๋นถวายกิ่งไม้กิ่งหนึ่งแด่พระราชา บอกว่านี่เป็นไม้กายสิทธิ์ที่มีพลังอํานาจมหาศาล
“แต่ทว่ามันจะทํางาน” นักต้มตุ๋นพูด “ก็ต่อเมื่อพระองค์มี ค่าคู่ควรกับไม้”
ทุกเช้า นักต้มตุ๋นและพระราชาผู้โง่เขลาจะเดินออกไปที่ สนามในวัง โบกไม้กายสิทธิ์และตะโกนถ้อยคําไร้สาระขึ้นฟ้า นักต้มตุ๋นไม่ประมาท เขาแสดงมายากลเพิ่มอีกหลายอย่าง เพื่อให้พระราชายังคงเลื่อมใสในความเชี่ยวชาญของผู้วิเศษผู้ยิ่งใหญ่ รวมทั้งพลังอํานาจของไม้กายสิทธิ์ที่ต้องใช้ทองมากมายไปซื้อมา
เช้าวันหนึ่ง ระหว่างที่นักต้มตุ๋นและพระราชาผู้โง่เขลากําลังตวัดไม้กายสิทธิ์ และกระโดดโลดเต้นเป็นวงกลม สวดท่องคําคล้องจองที่ไร้สาระ เสียงหัวเราะก๊าก ๆ ก็ดังมาถึงหูพระราชา แบ๊บบิตตี้หญิงซักผ้า กําลังเฝ้าดูพระราชาและนักต้มตุ๋น จากหน้าต่างกระต๊อบหลังเล็กกระจิริดของนาง และหัวเราะเสียยกใหญ่จนหมดแรงยืน ล้มลงหายลับไปจากสายตา
“ฉันต้องดูทุเรศทุรังเอามาก ๆ เลย ยายแก่คนซักผ้านั่นถึง หัวเราะเสียขนาดนี้!” พระราชารับสั่ง พระองค์ขมวดคิ้ว หยุดกระโดดและตวัดไม้กายสิทธิ์ “ฉันเบื่อฝึกฝนเต็มทีแล้ว! เมื่อไรฉันถึงจะพร้อมเสกคาถาต่อหน้าพลเมืองของฉันได้ล่ะ ผู้วิเศษ”
นักต้มตุ๋นพยายามปลอบโยนลูกศิษย์ รับประกันว่าในไม่ช้า พระองค์ก็จะเสกเวทมนตร์ทําสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจได้ แต่เสียงหัวเราะก๊าก ๆ ของแบ๊บบิตตี้นั้นเสียดแทงใจพระราชาผู้โง่เขลา มากกว่าที่นักต้มตุ๋นคิด
“พรุ่งนี้” พระราชารับสั่ง “เราจะเชิญคนทั้งวังมาชมการ แสดงเวทมนตร์ของพระราชา!”
นักต้มตุ๋นเห็นทันทีว่าถึงเวลาต้องหอบสมบัติหนีไปแล้ว
“ขอเดชะ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก! ลืมบอกไปว่าข้าพเจ้าต้องออกเดินทางไกลพรุ่งนี้ --”
“นี่ ผู้วิเศษ ถ้าเจ้าออกจากวังนี้ไปโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาต กองพลล่าแม่มดของฉันจะใช้หมาล่าเนื้อไล่ตามลากตัวเจ้ากลับมา! พรุ่งนี้เช้า เจ้าต้องช่วยฉันแสดงเวทมนตร์ให้ขุนนางและเหล่าภริยาได้ชม แล้วถ้ามีใครหัวเราะเยาะฉันละก็ ฉันจะสั่งตัดหัวเจ้าทันที!”
พระราชาเดินกระทืบเท้ากลับเข้าวัง ทิ้งให้นักต้มตุ๋นหวาดกลัวอยู่คนเดียว เล่ห์เหลี่ยมอะไร ๆ ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาได้แล้วในตอนนี้ เพราะเขาจะหนีไปก็ไม่ได้ หรือจะช่วยพระราชาเสกเวทมนตร์ก็ไม่ได้ เพราะทั้งคู่ต่างไม่มีความรู้เลย
เพื่อระบายความกลัวและความโกรธ นักต้มตุ๋นเดินไปใกล้หน้าต่างของแบ๊บบิตตี้ หญิงซักผ้า เขาแอบมองเข้าไปข้างในบ้าน เห็นหญิงชราร่างเล็กนั่งอยู่ที่โต๊ะ กําลังขัดไม้กายสิทธิ์ ที่มุมห้องด้านหลัง ผ้าปูที่นอนของพระราชากําลังซักขยี้ตัวเองอยู่ในถังไม้
นักต้มตุ๋นเข้าใจทันทีว่าแบ๊บบิตตี้คือแม่มดตัวจริง เขารู้ว่าหญิงผู้ก่อปัญหาเลวร้ายให้เขานั้น ก็คือคนที่จะแก้ปัญหาได้ด้วย
“ยายแก่!” นักต้มตุ๋นคําราม “เสียงหัวเราะก๊าก ๆ ของแก ทําฉันเสียหายมาก! ถ้าแกไม่ช่วยฉัน ฉันจะป่าวประกาศว่าแกเป็นแม่มด แล้วทีนี้แหละ แกจะต้องเป็นฝ่ายถูกหมาล่าเนื้อของพระราชาฉีกเป็นชิ้น ๆ !”
แม่เฒ่าแบ๊บบิตตี้ยิ้มให้นักต้มตุ๋น และรับปากว่านางจะทําทุกอย่างที่ทําได้เพื่อช่วยเขา
นักต้มตุ๋นสั่งให้นางไปซ่อนตัวในพุ่มไม้เมื่อพระราชาจะแสดงอํานาจเวทมนตร์ และให้นางเสกคาถาแทนพระราชา โดยไม่ให้พระองค์รู้ แบ๊บบิตตี้ตกลงตามแผน แต่ตั้งคําถามหนึ่งว่า
“แต่ถ้าพระราชาพยายามเสกคาถาที่แบ๊บบิตตี้ทําไม่ได้ จะทําอย่างไรล่ะคะ ท่าน”
นักต้มตุ๋นหัวเราะเยาะ
“เวทมนตร์ของแกมีมากกว่าจินตนาการของเจ้างั่งนั่นแน่ ๆ ” เขาบอกให้แบ๊บบิตตี้มั่นใจ แล้วกลับเข้าไปในปราสาท อิ่มอกอิ่มใจกับความฉลาดหลักแหลมของตนเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรดาขุนนางทั่วอาณาจักรและเหล่าภริยามาชุมนุมกันที่สนามในวัง พระราชาก้าวขึ้นบนเวทีตรงหน้าพวกเขา มีนักต้มตุ๋นอยู่เคียงข้าง
“ฉันจะเสกให้หมวกของคุณหญิงคนนี้หายไปเป็นอย่างแรก!” พระราชาตรัส ชี้กิ่งไม้ไปที่หญิงผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง
จากข้างในพุ่มไม้ใกล้ ๆ แบ๊บบิตตี้ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่หมวก และทําให้มันหายวับไป ผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ประหลาดใจและทึ่งกันยกใหญ่ เสียงตบมือดังสนั่นยังความปลื้มปีติให้แก่พระราชา
“ต่อไป ฉันจะเสกให้ม้าตัวนั้นบินได้!” พระราชาตรัส ชี้กิ่งไม้ไปที่ม้าทรงของพระองค์
จากข้างในพุ่มไม้ แบ๊บบิตตี้ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ม้าตัวนั้น มันลอยสูงขึ้นไปในอากาศทันที
