IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Closed TopicStart new topic
> Fictions Yaoi Collection คลังนิยายวาย
HIDE.Dawn
โพสต์ Jan 10 2014, 06:52 AM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

*****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 824
เข้าร่วม : 28-January 11
จาก : บนโลกใบนี้แหละ
หมายเลขสมาชิก : 12,348
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: -- | ยาว: --
แกนกลาง: --
ความยืดหยุ่น: --

สัตว์เลี้ยง








ประเภทบทความ : ฟิคชั่น, เรื่องสั้น, เรื่องยาว

เรท : ตั้งแต่ PG-13 ถึง NC-17

ผู้แต่ง : HIDE.Dawn

เรื่องย่อ : เป็นกระทู้รวบรวมฟิคชั่นของไฮด์ ที่ส่วนมากเป็นแนว yaoi ฟิคในที่นี้ส่วนใหญ่นำมาจากนิยายแปล และภาพยนตร์
เนื้อหาส่วนมากไม่แน่นอนเพราะจะแต่งเป็นเรื่องสั้น ไปเรื่อยๆ มีหลากหลายคู่จิ้น

หมายเหตุ : ผู้ใดไม่นิยมนิยาย yaoi กรุณาปิดออกไปเพื่อสุขภาพจิตของท่านเอง







ภาพยนตร์ที่จะนำเป็นแต่งฟิคเป็นส่วนใหญ่




คุณ HIDE.Dawn ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Jan 10 2014, 09:20 PM



Not a day goes by that I don't think of you.
ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงคุณ
Go to the top of the page
+Quote Post
HIDE.Dawn
โพสต์ Jan 11 2014, 01:40 AM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

*****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 824
เข้าร่วม : 28-January 11
จาก : บนโลกใบนี้แหละ
หมายเลขสมาชิก : 12,348
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: -- | ยาว: --
แกนกลาง: --
ความยืดหยุ่น: --

สัตว์เลี้ยง






    [FIC Sil] The Promise : I




    Title : The Promise CH I
    Author : HIDE.Dawn
    Paring : Elwe/Finwe
    Rate : NC-17
    Genre : Romance
    Disclaimer : ตัวละครเป็นของ JRR Tolkiens (The Silmarillion)




    Elwe : Finwe




    หมายเหตุ
    .....เหล่าวาลาร์คือเทพในอามัน ผู้สร้างทุกสิ่งพระเจ้านั่นเอง
    อามันคือดินแดนแห่งอมตะ เป็นที่มีพฤกษาแห่งวาลินอร์อยู่
    เป็นแสงที่สว่างดั่งดวงอาทิตย์ และดวงจันทรา
    องค์มานเวคือเทพสูงสุด ปกครองวาลาร์ในนามของอิลูวาทาร์ แต่ไม่ใช่อิลูวาทาร์
    อิลูวาทาร์เป็นพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่ง เทพของเทพนั้นเอง








    มิดเดิลเอิร์ธ... มัชฌิมโลก...


    ดินแดนแห่งกาลเวลา ดินแดนที่เหล่าวาลาร์สรรค์สร้างขึ้น ดินแดนที่ไม่ขึ้นตรงกับอำนาจบัญชาขององค์วาลาร์ ดินแดนแห่งการเปลี่ยนแปลงและไม่จีรัง ดินแดนแห่งโชคชะตา...


    มัชฌิมโลกถูกรังสรรค์ขึ้น มีสิ่งชีวิตหลากหลาย มีความมืดและสว่าง มีการเกิดและการตาย มีความลึกลับและมีเสน่ห์ในตนเอง องค์วาลาร์สร้างจตุธาตุ พงไพรและเดรัจฉานขึ้นก่อนสิ่งใดๆ ทรงตระเตรียมไว้เพื่อรับรองบุตรแห่งอิลูวาทาร์ในยามเมื่อพวกเขาตื่นจากหลับใหล อิลูวาทาร์ราชาธิราชแห่งวาลาร์ในอามันทรงสร้างบุตรของท่าน ผู้มาก่อน คือ "เผ่าพันธ์เควนดิ" หรือในตำนานของมนุษยชนเรียกพวกเขาว่า "เอลฟ์"


    และข้า... ฟินเว ข้าก็เป็นเควนดิกลุ่มแรกที่ตื่นจากหลับใหล เสียงแรกที่ข้าได้ยินยลคือ เสียงของนาวากระทบศิลาแกร่ง และภาพของท้องราตรีที่ประดับประดาแสงระยิบระยับของดารา ข้าหลงรักมัชฌิมโลกในทันที แต่ชะตากรรมของเรา ชาวเควนดิถูกลิขิตในอยู่ในอามัน ดินแดนแห่งอมตะ อามันงดงามกว่ามัชฌิมโลก งดงามกว่าดินแดนใดๆ แต่ความเป็นอมตะมันไม่ใช่สิ่งที่งดงามในความเห็นของข้า


