IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> [FICTION] Final Fantasy XV
Metchanruna Gros...
โพสต์ May 31 2020, 03:21 PM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง







คุยกันก่อน


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไฟนอลภาคสิบห้าเท่านั้นนะคะ ไม่มีภาคอื่นนะ ไม่ใช่เรื่องแรกที่แต่งแต่เป็นเรื่องแรกที่เอามาลงที่นี่ ยังไงผิดพลาดประการใดสามารถติชมกันได้ค่ะ (ช่วยกันพัฒนาเนอะ) ต่อไปนี้ในหน้าฟิคขอแทนตัวเองว่าไรต์ และเรียกผู้อ่านว่ารีด หรือรีดเดอร์นะคะ

สำหรับคู่ชิปนั้นเป็น ยาโตะ (ตัวละครที่มโนขึ้นมาเอง) x น็อคทิส นะคะ (จะเรียกว่าคู่ชิปได้ไหมเนี่ย) เมะสวยเคะหล่อค่ะ (สไตล์ผู้แต่งล้วน ๆ) ด้วยความที่อยากให้น็อคคุงเป็นรับ ให้คู่กับอาร์ดินก็ยังไงอยู่เพราะนี่ชิป อาร์ดิน x เรวัส กับกลาดิโอยิ่งแล้วใหญ่ นางมีพ่อครัวประจำกลุ่มอิกนิสอยู่แล้ว ไรต์เรียกคู่นี้ว่าคู่พ่อแม่ค่ะ (ฮา) เป็นคนที่ไม่เปลี่ยนเรือด้วย พรอมพ์โตรายนั้นก็รับไม่ได้ถ้าจะให้นางไปรุกน็อคคุง สรุปก็คือแต่งเมะเองซะเลย (โหว!)

ส่วนเนื้อเรื่องนั้นจะอ้างอิงจากเกมไฟนอลแฟนตาซีภาคสิบห้าเยอะพอสมควรนะคะ แต่จะปรับเปลี่ยนเล็กน้อย (มั้ง) คาดว่าช่วงกลาง ๆ เรื่องจะน่าเบื่อหน่อย อ่านข้าม ๆ ไปก็ได้ค่ะ (ไหงงั้น?) ทั้งนี้ถ้าเนื้อเรื่องขาด ๆ เกิน ๆ ยังไง หรือคิดว่าแปลกตรงไหนสามารถแนะนำกันได้นะคะ (ยังใหม่กับการแต่งฟิคเหมือนกันค่ะ) ไม่รู้ว่างานนี้จะถูกใจรึเปล่า แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เปิดใจกดเข้ามาดูนะคะ <3





*คำเตือน*

1.เรื่องนี้เป็นฟิควาย หรือชายรักชาย

2.อาจมีคำพูด, อิริยาบทที่หยาบคายบางช่วง และมีเนื้อหาที่ไม่ค่อยเหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

3.เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากผิดพลาดประการใด มีพาดพิงถึงใคร หรือเหมือนกับนิยายเรื่องไหน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

4.ห้ามนำฟิคเรื่องนี้ไปทำซ้ำ เพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไข หรือด้วยวิธีการใด ๆ ที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

5.ขอให้รีดเดอร์ทุกคนมีความสุขกับการอ่านฟิคให้เต็มที่ค่ะ







Facebook >>> Metchanruna Grossipponry

วิจารณ์ผลงาน >>> [FICTION] Final Fantasy XV





คุณ Metchanruna Grossipponry ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ Jun 6 2020, 04:12 PM



MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ May 31 2020, 03:44 PM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 1



ในอดีตกาล โลกนั้น...คือดาวที่สงบสุข ปราศจากสงคราม การเข่นฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ ผู้คนต่างอาศัยอยู่ภายในโลกใบนี้อย่างสงบสุข...สุขเสียจนน่าขนลุก มิใช่พระเจ้าหรอกหรือ ที่โปรดประทานภัยพิบัติ และเหล่าผู้คนที่เลวทรามนั้น ยิ่งนานวันเข้ามันก็ยิ่งเลวร้าย มีการแบ่งเผ่าพันธุ์และชนชั้น มีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจมนตร์ตรา แย่งชิงผืนแผ่นดินเกิด แย่งชิงสายน้ำที่ใช้ดื่มกิน