คนดูยิ่งตื่นเต้นพิศวง พวกเขาโห่ร้องเสียงกึกก้อง ชื่นชม พระราชาผู้ทรงเวท
“แล้วทีนี้” พระราชารับสั่ง มองไปรอบ ๆ เพื่อหาความคิด แล้วผู้บังคับการกองพลล่าแม่มดก็วิ่งออกมาข้างหน้า
“ขอเดชะ” ผู้บังคับการพูด “เช้านี้เอง ซาบร์ตายเพราะกินเห็ดโทดสตูลมีพิษเข้าไป! ใช้ไม้กายสิทธิ์ทําให้มันกลับฟื้นคืนชีวิตสิพ่ะย่ะค่ะ!”
แล้วผู้บังคับการก็ยกร่างไร้ชีวิตของหมาล่าแม่มดตัวมหึมาขึ้นบนเวที
พระราชาผู้โง่เขลาโบกสะบัดกิ่งไม้ และชี้ไปที่ร่างของหมาที่ตาย แต่แบ๊บบิตตี้ผู้อยู่ในพุ่มไม้นั้นยิ้ม และไม่ใส่ใจแม้แต่จะยกไม้กายสิทธิ์ขึ้น เพราะไม่มีเวทมนตร์ใดที่จะปลุกคนหรือสัตว์ที่ตายแล้วให้ฟื้นคืนมาได้
เมื่อศพหมาไม่กระดุกกระดิก ตอนแรกผู้คนก็เริ่มกระซิบ กระซาบ ต่อจากนั้นก็พากันหัวเราะ พวกเขาสงสัยว่าการเสกคาถาสองครั้งแรกของพระราชา ก็คงเป็นแค่การแสดงมายากลเท่านั้น
“ทําไมมันไม่ได้ผลล่ะ” พระราชาตวาดใส่นักต้มตุ๋น เขา คิดถึงทางออกเพียงทางเดียวที่เหลืออยู่
“ขอเดชะ ตรงโน้นแน่ะ ตรงโน้น!” เขาตะโกน ชี้ไปที่พุ่มไม้ซึ่งแบ๊บบิตตี้นั่งซ่อนตัวอยู่ “ข้าพเจ้าเห็นชัดเจนเลย ยายแม่มดร้ายกาจนั่นใช้คาถาชั่วร้ายขวางกั้นเวทมนตร์ของพระองค์! จับมันไว้ ใครก็ได้ จับมันไว้”
แบ๊บบิตตี้วิ่งหนีออกจากพุ่มไม้ กองพลล่าแม่มดวิ่งไล่ตามทันที และปล่อยฝูงหมาล่าเนื้อออกมา พวกมันเห่าหอนเสียงขรม ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแบ๊บบิตตี้ แต่เมื่อแม่มดวิ่งไปถึงรั้วต้นไม้เตี้ย ๆ ร่างเล็ก ๆ ของนางก็หายวับไปจากสายตา และเมื่อพระราชา นักต้มตุ๋น และขุนนางทั้งหลายมาถึงอีกฟากหนึ่ง ก็พบฝูงหมาไล่ล่าแม่มดกําลังเห่า และตะกุยตะกายอยู่รอบต้นไม้เก่าแก่และโค้งงอ
“มันแปลงตัวเป็นต้นไม้!” นักต้มตุ๋นร้องเสียงดัง กลัวว่า แบ๊บบิตตี้จะกลับคืนร่างเป็นหญิงและปรักปรําเขา จึงรีบพูดเสริมว่า “ขอเดชะ โค่นมันลงเถอะ นี่เป็นทางเดียวที่จะจัดการกับแม่มดชั่วร้ายได้!”
มีคนเอาขวานมาทันที แล้วต้นไม้ชราก็ถูกโค่นล้ม ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่นของเหล่าขุนนางและนักต้มตุ๋น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเตรียมจะกลับไปพระราชวัง เสียงหัวเราะก๊าก ๆ ก็ดังขึ้น ทําให้ทุกคนหยุดชะงักกลางทาง
“เจ้าพวกคนโง่!” เสียงแบ๊บบิตตี้ดังออกมาจากตอไม้ที่ พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
“ไม่มีแม่มดพ่อมดคนไหนจะตายเพราะถูกตัดครึ่งหรอก! ถ้าพวกแกไม่เชื่อฉัน เอาขวานนั่นจามผู้วิเศษผู้ยิ่งใหญ่ออกเป็นสองท่อนสิ!”
ผู้บังคับการกองพลล่าแม่มดกระตือรือร้นอยากทดลอง แต่เมื่อเขาชูขวานขึ้น นักต้มตุ๋นก็คุกเข่าลง ส่งเสียงกรีดร้องขอความเมตตา และสารภาพความชั่วร้ายทุกอย่างของตน ระหว่างที่เขาถูกลากตัวไปคุกใต้ดิน ตอไม้ยังหัวเราะก๊าก ๆ เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“เพราะท่านผ่าแม่มดเป็นสองท่อน คําสาปเลวร้ายจึงถูกปลดปล่อยใส่อาณาจักรของท่าน” ตอไม้บอกพระราชาที่หวาดกลัวจนตัวแข็ง “นับแต่นี้ไป เมื่อใดก็ตามที่ท่านทําร้ายแม่มดพ่อมด เพื่อนของเรา ท่านจะรู้สึกเหมือนถูกคมขวานกรีดบนลําตัว จนกระทั่งท่านนึกอยากตายไปเสียให้พ้นทรมาน!”
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระราชาก็คุกเข่าลงเช่นกัน และบอกตอไม้ว่าพระองค์จะให้ประกาศทันที ว่าจะปกป้องแม่มดพ่อมดทุกคนในอาณาจักร ยอมให้พวกเขาใช้เวทมนตร์ได้อย่างสงบ
“ดีมาก” ตอไม้พูด “แต่ท่านยังไม่ได้ทําอะไรเพื่อขออภัยแบ๊บบิตตี้เลย!”
“ทําอะไรก็ได้ ทําได้ทุกอย่าง!” พระราชาผู้โง่เขลาตรัส บีบไม้บีบมืออยู่ตรงหน้าตอไม้
“ท่านต้องตั้งรูปปั้นของแบ๊บบิตตี้ไว้บนตัวฉัน เพื่อระลึกถึงหญิงซักผ้าที่น่าสงสารของท่าน และจะได้เตือนใจท่านไปตลอดกาลถึงความโง่เขลาของท่านเอง!” ตอไม้พูด
พระราชาตกลงทันที สัญญาว่าจะจ้างช่างปั้นที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน และให้หล่อรูปปั้นด้วยทองคําบริสุทธิ์ จากนั้นพระราชาผู้อับอายและเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งชายหญิงก็กลับคืนสู่พระราชวัง ทิ้งตอไม้ให้หัวเราะก๊าก ๆ อยู่เบื้องหลัง
เมื่อบริเวณนั้นกลับว่างเปล่า ปราศจากผู้คนอีกครั้ง กระต่ายชราตัวอ้วน มีหนวด ฟันคาบไม้กายสิทธิ์แน่น ก็ค่อย ๆ ดันตัวโผล่ออกมาจากรูระหว่างรากของตอไม้ แบ๊บบิตตี้กระโดดออกไปจากสนาม ไปสู่ดินแดนไกลโพ้น และนับแต่นั้นมา รูปปั้นทองคําของหญิงซักผ้าก็ตั้งตระหง่านอยู่บนตอไม้ และไม่มีแม่มดพ่อมดคนใดถูกประหารอีกเลยในอาณาจักรแห่งนี้