    เพราะหากหัวใจสลายสิ้นเป็นผงคลี จะอยู่เป็นนิรันดร์เพื่อการใดให้ทรมาน แม้ปรารถนาจะตายก็มิได้ เพราะชะตาของเผ่าข้า เราเป็นอมตะและมีชะตากรรมผูกพันกับโลกจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของอาร์ดา แล้ววันสิ้นอาร์ดา มันอีกกี่พันสหัสวรรษกันที่ข้าต้องทนรอ


    -------------------------------------------


    ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน สถานที่ที่งดงาม สงบสุข พฤกษาเขียวขจีตลอดปี ในช่วงกำเนิดแรกของโลกนั้นดวงตะวันและดวงจันทรายังไม่ถูกสร้างขึ้น เวิ้งฟ้าอยู่ในยามราตรีมีเพียงแสงดาวส่องประกาย บุตรแห่งอิลูวาทาร์ ผู้ตื่นก่อน คือ เควนดิ หรือ อีกชื่อที่เทพโรเมตั้งให้คือ เอลดาร์ แต่นิยมถูกเรียกอีกชื่อว่า เอลฟ์


    เหล่าเอลฟ์ตื่นขึ้นริมทะเลสาบคุยวิเอเนน มีสามตระกูลคือวงศ์วันยาร์ ผู้มีเกศาสีทอง ดวงเนตรสีน้ำเงินสว่าง งดงาม รักสงบเป็นที่รักของเหล่าวาลาร์เป็นที่สุด ต่อมาคือวงศ์โนลดอร์ ผู้มีเกศาสีดำดั่งรัตติกาล นัยน์ตาเทา ผู้ใฝ่ในความรู้วิทยากร และสุดท้ายวงศ์เทเลริ คล้ายคลึงกับชาวโนลดอร์มีเกศาสีเข้ม แต่บางตนก็มีเกศาสีเทา หรือสีเงินยวง พวกนี้เก่งกาจในศิลปะดนตรีเป็นหนึ่ง


    เหล่าเอลฟ์เป็นที่รักของเหล่าวาลาร์บนอามันอย่างมาก พระองค์ชื่นชอบเสียงขับร้องลำนำของชาวเอลดาร์ และหลงใหลความงดงามที่มิรู้คลาย แต่เพราะมัชฌิมโลกถูกสร้างขึ้นให้มีอิสระต่ออำนาจของเหล่าวาลาร์ทำให้ปวงเทพได้เพียง
    แค่เฝ้ามองอยู่บนอามัน


    ในวันคืนที่ระบุวันที่ไม่ได้ ในดินแดนมัชฌิมโลก พรายโนลดอร์ตนหนึ่งเดินชมพงไพรเพียงลำพัง เกศาดำขลับเหมือนนิลมณี เงางามสยายพาดหลัง พริ้วไหวหยอกเย้ากับสายลมยามพัดผ่าน ร่างสูงโปร่งสง่างามสูงศักดิ์ ดวงพักตร์งดงามแม้เป็นบุรุษ นัยน์ตาสีเทากวาดมองไปรอบๆ กายอย่างรื่นรมย์ ผิวกายเปล่งปลั่งเรืองรองเป็นประกายโดดเด่นในราตรี ร่างบางนั่งลงที่โขดหินใต้ร่มไม้ มือเรียวเอื้อมเด็ดใบไม้มาพิศมองอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีชาดระบายยิ้มบาง แล้วเม้มใบไม้อย่างแผ่วเบา เขาลองเป่าใบไม้นั่น เกิดเสียงแหลมใส พรายงามยิ้มอย่างพอใจ แล้วลองเป่าใบไม้อีกครั้ง


    เริ่มบรรเลงเป็นลำนำไพเราะอ่อนหวานเสนาะหู วิหคน้อยบินมาเกาะไหล่มน สดับฟังเสียงลำนำอันงดงาม ดุจทั้งป่าเงียบสงัดเพื่อสดับฟังพรายงาม บรรเลงคีตะเพลง จากใบไม้สีขจี แลลำนำต้องจบลง เพราะเสียงปรบมือจากผู้มาใหม่ พรายงามแลหันไปตามเสียง ปรากฏพรายร่างสูงใบหน้าคมคายสง่างามสมชายชาตรี เรือนผมสีเทา สวมอาภรณ์สีเทาดั่งสีเกศาที่ยาวจรดกลางหลัง นัยน์สีเข้มแวววาวสดใสดุจรัตนชาติ