ความเห็นของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เรื่อง “แบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้”

นิทานเรื่อง “แบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้” เป็นเรื่องที่ “สมจริง” ที่สุดในบรรดานิทานของบีเดิล เพราะว่าเวทมนตร์ที่กล่าวถึงเกือบทั้งหมดนั้น ตรงกับกฎเวทมนตร์ที่เรารู้จักกันอยู่
จากนิทานเรื่องนี้เอง พวกเราจํานวนมากได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า เวทมนตร์ไม่อาจนําผู้ที่ตายแล้วกลับคืนมาได้ ช่างเป็นความผิดหวังและตกใจที่ใหญ่หลวงนัก เพราะเมื่อยังเป็นเด็กน้อย พวกเราต่างก็มั่นอกมั่นใจว่าพ่อกับแม่จะปลุกหนูหรือแมวที่ตายให้ตื่นขึ้นมาได้ ด้วยการโบกสะบัดไม้กายสิทธิ์เพียงครั้งเดียว
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงหกศตวรรษแล้ว นับตั้งแต่บีเดิลเขียนนิทานเรื่องนี้ ระหว่างนั้นพวกเราได้คิดประดิษฐ์วิธีการนับไม่ถ้วน ที่จะรักษาภาพลวงตาว่าคนที่เรารักนั้นยังอยู่1 กระนั้นพ่อมดแม่มดก็ยังไม่พบวิธีที่จะเชื่อมร่างกาย และวิญญาณเข้าด้วยกันได้อีกครั้งเมื่อมีการตายเกิดขึ้น ดังที่แบร์ตรอง เดอ ปองเซ โปรฟอง นักปรัชญาผู้วิเศษผู้เลื่องชื่อ เขียนไว้ในงานที่มีชื่อเสียงเรื่อง การศึกษาความเป็นไปได้ของการย้อนกลับผล ของความตายตามธรรมชาติ ทั้งที่เป็นจริงและเป็นอภิปรัชญา โดยคํานึงถึงการรวมตัวกันอีกครั้งของวิญญาณและมวลสาร ว่า “ยอมแพ้เถอะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
อย่างไรก็ตาม นิทานเรื่องแบ๊บบิตตี้ แร็บบิตตี้ นี้ เป็นวรรณกรรมเรื่องแรก ๆ ที่ระบุถึงแอนิเมจัส เพราะแบ๊บบิตตี้ หญิงซักผ้า มีความสามารถทางเวทมนตร์ที่หาได้ยาก คือแปลงกายเป็นสัตว์ได้ทันทีทันใจ
พวกที่เป็นแอนิเมจัสมีเพียงส่วนน้อยในประชากรผู้วิเศษ การเปลี่ยนรูปจากมนุษย์ไปเป็นสัตว์ได้อย่างสมบูรณ์ทันทีทันใจนั้น จําเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝนอย่างมาก แม่มดพ่อมดจํานวนมากจึงเห็นว่าน่าจะใช้เวลาทําอย่างอื่นดีกว่า แน่นอน โอกาสที่จะใช้ความสามารถพิเศษนี้ก็มีจํากัด ยกเว้นแต่ว่าคนคนนั้นจําเป็นอย่างมากที่จะต้องปลอมตัวหรือหลบซ่อนจากอะไรบางอย่าง
ด้วยเหตุผลนี้เอง กระทรวงเวทมนตร์จึงยืนกรานให้จดทะเบียนพวกแอนิเมจัสทั้งหลาย เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวทมนตร์แขนงนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อพวกที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ซ่อนเร้น ปกปิด หรือกระทั่งอาชญากรรม2
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะมีหญิงซักผ้าที่แปลงตัวเป็นกระต่ายได้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์เวทมนตร์จํานวนหนึ่งเสนอความเห็นว่า บีเดิลสร้างตัวละครแบ๊บบิตตี้โดยจําลองมาจากลีแซต เดอ ลาแปง ผู้วิเศษหญิงชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดในปารีส เมื่อ ค.ศ. 1422 ลีแซตหายตัวไปจากห้องขังในคืนก่อนหน้าที่เธอจะถูกประหาร ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้คุมมักเกิ้ล ซึ่งภายหลังต้องขึ้นศาลในข้อหาช่วยเหลือแม่มดหลบหนี แม้จะไม่เคยมีหลักฐานพิสูจน์ว่า ลีแซตเป็นแอนิเมจัสผู้บีบตัวผ่านลูกกรงห้องขังออกมาได้ แต่หลังจากนั้นมีคนเห็นกระต่ายขาวตัวใหญ่ข้ามช่องแคบอังกฤษไป ด้วยหม้อใบใหญ่ซึ่งมีใบเรือติดอยู่ และกระต่ายตัวเดียวกันนี้ ภายหลังได้เป็นที่ปรึกษาคนสําคัญในราชสํานักของกษัตริย์เฮนรี่ที่หก3
พระราชาในนิทานของบีเดิลเป็นมักเกิ้ลผู้โง่เขลา ซึ่งทั้งอยากได้ทั้งหวาดกลัวเวทมนตร์ พระองค์เชื่อว่าจะกลายเป็นพ่อมดได้เพียงแค่เรียนมนตร์คาถา และโบกไม้กายสิทธิ์เท่านั้น4 พระองค์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของเวทมนตร์ และพ่อมดแม่มดเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงได้หลงเชื่อคําแนะนําที่วิตถารของทั้งนักต้มตุ๋นและแบ๊บบิตตี้ นี่แหละเป็นวิธีคิดแบบมักเกิ้ลแท้ ๆ เนื่องจากความไม่รู้ พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับเรื่องเป็นไปไม่ได้ทุกอย่างของเวทมนตร์ รวมถึงประเด็นที่ว่าแบ๊บบิตตี้เปลี่ยนร่างตนเองเป็นต้นไม้ที่ยังคิดและพูดได้ด้วย (อย่างไรก็ตาม มีข้อควรสังเกตตรงนี้ว่า ในขณะที่บีเดิลใช้ต้นไม้พูดได้แสดงให้เราเห็นว่าพระราชามักเกิ้ลโง่เขลาปานใด บีเดิลก็ขอให้เราเชื่อด้วยว่าแบ๊บบิตตี้พูดได้ขณะที่กลายร่างเป็นกระต่าย นี่อาจถือว่าเป็นข้ออนุโลมของการประพันธ์ แต่ผมคิดว่าคงเป็นเพราะบีเดิลเองเคยได้ยินแต่เรื่องแอนิเมจัส แต่ไม่เคยพบตัวจริงเลยมากกว่า เพราะว่านี่เป็นการทําผิดกฎเวทมนตร์เพียงอย่างเดียวในเรื่องนี้ แอนิเมจัสนั้นไม่อาจรักษาอํานาจในการพูดของมนุษย์ไว้ระหว่างที่อยู่ในร่างสัตว์ แม้จะเก็บคุณสมบัติการคิดและใช้เหตุผลแบบมนุษย์ไว้ได้ก็ตาม นี่แหละคือความแตกต่างขั้นพื้นฐาน ระหว่างแอนิเมจัสกับการแปลงร่างตนเองให้เป็นสัตว์ เป็นความจริงที่เด็กนักเรียนคนไหนก็รู้ ในกรณีหลังนี้ บุคคลจะกลายเป็นสัตว์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีผลที่ตามมาคือ เขาจะไม่มีอํานาจเวทมนตร์อีกต่อไป ไม่รู้ตัวว่าเคยเป็นพ่อมด และจําเป็นต้องให้คนอื่นช่วยแปลงร่างกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วย)
ผมคิดว่าเป็นไปได้ว่า ตอนที่บีเดิลแต่งให้ตัวเอกหญิงเสแสร้งว่าตนเองกลายร่างเป็นต้นไม้ และขู่พระราชาว่าจะเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งกายราวกับถูกขวานชําแหละนั้น เขาคงได้แรงบันดาลใจมาจากประเพณีและธรรมเนียมเวทมนตร์ต่าง ๆ ที่ทํากันจริง ๆ ต้นไม้ที่มีเนื้อไม้เหมาะจะทําเป็นไม้กายสิทธิ์นั้น มักมีช่างทําไม้กายสิทธิ์คอยดูแลปกป้องอย่างแข็งขัน ถ้าขโมยลอบตัดก็จะเสี่ยงภัยยิ่งนัก ไม่ใช่แต่จะเผชิญกับความอาฆาตพยาบาทจากตัวโบวทรัคเกิล5 ซึ่งมักทํารังอยู่บนต้นไม้เท่านั้น แต่ยังจะต้องรับผลจากคําสาปปกป้องต่าง ๆ ที่เจ้าของต้นไม้เสกไว้รอบต้นอีกด้วย
ในสมัยของบีเดิล กระทรวงเวทมนตร์ยังไม่ได้ออกกฎบังคับให้การใช้คําสาปกรีดแทงผิดกฎหมาย6 คําสาปนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกแบบเดียวกับที่แบ๊บบิตตี้ขู่พระราชาไว้ไม่มีผิด