    "ไพเราะนัก แค่ใบไม้ใบเดียวเจ้าสามารถบรรเลงลำนำแสนเสนาะหูได้อย่างไร้ที่ติ" สุรเสียงทุ้มกังวาลเอ่ยเชยชม ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าพรายงาม ที่นั่งหน้าฉงนเอียงคอมองอีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างเดียงสา


    "เจ้าเป็นใคร" พรายงามเอ่ยอย่างสุภาพ เขารู้สึกว่าพรายตรงหน้าไม่ใช่สามัญชนเป็นแน่ ดูสูงศักดิ์กว่าพรายตนใดที่เขาเคยเห็น เกศาสีเทาเป็นประกายแปลกตา ส่วนมากเขาเห็นแต่สีดำขลับโนลดอร์ หรือสีทองอร่ามของวันยาร์ แลสีเงินยวงของเทเลริ


    "ข้ามีนามว่า เอลเว พรายแห่งเทเลริ" พรายงามพยักหน้ารับรู้ช้าๆ ก่อนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อระลึกได้ว่าเอลเวคือผู้นำแห่งเทเลริ เขาจึงลุกขึ้นโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขอโทษ


    "ขออภัยที่หยาบคายใส่ท่าน ข้าไม่ทราบว่าท่านคือผู้นำแห่งเทเลริ" เมื่อกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีเข้ม หัวใจของพรายงามเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะสายตาที่เอลเวมองตอบ สายตาที่แฝงนัยบางอย่างที่เขาไม่อาจอนุมานได้ วงหน้างามหันหลบสายตาหวานชื่นนั้นอย่างเขินอาย


    "เจ้าไม่ผิด ข้าต่างหากที่มาขัดจังหวะเจ้า นามของเจ้าเล่า เจ้ามีนามว่าอะไร"เอลเวเชยคางมนขึ้นให้หันมาสบตาอย่างอ่อนโยน เขาพิศมองใบหน้างามอย่างหลงใหล ในใจเอ่ยชื่นชมอยู่ไม่ขาด เขาชื่นชอบนัยน์ตาสีนิลมณีและเรือนผมสีดำขลับอย่างมาก แม้ส่วนมากชาวโนลดอร์ส่วนมากจะมีสีผมและนัยน์ตาสีนี้แต่พรายงามตรงหน้าเขาดูต่างออกไป


    "ฟินเว" พรายงามเอ่ยอย่างแผ่วเบา แก้มขาวขึ้นสีจางๆ โดยไม่รู้ตัว


    "ฟินเว" พรายเทเลริเลิกคิ้วฉงน แล้วยิ้มขึ้นบางๆ "ฟินเวผู้นำแห่งโนลดอร์ ผู้ปราดเปรื่องท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าเลยนะ"


    ฟินเวไม่เอ่ยอะไรเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลังจากรู้สึกหายใจไม่สะดวกอย่างน่าประหลาดใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับแขนตัวเองหลวมๆ ก้มหน้ามองพื้นเงียบ พรายแห่งเทเลริขันเบาๆ กับท่าทางเคอะเขินของผู้นำแห่งโนลดอร์ จากเกียรติศักดิ์ที่เขาไปยินมาฟินเวเป็นพรายที่สง่างามและเข้าถึงได้ยาก มักเก็บตัวและสัญจรลำพังในป่าอยู่เนื่องๆ แต่จากที่ได้เห็นจากตาวันนี้เขาว่าฟินเวเป็นพรายที่ขี้อายได้น่ารักน่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง


    "ข้ารบกวนท่านรึเปล่า ดูเหมือนท่านไม่อย่างคุยกับข้า" เอลเวเอ่ย เสียงนุ่มดังกังวาลในโสตดุจเสียงดนตรีบรรเลงในห้วงอารมณ์ของการทอดรัก ฟินเวเผลอตกลงไปในภวังค์นั้นอย่างลืมตัว เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมือหนาเกลี่ยปอยผมสีเข้มของเขา


    "มะ- ไม่ ข้าแค่..."ฟินเวเงยหน้าขึ้นสบตา คำพูดเมื่อกี้ถูกกลืนลงไปหมด เขาเอ่ยคำใดๆไม่ออกเลยเมื่อเห็นนัยน์ตาสีเทาจ้องมาด้วยสายตาที่แทบจะเผาผลาญในดวงหทัยเขาละลายเหลว วงหน้างามร้อนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เอลเวยิ้มละไม