เชิงอรรถ
QUOTE
1 [รูปถ่ายและภาพเหมือนของผู้วิเศษนั้นเคลื่อนไหวได้ และ (ในกรณีหลัง) พูดคุยได้เหมือนผู้ที่เป็นแบบ ส่วนวัตถุหายากอื่น ๆ เช่น กระจกเงาแอริเซด อาจแสดงมาก กว่าภาพอยู่กับที่ของคนรักที่สูญเสียไป ส่วนพวกผี คืออีกรูปหนึ่งของพ่อมดแม่มด ที่ปรารถนาจะคงอยู่บนโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม เป็นรูปแบบที่ใส มอง ผ่านทะลุได้ เคลื่อนไหว พูดคุย และคิดได้ – เจ.เค.อาร์.]

2 [ศาสตราจารย์มักกอนนากัล อาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ขอให้ดิฉันชี้แจงว่า ที่ท่านกลายเป็นแอนิเมจัสนั้น เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในแขนงวิชาแปลงร่าง และท่านไม่เคยใช้ความสามารถแปลงร่างเป็นแมวลายเพื่อวัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นใด ๆ มียกเว้นแต่ธุระที่ถูกต้องสมควรในนามของภาคีนกฟีนิกซ์ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทํากันอย่างลึกลับและปกปิด - เจ.เค.อาร์.]

3 นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่กษัตริย์มักเกิ้ลพระองค์นี้มี ชื่อเสียงกระฉ่อนว่าพระสติไม่ค่อยมั่นคง

4 การศึกษาเชิงลึกในกองปริศนาได้แสดงให้เห็นย้อนหลังไปถึง ค.ศ. 1672 ว่าพ่อมดแม่มดนั้นเกิดมาเป็นเอง ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ในขณะที่ความสามารถเสกเวทมนตร์ได้อย่าง “ผ่าเหล่าผ่ากอ” จะปรากฏเป็นบางครั้งในเชื้อสายของผู้ที่ไม่มีเวทมนตร์ (ทว่าการศึกษามากมายในเวลาต่อมาเสนอว่า ต้องมีพ่อมดหรือแม่มดสักคน อยู่ที่ไหนสักแห่งในสาแหรกครอบครัวนั้น ๆ แน่) พวกมักเกิ้ลไม่อาจเสกเวทมนตร์ได้ อย่างดี ที่สุด หรือเลวที่สุด ที่พวกเขาจะหวังได้ก็คือผลที่เกิดขึ้นอย่างส่งเดช ควบคุมไม่ได้ด้วยอํานาจจากไม้กายสิทธิ์ของจริง ไม้กายสิทธิ์คือเครื่องมือที่ใช้ส่งผ่านเวทมนตร์ ดังนั้น บางคราวจะยังมีอํานาจตกหล่นเหลือค้างมา ทําให้ไม้อาจส่งประจุพลังออกไปโดยไม่เลือกเวลา กรุณาดูคําอธิบายเพิ่มเติมเรื่องไม้กายสิทธิ์วิทยาใน “นิทานสามพี่น้อง” ด้วย