    "แค่อะไรท่านโนลดอร์"เอลเวรู้สึกอย่างเย้าแหย่พรายโนลดอร์มากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีเขินอายจนแก้มแดงสุกเป็นผลเชอร์รี่ เขาขยับเข้าไปประชิดตัวพรายงาม ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดที่หน้าผากมนอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังประเล้าประโลมให้หวั่นไหวยิ่งขึ้น ฟินเวชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อรู้สึกถึงลมร้อนที่เป่ารดใกล้ๆ ใบหน้าของตน


    "แค่คิด- อะไรเพลิน" ฟินเวเอ่ยตะกุกตะกัก เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดในตัวเองไม่น้อย พรายราชแห่งโนลดอร์หายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว "ข้าขอตัวก่อน ข้ามีธุระต้องไปดูแลชาวโนลดอร์ของข้า ข้าละทิ้งพวกเขามานานแล้ว"


    แล้วร่างงามก็หันหลังเดินจากไปในทันที เอลเวยิ้มอย่างพึงพอใจและยืนมองพรายแห่งโนลดอร์จนลับตา


    'เราจักได้พบกันอีกฟินเว และถึงครานั้นจะไม่ปล่อยให้ท่านหลุดมือไปดอก'


    .
    .
    .

    จากวันนั้นฟินเวก็ไม่เคยไปสัญจรในพงไพรนั้นอีกเลย มิใช่เพราะจะหลบหนีเอลเว แต่เพราะช่วงนี้มีข่าวคราวว่าเหล่าเอลฟ์ถูกจับตัวระหว่างเดินท่องเที่ยวในป่า ด้วยความเป็นห่วงกลัวผู้นำของตนต้องได้รับอันตรายชาวโนลดอร์จึงขอร้องให้องค์ฟินเวประทับอยู่ในบริเวณอาณาเขต และให้ไปสัญจรในป่าเพียงลำพังดังก่อน ในฤทัยขององค์ราชโนลดอร์ปรารถนาอย่างยิ่งยวนที่จะกลับไปที่ป่านั่น เพื่อหวังว่าจะได้เจอพรายแห่งเทเลริผู้สูงศักดิ์


    "เสียงของร้องของอาชา พรานโฉดนั่นกลับมาอีกแล้ว" บริวารผู้หนึ่งร้องขึ้น ปลุกให้ฟินเวตื่นจากภวังค์


    "ข้าจะไปดูหน้าพรานนั่น ข้าไม่ปักใจเชื่อข่าวลือไร้สาระนั่นดอก" ฟินเวเดินไปตามเสียงอาชาที่ร้องกึกก้อง พรายตนอื่นเอ่ยห้ามปรามก็หาได้ฟังไม่ พรายงามย่างก้าวอย่างมั่นคง เมื่อเดินมาถึงก็หาได้มีเพียงตนที่กล้าพิสูจน์ความจริง ยังมีอิงเวผู้นำแห่งวันยาร์ผู้งดงามและสูงศักดิ์ที่สุดในบรรดาชนเอลดาร์ และเอลเว... ฟินเวรีบหลบหน้าทันที เขากลับมาสนใจผู้เป็นนายแห่งอาชาที่ตกเป็นข่าวลือ


    ฟินเวตะลึงงันและรับรู้ได้ทันทีว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้ามิใช่พรานโฉดดังข่าวลืออ้าง เพราะองค์ผู้ทรงอาชาหาได้มีเงามืดกล้ำกรายไม่ หากมีแต่มีแสงแห่งอามันในพระพักตร์ ทำให้พรายทั้งสามรู้ได้ทันทีว่านี้คือองค์วาลาร์ และได้รู้ภายหลังว่า พระองค์คือ เทพโอโรเม เทพแห่งพงไพร ทรงแถลงว่าเอลฟ์ที่หายตัวไปเป็นฝีมือของเมลคอร์ศัตรูของเหล่าวาลาร์ และหลังจากนั้นองค์โอโรเมก็รีบเดินทางกลับอามัน ทรงเร่งรีบไปแจ้งข่าวให้องค์มานเวราชาธิราชของวาลาร์ ถึงความชั่วร้ายของเมลคอร์ที่มารุกรานเหล่าเอลดาร์ ด้วยความรักที่เหล่าวาลาร์มีต่อเอลดาร์บุตรแห่งอิลูวาทาร์ จะลงมติให้นำเหล่าเอลดาร์มาพำนักที่อามันชั่วนิรันดร์


    เทพโอโรเมกลับมาหาเหล่าเอลดาร์ของพระองค์อีกครั้ง ทรงชักชวนให้บุตรแห่งอิลูวาทาร์ ย้ายถิ่นฐานไปอามัน แต่เหล่าเอลดาร์รักมัชฌิมโลก รักแสงดาวบนนภา ด้วยเหตุนี้องค์โอโรเมจึงพาสามผู้นำแห่งเอลดาร์ไปยลอามัน ไปยลพฤกษาแห่งวาลินอร์ ทั้งสามผู้นำเดินทางอย่างยากลำบาก เพราะเส้นตรงไปอามันนั้นยาวไกลแต่ก็มิได้บั่นทอนความมุ่งมั่นของพวกเขา


    อิงเวเดินข้างเทพโอโรเมที่ทรงอาชาแกร่ง ตามด้วยฟินเวและเอลเวรั้งท้าย เอลเวชอบเดินเถลไถลชมนกชมไม้ไปเรื่อยจนทำให้เดินรั้งท้ายอยู่เสมอ ฟินเวเหลือบมองพรายแห่งเทเลเริไม่ขาด เพราะกลัวนักว่าพรายเจ้าจะหลงทาง หรือโดนสัตว์ร้ายทำร้าย แต่พอพรายผมเทาหันมาสบตา พรายงามก็หันหน้าหนีทำเป็นเฉยไม่รู้ไม่ชี้ เอลเวยิ้มบางๆ อย่างชื่นอารมณ์ แลเมื่อเห็นว่าอิงเวกับพูดคุยกับเทพโอโรเมโดยไม่ได้สนใจสหายสองคนด้านหลัง เอลเวจึงเร่งฝีเท้าไปเดินเคียงพรายแห่งโนลดอร์


    "เดินดีๆ สิฟินเว" เขากระซิบข้างหูของพรายงาม ที่เดินก้มหน้าไม่สนใจสิ่งรอบข้างขนาดเขาอยู่ข้างๆ ยังไม่รู้สึก "เหม่อนักระวังสะดุดล้ม" ฟินเวหดคอข้างที่อีกฝ่ายกระซิบบอก มันรู้สึกเสียวซ่านแปลกๆ วงหน้างามร้อนขึ้นอีกครั้ง พรายเทเลริยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่แกล้งฟินเวได้สำเร็จอย่างง่ายดาย


    "ท่านนั้นแหละจะท่านให้ข้าตกใจสะดุดล้ม" ฟินเวดุเบาๆ แล้วเร่งฝีเท้าหนี แต่เอลเวคว้าข้อมือไว้ก่อนทำให้ฟินเวเซเสียหลัก เอลเวดึงร่างบางนั้นเข้าหาตนเอง ทำให้บัดนี้ร่างบางถูกโอบกอดไว้หลวมๆ อิงเวและเทพโฮโรเมมิได้สนใจจึงไม่ได้หยุดรอทั้งสองที่ยืนเงียบด้านหลัง


    "ท่านเอลเว องค์โอโรเมจะลับตาแล้ว"ฟินเวเอ่ยอย่างแผ่วเบา เขายืนแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว วงแขนของพรายอาภณร์เทาโอบรอบตัวของพรายงาม รวบแขนทั้งสองไว้อีกต่างหาก ใจของฟินเวเริ่มรัวดังกลองอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดปลายหูอยู่ไม่ขาด ยิ่งทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างอธิบายไม่ถูก


    "ไม่ดอก เราไม่หลงดอก ฟินเว" เสียงนุ่มกล่าวกระซิบข้างหู ฟินเวหดคอเอี้ยวหลบอีกครั้ง เขาหายใจติดๆขัดๆ และเผลอกลั้นหายใจเมื่อเอลเวยืนหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอ และสัมผัสเรือนผมของเขาอย่างอ่อนโยน "เจ้าช่างงดงามเสียจริง รู้ตัวมั๊ย"


    ฟินเวสะดุ้งเบิกตากว้างอย่างตกใจกลับสิ่งที่ได้ยิน มันทำให้พรายงามยิ่งหายใจลำบาก ใจเต้นแรงมากเหมือนจะหลุดออกจากอกให้ได้ แล้วมือของเอลเวก็รวบเกศาสีนิลออกจากคอระหง พรายงามกลั้นหายใจอย่างลืมตัวเมื่อรู้สึกถึงลมร้อนที่เป่ารดคอ ไม่รีรอริมฝีปากนุ่มก็จรดลงคอระหงที่ขาวนวลเนียน แล้วเคลียคลอปลอบโยนอย่างหวานซึ้ง พรายแห่งโนลดอร์ระบายหายใจยาวๆ ระรวยริน รู้สึกเสียวซ่านไปทุกอณู


    "เสียงหายใจช่างยั่วยวนนัก" เสียงทุ่มเอ่ยกระซิบกระซาบ พลางกระชับวงกอดให้แนบแน่นมากขึ้น พรายงามเผลอร้องครางออกมาเบาๆ เมือริมฝีปากนั้นไล่หยอกเย้ามาที่ปลายเรียวที่ใบหู ร่างงามดิ้นขืนเล็กน้อย ฟินเวพยายามครองสติแล้วเอ่ยขอร้องอย่างยากเย็น