5 สําหรับรายละเอียดสมบูรณ์เกี่ยวกับสัตว์ตัวเล็กน่าสนใจ ซึ่งอาศัยอยู่บนต้นไม้นี้ อ่าน สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่

6 คําสาปกรีดแทง คําสาปสะกดใจ และคําสาปพิฆาต ถูกจัดไว้ในกลุ่มคําสาปโทษผิดสถานเดียวเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1717 ระบุการลงโทษสถานหนักที่สุดไว้สําหรับผู้ที่ใช้คําสาปนี้


รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post
Ian McMillan
โพสต์ Mar 28 2021, 07:58 PM
โพสต์ #7


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 595
เข้าร่วม : 31-July 20
หมายเลขสมาชิก : 38,498
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: ไซคามอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง


ผู้พิทักษ์








5
นิทานสามพี่น้อง




กาลครั้งหนึ่งยังมีพี่น้องผู้ชายสามคน กําลังเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยวในยามเย็น ในไม่ช้า สามพี่น้องก็มาถึงแม่น้ำซึ่งลึกเกินกว่าจะเดินลุยข้าม และเชี่ยวกรากเกินกว่าจะว่ายข้ามไป อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งสามคนเล่าเรียนเวทมนตร์ศาสตร์มาจนเชี่ยวชาญ พวกเขาจึงแค่โบกไม้กายสิทธิ์และเสกสะพานขึ้นมาข้ามแม่น้ำที่บ้าคลั่ง เมื่อข้ามไปถึงกึ่งกลางสะพาน สามพี่น้องก็พบร่างที่สวมหมวกคลุมหัวยืนขวางทางไว้
แล้วยมทูตก็พูดกับพวกเขา ยมทูตโกรธที่ไม่ได้เหยื่อใหม่ไปสามราย เพราะปกติแล้วนักเดินทางมักจมน้ำตายที่นี่ แต่ยมทูตเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล เขาแสร้งทําเป็นยินดีกับสามพี่น้องที่เก่งกาจเรื่องเวทมนตร์ และบอกว่าทั้งสามสมควรได้รับรางวัล ในฐานะที่ฉลาดพอจะหลบเลี่ยงยมทูตได้
ดังนั้นพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นคนชอบต่อสู้ จึงขอไม้กายสิทธิ์ที่มีอํานาจเหนือกว่าไม้ใด ๆ ในโลก ไม้กายสิทธิ์ที่จะทําให้เจ้าของชนะการประลองเสมอ ไม้กายสิทธิ์ที่มีค่าคู่ควรแก่พ่อมดที่เอาชนะยมทูตได้! ดังนั้น ยมทูตจึงข้ามไปที่ต้นเอลเดอร์ซึ่งขึ้นอยู่ริมตลิ่ง และตัดกิ่งหนึ่งออกมาทําไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโต
จากนั้นพี่คนที่สอง ซึ่งเป็นคนหยิ่งยโส ตัดสินใจว่าเขาอยากทําให้ยมทูตอับอายขายหน้ามากขึ้นอีก จึงขออํานาจที่จะเรียกใครก็ได้กลับมาจากความตาย ดังนั้น ยมทูตจึงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากริมฝั่ง และมอบให้พี่ชายคนรอง บอกเขาว่าหินก้อนนี้จะมีอํานาจนําคนตายกลับมาได้
จากนั้นยมทูตถามชายคนที่สามซึ่งเป็นน้องสุดท้องว่าเขาต้องการอะไร น้องคนสุดท้องเป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดสุขุมที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน เขาไม่เชื่อใจยมทูตเลย ดังนั้นจึงขออะไรก็ได้ที่จะพาเขาออกไปจากที่นั่น โดยที่ไม่ให้ยมทูตติดตามไปได้ ยมทูตจึงมอบผ้าคลุมล่องหนของตนให้เขา ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
จากนั้นยมทูตก็หลีกทาง ปล่อยให้สามพี่น้องเดินต่อไปได้ พวกเขาเดินทางกันต่อพลางพูดคุยถึงการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์ที่เพิ่งประสบมา และต่างก็ชื่นชมของขวัญจากยมทูต
เมื่อถึงเวลา สามพี่น้องก็แยกทางกัน แต่ละคนไปตามจุดหมายปลายทางของตนเอง
พี่ชายคนโตเดินทางต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จนถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาตามหาพ่อมดที่เคยมีเรื่องวิวาทด้วยและท้าประลองกัน แน่นอน เมื่อมีไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เป็นอาวุธ เขาก็เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย เขาทิ้งศัตรูให้นอนตายอยู่บนพื้น แล้วเดินทางต่อไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้น เขาคุยโวเรื่องไม้กายสิทธิ์อันทรงอํานาจที่เขาแย่งชิงมาจากยมทูต และบอกว่ามันทําให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้
คืนนั้นเอง พ่อมดคนหนึ่งแอบย่องเข้าไปหาพี่ชายคนโต ขณะที่เขาเมาเหล้าองุ่นนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าขโมยหยิบเอาไม้กายสิทธิ์ไป แถมยังเชือดคอพี่ชายคนโตเสียด้วย
ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่ชายคนโตไปเป็นของตน
ระหว่างนั้น พี่ชายคนที่สองเดินทางกลับบ้านของตนเอง เมื่อไปถึง เขาหยิบก้อนหินที่มีอํานาจเรียกคนตายออกมา เขาหมุนมันในมือสามครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจและดีใจ เมื่อเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เธอคือผู้หญิงที่เขาเคยหวังจะแต่งงานด้วย แต่ตายไปก่อนวัยอันสมควร
แต่กระนั้นเธอกลับโศกเศร้าและเย็นชา เหินห่างจากเขาราวกับมีผ้าม่านบาง ๆ ขวางกั้น แม้ว่าจะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้จริง ๆ และได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก ท้ายที่สุด พี่ชายคนรองก็กลายเป็นบ้าเพราะความไม่สมหวัง และฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่ร่วมกับสาวคนรักอย่างแท้จริง
ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่คนรองไปเป็นของตน
ส่วนน้องคนที่สาม แม้ยมทูตจะเฝ้าค้นหาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ไม่เคยพบชายผู้นั้นเลย ในที่สุดเมื่อน้องสุดท้องถึงกาลชราภาพ เขาจึงถอดผ้าคลุมล่องหนออก และส่งมอบให้บุตรชาย จากนั้นเขาต้อนรับยมทูตดั่งเพื่อนเก่า และเดินทางไปด้วยกันอย่างยินดี ทั้งสองจากชีวิตนี้ไปในฐานะผู้เสมอกัน




ความเห็นของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เรื่อง “นิทานสามพี่น้อง”