    "เอลเว ดะ- ได้โปรดหยุดเถิด....เราห่างจากองค์โอโรเมมากแล้วนะ" เอลเวหยุดตามคำขอร้อง เขาคลายกอดออกอย่างว่าง่าย แต่ไม่ยอมปล่อยมือเรียว กุมไว้หลวมๆ


    "งั้นเราเดินไปพร้อมกัน" รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้น ฟินเวรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ากว่าเดิม เขาไม่พูดอะไรอีกเลยจนเดินตามทันเทพโอโรเม ใช้เวลาอยู่นายกว่าทั้งสองจะเดินทางถึงอามัน อิงเว ฟินเว และเอลเวได้เข้าเฝ้าองค์มานเวผู้สร้างพวกเขาขึ้น และได้เห็นความสวยงามของอามันเต็มตา เอลฟ์ทั้งสามหลงใหลให้พฤกษาแห่งวาลินอร์ในทันที พวกเขาตั้งปณิธานในทันทีว่าจะย้ายถิ่นมาที่อามัน


    เมื่อกลับมาที่มัชฌิมโลกอีกครั้ง พวกเขาทั้งสามจึงเริ่มชักชวนเหล่าบริวารของตนให้ย้ายถิ่นฐานไปอามันอย่างไม่รีรอ ฝั่งชาววันยาร์และโนลดอร์ทั้งหมดรับข้อเสนอนี้ทันที ในขณะที่ชาวเทเลริบางส่วนไม่ปักใจเชื่อในความงามของอามัน แต่ปรารถนาจะตั้งหลักของที่มัชฌิมโลกไม่ย้ายไปไหน


    เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเทพโอโรเมก็นำขบวนเอลดาร์มุ่งไปยังอามันดินแดนแห่งอมตะ ขบวนของวันยาร์รุดหน้าไปเร็วอยู่หน้าขบวน แต่ชาวโนลดอร์และเทเลริไม่รีบร้อน เดินไปอย่างช้าๆ พลางชมธรรมชาติข้างทาง แต่หลายๆ ครั้งเหล่าเอลดาร์ตั้งหยุดเดินเพราะองค์โอโรเมมีกิจธุระแทรกเข้ามา ยามนั้นไม่ปลอดภัยที่เดินทางต่อทำให้ต้องหยุดพัก แต่ละครั้งใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้เดินทางต่อ


    ในเวลาที่หยุดพักสัญจร เอลเวมักจะชวนฟินเวเข้าไปตามป่าข้างๆ เส้นทาง ชาวเทเลริทุกคนรักการสัญจรเป็นนิสัยแต่กำเนิด ทำให้อดใจไม่ไหวเมื่อเดินทางมาถึงสถานที่แปลกใหม่ ทุกครั้งเอลเวไม่เคยล่วงเกินฟินเวมากไปกว่าการกอด หรือจับมือ ทำให้ฟินเวรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากขึ้น เพราะตอนแรกๆ ฟินเวหลบหน้าเอลเวตลอดหลังจากเหตุการณ์ที่พวกเขาเดินทางไปอามันก่อนหน้านี้


    พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ไปไหนด้วยกันตลอดทำให้เหล่าบริวารของทั้งสองตระกูลเริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้น เริ่มรู้สึกเป็นครอบครัว มิตรสหาย และผูกพันเป็นคู่รักให้หลายๆ คู่ และครั้งนี้เอลเวก็ชวนฟินเวมาสัญจรชมวิหคพงไพรอีกครั้ง พรายงามยิ้มแย้มแจ่มใสงดงามกว่ามวลบุปผาเสียอีกในความเห็นของเอลเว


    ฟินเวเด็ดใบไม้มาเป่าบรรเลงลำนำเสียงหวานให้เอลเวฟังตามคำขอ พรายงามนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ ส่วนพรายราชเทเลริก็นอนหนุนตักเหมือนเด็กๆ ระหว่างที่ฟินเวเป่าเพลงเอลเวก็รวบผมสีเข้มมาปักเปียเล็กๆ อย่างเพลิดเพลิน เสียงใสๆ จบลงใช้เวลาไม่นานนัก ฟินเวก้มมองวงหน้าที่เงยสบตาอยู่บนตักของตน สายตาของเอลเวบ่งบอกถึงความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง มันเร่าร้อนพอที่จะหลอมให้ฟินเวละลายเหลวไปในพริบตา