นิทานเรื่องนี้ประทับใจผมอย่างลึกซึ้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อแม่เล่าให้ฟัง และตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นนิทานก่อนนอนที่ผมขอให้เล่าบ่อยครั้งกว่าเรื่องอื่นใด และเป็นเหตุให้ต้องโต้เถียงกับอาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของผมอยู่เนือง ๆ เพราะเรื่องโปรดของเขาคือ “กรัมเบิล เจ้าแพะสกปรก”
“นิทานสามพี่น้อง” มีคติที่เห็นได้ชัดเจน นั่นคือ ความพยายามใด ๆ ของมนุษย์ที่จะหลีกหนีหรือเอาชนะความตาย ย่อมมีจุดจบอย่างเดียวเสมอ คือความผิดหวัง น้องชายคนที่สามในเรื่อง (“เป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดสุขุมที่สุดด้วย”) เป็นเพียง คนเดียวที่เข้าใจว่า ในเมื่อหนีพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดครั้งหนึ่งแล้ว เขาคงหวังได้เพียงแค่ถ่วงเวลาที่จะพบกันอีกครั้งให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทําได้ น้องสุดท้องคนนี้รู้ว่าถ้าไปยั่วแหย่ความตาย เช่น เกี่ยวข้องกับความรุนแรงเหมือนพี่ชายคนโต หรือยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับเช่นการปลุกวิญญาณ1 แบบพี่ชายคนที่สอง ก็เหมือนเอาตัวเข้าสังเวียนต่อสู้กับศัตรูเจ้าเล่ห์ที่ไม่มีวันแพ้
น่าขันที่มีตํานานประหลาดเรื่องหนึ่งเกิดสืบเนื่องมาจากนิทานเรื่องนี้ ซึ่งขัดแย้งกับคติของเรื่องดั้งเดิมอย่างยิ่ง ตํานานนี้ยืนกรานว่าของขวัญที่ยมทูตมอบให้พี่น้องทั้งสามคน อันได้แก่ ไม้กายสิทธิ์ที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ หินที่นําคนตายกลับมาได้ และผ้าคลุมล่องหนซึ่งทนทานถาวรนั้น เป็นวัตถุที่แท้จริง มีอยู่ในโลกแห่งความจริง ตํานานยังบอกต่อไปอีกว่า หากใครได้เป็นเจ้าของที่ถูกต้องของวัตถุทั้งสามแล้ว เขาหรือเธอจะกลายเป็น “นายของความตาย” ซึ่งตามที่เข้าใจกันนั้น หมายความว่า คนผู้นั้นจะไม่มี วันอ่อนแอ หรือถึงขนาดเป็นอมตะทีเดียว
เราอาจจะยิ้มอย่างเศร้าใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าการเกิดตํานานดังกล่าวบอกเราให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นฉันใด การตีความอย่างเห็นอกเห็นใจที่สุดก็คือ “ความหวังคือน้ำพุที่ไหลนิจนิรันดร์”2 แม้จะมีข้อเท็จจริงที่บีเดิลให้ไว้ว่า ของสองในสามนั้นเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง แม้จะมีคติที่บอกไว้ชัดเจนว่า ความตายมาถึงพวกเราทุกคนในที่สุด แต่คนกลุ่มน้อยนิดในชุมชนพ่อมดแม่มดก็ยังคงยืนหยัดเชื่อว่า บีเดิลส่งข้อความเป็นรหัสลับมาให้พวกเขา ซึ่งมีความหมายตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับข้อความที่เขียนลงด้วยหมึก และมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ฉลาดหลักแหลมพอจะเข้าใจรหัสลับนี้ได้
ทฤษฎีของคนกลุ่มนี้ (หรือบางทีถ้าเรียกว่า “ความหวังที่สิ้นหวัง” น่าจะเป็นคําที่ตรงกว่า) มีหลักฐานจริง ๆ เพียงเล็กน้อยสนับสนุน ผ้าคลุมล่องหนที่แท้จริงนั้นแม้จะหายาก แต่ก็มีอยู่จริงในโลกของพวกเรา อย่างไรก็ตาม นิทานบอกไว้ชัดเจนว่า ผ้าคลุมของยมทูตทนทานถาวรอย่างที่ไม่มีผ้าคลุมล่องหนอื่นใดเทียบได้3 ตลอดเวลาหลายศตวรรษระหว่างยุคสมัยของบีเดิลกับยุคของเรา ไม่มีใครเลยที่ประกาศว่าตนพบผ้าคลุมของยมทูต ผู้ที่เลื่อมใสอย่างแท้จริงอธิบายว่า อาจเป็นเพราะลูกหลานของ น้องชายคนที่สามไม่รู้ว่าผ้าคลุมของพวกตนนั้นได้มาจากที่ไหน หรือไม่ก็อาจจะรู้ แต่ตั้งใจจะแสดงว่ามีปัญญาสุขุมเทียบเท่าบรรพบุรุษ จึงไม่ยอมป่าวประกาศความจริงข้อนี้ให้ใครรู้
แน่นอนทีเดียว หินนั้นก็ไม่เคยมีใครพบด้วยเช่นกัน ดังที่ผมได้บอกไว้แล้วในคําวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่อง “แบ็บบิตตี้ แร็บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้” เรายังไม่สามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพ และก็มีเหตุผลมากมายที่บ่งบอกว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ แน่นอน พ่อมดฝ่ายมืดได้พยายามสร้างสิ่งทดแทนที่ต่ำช้า นั่นคือการสร้างอินเฟอไรขึ้นมา4 แต่อินเฟอไรก็เป็นเพียงหุ่นผีที่น่ากลัว ไม่ใช่มนุษย์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น นิทานของบีเดิลระบุไว้ชัดเจนว่า คนรักของพี่ชายคนที่สองไม่ได้กลับคืนจากความตายอย่างแท้จริง เธอถูกยมทูตส่งกลับมาเพื่อหลอกล่อพี่ชายคนที่สองให้กลับคืนสู่เงื้อมมือยมทูต ดังนั้นเธอจึงเย็นชา เหินห่าง มีสภาพที่ทรมานใจยิ่งนัก คือเหมือนมีตัวตนจริง ๆ และไม่มีตัวตนอยู่ในเวลาเดียวกัน5
ทีนี้เราก็มาถึงเรื่องไม้กายสิทธิ์ ตรงนี้แหละ อย่างน้อยผู้ที่ดื้อดึงเลื่อมใสในข้อความเร้นลับของบีเดิล ก็พอมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาสนับสนุนข้ออ้างที่เหลือเชื่อของพวกเขา ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา มีพ่อมดหลายคนอวดอ้างว่าตนได้ครอบครองไม้กายสิทธิ์ที่มีอํานาจเหนือไม้ธรรมดา หรือถึงขนาดกล่าวว่าเป็น “ไม้กายสิทธิ์ที่ไม่มีใครเอาชนะได้” ไม่ว่าจะด้วยต้องการยกย่องเกียรติประวัติตนเอง หรือเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ในอนาคต หรือเพราะเชื่อคําพูดของตนเองจริง ๆ ก็ตาม พ่อมดบางคนถึงกับอ้างว่าไม้กายสิทธิ์ของตนนั้นทําจากไม้เอลเดอร์ เช่นเดียวกับไม้กายสิทธิ์ที่เชื่อว่ายมทูตทําขึ้น ไม้กายสิทธิ์เหล่านี้มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ นานา เช่น “ไม้แห่งโชคชะตา” และ “ไม้มฤตยู”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีความเชื่อโชคลางปรําปราเกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็คือเครื่องมือและอาวุธวิเศษที่สําคัญที่สุดของเรา กล่าวกันว่าไม้กายสิทธิ์บางอัน (ซึ่งก็หมายถึงเจ้าของไม้ด้วย) ไม่ถูกโฉลกกันเลย เช่น
เมื่อไม้เขาเป็นโอ๊ก และไม้เธอคือฮอลลี่
ถ้าแต่งงานกัน ก็บ้าสิ้นดี

หรือไม้บางอันบ่งบอกนิสัยที่บกพร่องของเจ้าของ เช่น
โรวันชอบซุบซิบ เกาลัดชอบคุย
แอชดื้อด้าน ฮาเซลครวญคราง

และแน่นอน ในบรรดาคําพังเพยทั้งหลายที่ไม่เคยมีการพิสูจน์นี้ เราก็พบคํากล่าวที่ว่า
ไม้เอลเดอร์ ไม่มีวันเลิศเลอ
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะยมทูตในนิทานของบีเดิลทําไม้กายสิทธิ์มาจากไม้เอลเดอร์ หรือเพราะพ่อมดผู้ก้าวร้าวหรือกระหายอํานาจ มักยืนกรานกล่าวอ้างว่าไม้กายสิทธิ์ของตนทําจากไม้เอลเดอร์ ไม้นี้จึงไม่ใช่ไม้ที่ช่างทําไม้กายสิทธิ์นิยมนํามาใช้เลย
ไม้กายสิทธิ์อันแรกที่มีลายลักษณ์อักษร บันทึกว่าเป็นไม้กายสิทธิ์ทําจากไม้เอลเดอร์และมีอํานาจอันตรายยิ่งนัก เป็นของเอ็มเมอริก ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “จอมชั่วร้าย” เขาเป็นพ่อมดที่ก้าวร้าวหาตัวจับยาก แม้จะมีชีวิตสั้นมากก็ตาม เขาก่อความหวาดหวั่นไปทั่วภาคใต้ของเกาะอังกฤษในต้นยุคกลาง เขาตายสมกับวิธีที่ดําเนินชีวิต คือตายในการประลองอย่างดุเดือดกับพ่อมดผู้มีนามว่าเอ็กเบิร์ต ส่วนชะตากรรมของเอ็กเบิร์ตนั้นไม่มีใครรู้ ทว่าเกณฑ์อายุโดยการคาดคะเนของนักต่อสู้ในยุคกลางนั้น ปกติแล้วสั้นมาก ในสมัยก่อนหน้าที่จะมีกระทรวงเวทมนตร์คอยออกกฎหมายควบคุมการใช้เวทมนตร์ฝ่ายมืด การต่อสู้กันนั้นส่วนมากแล้วถึงตาย
อีกหนึ่งศตวรรษต่อมา ตัวละครที่ไม่น่าคบอีกคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา ครั้งนี้ชื่อว่าโกเดล็อต เขาช่วยพัฒนาการศึกษาศาสตร์มืด ด้วยการเขียนคาถาที่อันตรายมากชุดหนึ่ง ทั้งนี้โดยได้รับความช่วยเหลือจากไม้กายสิทธิ์ ที่เขาบรรยายไว้ในสมุดบันทึกประจําวันว่าเป็น “เพื่อนที่ลึกลับและร้ายกาจที่สุดของฉัน ผู้มีร่างเป็นไม้เอลฮอร์น6 และรู้วิถีทางต่าง ๆ ของเวทมนตร์ชั่วร้ายที่สุด” (เวทมนตร์ชั่วร้ายที่สุด ได้กลายเป็นชื่อหนังสือเล่มเอกของโกเดล็อต)
จะเห็นได้ว่า โกเดล็อตมองว่าไม้กายสิทธิ์ของเขานั้นเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิด เกือบประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอน ผู้ที่มีความรอบรู้เรื่องไม้กายสิทธิ์วิทยา7 คงจะเห็นพ้องกันว่า ไม้กายสิทธิ์สามารถซึมซับความชํานาญของผู้ที่ใช้มันมาเก็บไว้ได้ ทว่านี่เป็นเรื่องที่ยังรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และไม่อาจทํานายได้เที่ยงตรง เพราะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบเพิ่มเติมอื่น ๆ ด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างไม้กายสิทธิ์กับเจ้าของ ถึงจะเข้าใจได้ว่าไม้กายสิทธิ์นั้นมีแนวโน้มจะทํางานได้ดีเพียงใดกับบุคคลประเภทใด อย่างไรก็ตาม ไม้กายสิทธิ์ตามสมมติฐานนี้ได้ถูกส่งทอดผ่านมือพ่อมดฝ่ายมืดมาเป็นจํานวนมาก ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า อย่างน้อยมันน่าจะถูกกําหนดไว้แล้ว ให้มีความเกี่ยวพันกับเวทมนตร์ประเภทที่อันตรายมากที่สุด
แม่มดพ่อมดส่วนมากพึงพอใจไม้กายสิทธิ์ที่ “เลือก” ตน มากกว่าไม้กายสิทธิ์ที่ได้รับสืบทอดมา ทั้งนี้ก็เพราะไม้มือสองนั้น เป็นไปได้มากว่าจะร่ำเรียนนิสัยมาจากนายเก่า ซึ่งอาจไม่สอดคล้องต้องกันกับวิธีใช้เวทมนตร์ของนายคนใหม่ ธรรมเนียมการฝัง (หรือเผา) ไม้กายสิทธิ์ไปพร้อมกับเจ้าของที่ถึงแก่กรรมนั้น ก็คงเพื่อป้องกันไม้กายสิทธิ์แต่ละอันไม่ให้เรียนรู้จากเจ้านายหลายคนเกินไป อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เชื่อเรื่องไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เห็นว่า ในเมื่อไม้กายสิทธิ์นี้ส่งทอดความสวามิภักดิ์ระหว่างเจ้าของเสมอ โดยที่เจ้านายคนใหม่มักเอาชนะเจ้านายคนแรกได้ด้วยวิธีการฆ่า พวกเขาจึงยึดมั่นว่าไม้เอลเดอร์ไม่เคยถูกทําลายหรือฝังไปเลย แต่คงอยู่รอดมาได้ สะสมปัญญา กําลัง และอํานาจ เหนือกว่าไม้กายสิทธิ์ทั่ว ๆ ไป
เป็นที่รู้กันว่าโกเดล็อตนั้นตายในห้องใต้ดินของตนเอง โดยถูกเฮียร์เวิร์ต ลูกชายผู้บ้าคลั่งจับขังไว้ เราต้องสันนิษฐานว่า เฮียร์เวิร์ตยึดไม้กายสิทธิ์ของพ่อไป เพราะไม่เช่นนั้นฝ่ายหลังก็คงจะหนีออกมาได้ แต่เราไม่มีวันรู้แน่ว่าหลังจากนั้นเฮียร์เวิร์ตทําอะไรกับไม้กายสิทธิ์นั่น ที่รู้แน่ ๆ ก็คือมีไม้กายสิทธิ์ที่ชื่อว่า “ไม้เอลดรัน”8 ปรากฏขึ้นมาเมื่อต้นศตวรรษที่สิบแปด เจ้าของชื่อว่า บาร์นาบัส เดเวอริลล์ เดเวอริลล์ใช้ไม้นี้จารึกชื่อให้ตนเองในฐานะผู้วิเศษผู้น่าเกรงกลัว จนกระทั่งสมัยแห่งความหวาดหวั่นของเขายุติลง เมื่อล็อกซิอัสผู้มีชื่อเสียงอื้อฉาวพอ ๆ กันชิงไม้กายสิทธิ์ไปได้ และตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า “ไม้มฤตยู” และใช้มันฆ่าทุกคนที่เขาไม่พอใจ เป็นการยากที่จะสะกดรอยไม้กายสิทธิ์ของล็อกซิอัสต่อ เพราะมีคนมากมายอ้างตนว่าเป็นผู้กําจัดเขาไปได้ รวมทั้งแม่ของเขาเองด้วย
สิ่งที่พ่อมดแม่มดผู้เฉลียวฉลาดควรสะดุดใจ เมื่อศึกษาเรื่องที่ถือกันว่าเป็นประวัติของไม้เอลเดอร์นี้ ก็คือการที่ผู้ชายทุกคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของไม้9 ต่างก็ยืนกรานว่ามันคือ “ไม้ที่ไม่มีวันพ่ายแพ้” ขณะเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกส่งทอดผ่านมือเจ้าของมาหลายต่อหลายคน ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่เพียงแต่ไม้นี้จะพ่ายแพ้มานับร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่มันยังดึงดูดเรื่องเดือดร้อนพอ ๆ กับที่กรัมเบิลเจ้าแพะสกปรกดึงดูดแมลงวัน ท้ายที่สุดแล้ว การแสวงหาไม้เอลเดอร์ยิ่งสนับสนุนข้อสังเกต ที่ผมมีโอกาสเสนอมาหลายต่อหลายครั้งในชั่วชีวิตของผม นั่นคือ มนุษย์เราช่างเชี่ยวชาญเหลือเกินที่จะเลือกสรรแต่สิ่งเลวร้ายที่สุดเพื่อตนเอง
แต่พวกเราคนใดเล่าที่จะฉลาดสุขุมเฉกเช่นน้องคนที่สาม หากมีโอกาสได้เลือกของขวัญจากยมทูต ทั้งพ่อมดแม่มดและมักเกิ้ล ต่างก็โชกชุ่มไปด้วยแรงปรารถนาในอํานาจพอ ๆ กัน จะมีสักกี่คนเล่าที่จะปฏิเสธ “ไม้แห่งโชคชะตา” ได้ มนุษย์ที่สูญเสียคนที่ตนรัก ผู้ใดจะยืนหยัดต้านทานความเย้ายวนของหินชุบวิญญาณได้ แม้แต่ผม อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก็คงจะรู้สึกว่าปฏิเสธผ้าคลุมล่องหนได้ง่ายที่สุด ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงจะมีปัญญาแหลมคมเพียงใด ผมก็ยังเป็นคนโง่เขลาไร้สติเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ นั่นเอง