    "ไพเราะเสมอเพลงของเจ้า ฟินเว" เจ้าของเกศาสีทองเอ่ยอย่างแผ่วเบา เขาเอื้อมมือไปคลอเคลียที่แก้มขึ้นสีของพรายงามหนนี้ฟินเวไม่หลบมือของเขา แต่กลับกุมไว้หลวมๆและสอดนิ้วเข้าประสานส่ายหน้าคลอเคลียฝ่ามือนั้นอย่างแช้มช้า เอลเวเบิกตากว้างอย่างฉงนใจ และก็ระบายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ พรายงามสบตากับจ้าวเทเลริอีกครั้ง จุมพิตลงหลังมือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เอลเวยันตัวขึ้นจากตักของจ้าวโนลดอร์ แลมอบจุมพิตให้ เป็นเพียงการสัมผัสที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วผละออกอย่างอ้อยอิ่ง เขาเกลี่ยเกศาสีเข้มทัดหูให้ฟินเว เหมือนบริเวณจะเป็นจุดอ่อนไหวของพรายงามทุกครั้งที่สัมผัสเพียงแผ่วเบา วงหน้างามก็แดงรื่อเป็นทวี


    "ฟินเว" เมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อไม่มีท่าทางขัดขื่นใดๆ เอลเวจึงมอบจุมพิตให้อีกครั้ง ริมฝีปากบางถูกขบเม้มเบาๆ มือหนาประคองใบหน้างามไว้หลวมๆอย่างทะนุถนอม เอลเวเริ่มรุกเร้าหนักขึ้น ประกบแน่นจนฟินเวเผลออ้าปากเชิญชวนในเอลเวเขามาสำรวจมากขึ้น เอลเวแทรกลิ้นเข้าไปช้าๆ เพื่อปลอบโยนพรายงามที่ตื่นกลัว ลิ้นสากกวาดตามไรฟัน สัมผัสเพดานบนและกระพุ้งแก้ม มือของเอลเวเริ่มลูบไล้ไปใต้เนื้อผ้าอย่างแผ่วเบา ฟินเวกระะตุกเกร็งทุกครั้งที่มือนั้นสัมผัสผิวกาย เอลเวก็ทำทุกอย่างอย่างช้าๆ รสจูบที่หอมหวานพาให้ฟินเวล่องลอยดุจปุยนุ่น แล้วจูบก็เริ่มเร่าร้อนขึ้น สิ้นทั้งสองพันเกี่ยวแลกสัมผัสอย่างเร่งเร้า เอลเวก็เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของพรายงาม เขาถอดริมฝีปากออกเมื่อรู้สึกว่าฟินเวใกล้หมดลมหายใจ


    แต่มิได้หยุดพัก พรายเทเลริฝังริมฝีปากขบเม้มที่คอระหง ไล่ขึ้นที่ใบหู พรายงามครางขึ้นบางๆ มือเรียวโอบคอแกร่งไว้ระบายอารมณ์ที่เดือดพร่านในตัว ยิ่งโดนขบที่ใบหู พรายงามยิ่งร้องครางออกมาเสียงดัง ร่างงามบิดเร่าไปมาอย่างเผลอตัว เอลเวจับฟินเวนอนราบกับพื้นหญ้า เริ่มเชยชมเรือนร่างงาม เขาหยอกเย้าที่ยอดอกสีหวานขบเบาๆ ร้องเสียงหวานให้ร้องครางอย่างเย้ายวน


    "ฮา... เอลเว ข้า- อึด....อัด" ฟินเวเอ่ยกระสับกระส่าย เขาแอ่นหลังขึ้นอย่างเผลอไผลเมื่อลิ้นร้อนลากผ่านหน้าท้องแบนราบ มือจิกต้นหญ้ามิคลาย เอลเวยิ่งรู้สึกพึงพอใจเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทางคล้อยตามกับสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ เอลเวหยอกเย้าอยู่ที่ต้นขาของพรายงาม ฟินเวแทบจะขาดใจตายให้ได้ เมื่อพรายผมเทาไม่ยอมสัมผัสส่วนที่ตนปรารถนาทั้งที่มันอึดอัดจนแทบจะระเบิด


    "เอลเว ได้โปรด หยุดแกล้ง!" ฟินเวพยายามประหยัดคำพูดให้มากที่สุด เอลเวทำตามปรารถนาของพรายงาม เขากอบกุมไปยังความยาวแข็งขืนแล้วค่อยๆ รีดเค้น เอลเวก็เริ่มขยับมือขึ้นลงตามความยาวแข็งกร้าว ฟินเวหอบหายใจหลับตาแน่นแล้วโอบรัดร่างสูง เผลอข่วนหลังไปหลายครั้ง


    "เอล......เว.......อ๊ะ" ฟินเวไม่อาจทนต่อแรงปรารถนาได้อีก เขาปลดปล่อยออกมาความสุขสมพุ่งถึงขีดสุด ฟินเวผ่อนคลายลง นอนหอบหายใจระรวยริน แต่เอลเวไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายกมือที่เปอะเปื้อนของเหลวขุ่นขึ้นมาจรดปากและไล้เลีย ฟินเวหน้าตาแดงก่ำขึ้นอีก เขาไม่คิดว่าเอลเวจะยอมลิ้มรสเขา แต่ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยเอลเวก็บรรจงสัมผัสลงจุดอ่อนไหวของเขา และแทรกนิ้วเข้าไปในช่องทางที่บิดรัด


    "เอล....เว...ท่านไม่.....ต้อง อ่ะ" ไม่ทันได้พูดจบฟินเวก็รู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง จากการปลุกเร้าที่เอลเวมอบให้ ลิ้นสากไล้ไปตามความยาวที่สั่นสะท้าน ฟินเวรู้สึกว่าครั้งนี้เร่าร้อนกว่าเดิมมาก เมื่อส่วนอ่อนไหวของเขาถูกเอลเวครอบครองทั้งดูด ขมและเม้มสลับไปมา ซ้ำถูกรุกเร้าจากด้านหลัง ทำให้ความสมสุขพวยพุ่งออกมารุนแรงกว่าครั้งก่อนอย่างมาก


    "อ๊ะ....อ๊า" ฟินเวแอ่นหลังรับสัมผัสจากด้านหลัง เขาบีดรัดนิ้วของเอลเวไม่คลาย เอลเวเร่งจังหวะมากขึ้นสัมผัสหนักหน่วงแนบแน่นขึ้นอีก ฟินเวก็เริ่มหมดความอดทน เสียงครางดังมิขาด มือเรียวแทรกเข้าไปใต้เรือนผมสีเทาที่นุ่มนวลดุจใยไหม


    "เอลเว!" ฟินเวปลดปล่อยอีกครั้ง ครั้งที่มากกว่าเดิมนัก น้ำสีมุกเปอะเปื้อนปิ่มล้นออกจากริมฝีปากของเอลเว แต่พรานเทเลริก็กลืนกินจนหมดไม่เหลือแม้เพียงหยดเดียว ฟินเวหอบหายใจถี่ปานจะขาดใจก็ไม่ปาน เอลเวเริ่มปลดอาภรณ์ของตนเองแล้วถอดนิ้วออกทันที ทำให้ฟินเวสะดุ้งเฮือก


    "ผ่อนคลายนะ ฟินเว" เอลเวแยกขาของพรายงามออก แล้วสอดตัวเข้าไปอย้างแช่มช้า ฟินเวจิกแผ่นหลังแกร่งแน่น เอลเวพยายามจูบปรอบโยนมิขาด แล้วเมื่อสอดเข้าไปจนสุดตัว เอลเวก็หยุดนิ่งรอให้ฟินเวพร้อมกว่านี้


    "พร้อมมั๊ย" ฟินเวไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าอย่างเขินอาย แล้วเอลเวก็เริ่มขยับตัวช้า ๆ แรงกระแทกลึกล้ำและเชื่องช้า เขาถอดออกไปกว่าครึ่ง จากนั้นจึงกดกระแทกอีกครั้ง เลื่อนมือไประหว่างร่างพวกเขาและคว้าส่วนสะท้านไหวของฟินเว เริ่มขยับไปมาตามจังหวะกระแทก การเคลื่อนไหวเริ่ม แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเนินนานเสียงครางสุขสมดังไม่ขาด ร่างทั้งสองแนบแน่นจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน หยาดเหงื่อผุดพรายประดับทั่วเรือนร่าง แล้วทั้งสองก็ถึงพร้อมกันอย่างหมดเรี่ยวแรง



    "ข้ารักเจ้านะ ฟินเว" เอลเวเอ่ยกระซิบข้างหูเสียงนุ่มหวานละมุม เขาโอบร่างงามไม่ปล่อย พรายโนลดอร์พยักหน้ารับรู้และมุดหน้าซุกไซ้กับแผ่อกแกร่งของพรายจ้าวแห่งเทเลริ "พอไปถึงอามันเราจะอยู่กันชั่วนิรันดร์"


    "นิรันดร์"ฟินเวงึมงำแล้วเผลอหลับไป


    เจ้าสัญญาว่าจะอยู่กับข้าชั่วนิรันดร์ เอลวา...


    เจ้าสัญญา...


    TBC






    คุณ HIDE.Dawn ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Jan 20 2014, 10:09 PM



    Not a day goes by that I don't think of you.
    ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงคุณ
    Go to the top of the page
    +Quote Post

    Closed TopicStart new topic

     



    RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 27th April 2024 - 10:43 PM