เชิงอรรถ
QUOTE
1 [การปลุกวิญญาณเป็นศาสตร์มืดที่ทําให้ผู้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเวทมนตร์แขนงที่ไม่เคยทําได้สําเร็จเลย ดังที่เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นชัดเจน - เจ.เค.อาร์.]

2 [ถ้อยคําที่ยกมาอ้างไว้นี้ แสดงว่านอกจากจะอ่านงานเขียนของผู้วิเศษจนโชกโชน แล้วอัลบัส ดัมเบิลดอร์ยังคุ้นเคยกับงานเขียนของอเล็กซานเดอร์ โพป กวีเอกมักเกิ้ลด้วย - เจ.เค.อาร์.]

3 [ผ้าคลุมล่องหนโดยทั่วไปแล้วไม่ใช่ไม่มีข้อบกพร่อง ผ้าคลุมอาจฉีกขาดหรือมองเห็นขุ่น ๆ มัว ๆ เมื่อเก่าลง หรือเมื่อคาถาที่เสกไว้เสื่อมสภาพ หรือถ้าผ้าเผชิญกับคาถาที่บังคับให้เปิดเผยตัว ด้วยเหตุนี้ ในชั้นแรก แม่มดพ่อมดจึงมักหันไปใช้คาถาพรางตากันก่อน ในยามที่ต้องการปลอมแปลงตัวหรือปกปิดซ่อนเร้น อัลบัส ดัมเบิลดอร์เอง ได้ชื่อว่าสามารถเสกคาถาพรางตาได้อย่างแข็งกล้า จนกระทั่งเขาล่องหนได้โดยไม่จําเป็นต้องใช้ผ้าคลุมเลย - เจ.เค.อาร์.]

4 อินเฟอไร คือซากศพที่ทําให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ได้ด้วยเวทมนตร์ศาสตร์มืด

5 นักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่าเมื่อบีเดิลแต่งเรื่องหินที่ชุบชีวิตคนตายนั้น เขาได้แรงบันดาลใจมาจากศิลาอาถรรพ์ ซึ่งใช้ทําน้ำทิพย์อมตะ ช่วยให้มีชีวิตยืนยาวได้ชั่วกาลนาน

6 เป็นชื่อโบราณของ “ไม้เอลเดอร์”

7 ดังเช่นตัวผมเอง

8 เป็นชื่อดั้งเดิมอีกชื่อของ “ไม้เอลเดอร์”

9 ไม่มีแม่มดคนใดเลยที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าของไม้เอลเดอร์ รู้แบบนี้แล้วคุณจะคิดอย่างไรก็ตามใจคุณ


รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 16th April 2024 - 01:38 PM