มิใช่เพราะพระเจ้าหรอก แต่เป็นเพราะตัวมนุษย์เองต่างหาก ที่เกิดความลุ่มหลงในชั่วขณะ จนกลายเป็นภัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ คนเลวได้ดิบได้ดี แต่คนดีกลับตกต่ำจมดิน เกิดความแค้นและความเกลียดชังขึ้น คนดีค่อย ๆ กลายเป็นคนเลว ต่างเริ่มคิดถึงเพียงแต่ตนเอง ดูหมิ่นผู้ที่ต่ำต้อย ขจัดผู้ที่อ่อนแอกว่า จนกลายเป็นสงครามไปทั่วทุกทิศา ไม่มีใคร...สามารถหยุดยั้งมันได้ ยกเว้นแต่...ตัวของพวกท่านเอง

สงครามคือการสนทนาอย่างหนึ่ง เป็นการสนทนาด้วยการต่อสู้ แทนที่จะพูดคุย เอาดาบฟาดฟันกันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ มันจะไม่เข้าใจกันมากกว่าหรือ เพราะเมื่อคนฟังมันงี่เง่ามากนัก คนพูด...ก็จะไม่เลือกวิธีเช่นกัน

กำลัง ก็มิใช่ว่าจะยุติเรื่องทุกอย่างได้ การใช้กำลังคือการเพิ่มโทสะให้กับผู้ที่กระทำและผู้ที่ถูกกระทำ ยิ่งใช้ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นเพราะอย่างนี้ไงเล่า...บรรพบุรุษของพวกเรา จึงสอนให้พวกเราอ่อนน้อมถ่อมตน พูดหวานดีกว่าพูดข่ม เป็นการยุติการทะเลาะเบอะแว้ง ก่อนที่จะเกิดสงครามที่มาจากความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ทำให้เหล่าผู้ที่ไม่รู้ประสีประสาเดือดร้อนไปด้วย ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข ทุกทางตันย่อมมีทางออก เพราะฉะนั้น ‘จงใช้กำลังความคิดที่ท่านมี...แก้ไขมันซะ’

.

.

.

ตึกตึกตึก!

เสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบดังขึ้นกลางห้องโถงขนาดใหญ่ภายในพระราชวัง

......“องค์ชายน็อคทิส จะเสด็จไปไหนหรือพะยะค่ะ!”

......“เรื่องของฉัน นายไม่ต้องยุ่ง!” เสียงดังกังวานฟังดูแข็งกร้าวเอ่ยลั่นห้องโถง เด็กหนุ่มรูปงามอายุได้เพียงแปดปี กำลังไล่ฝีเท้าเหยียบย่ำพื้นในโถงใหญ่ที่ถูกปูด้วยพรมขนสัตว์สีแดงสด ‘องค์ชาย น็อคทิส ลูซิส เคลัม’ เขาคนนี้คือรัชทายาทเพียงคนเดียวของราชวงศ์ลูซิส

ฟุบ!

น็อคทิสกระโดดลงจากหน้าต่างกว้างของพระราชวัง ใช้เวทมนตร์รองรับเท้าทำให้ไม่รู้สึกเจ็บแม้จะหล่นลงมาหลายชั้นก็ตาม

......“องค์ชายน็อคทิส เสด็จกลับมาก่อนเถอะพะยะค่ะ ท่านมีเรียนเต้นรำต่อนะพะยะค่ะ!” ‘ฟรานส์ ซิริธติน’ ทหารคนสนิทกล่าวบอกจากทางหน้าต่างด้านบนของพระราชวัง

......“ฉันจะกลับไปให้โง่รึยังไงเล่า ทำไมฉันต้องเรียนมากกว่าคนอื่นด้วย!” น็อคทิสพูดพลางเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยสายตาไม่ยอมแพ้

......“แหม ก็ท่านเป็นเจ้าชายนี่พะยะค่ะ” อีกฝ่ายว่าเสียงอ่อน

......“งั้นฉันก็ไม่อยากเป็นเจ้าชายแล้วละ” พูดจบ น็อคทิสก็เริ่มวิ่งห่างออกไปจากพระราชวัง

......“องค์ชายน็อคทิส รอกระหม่อมด้วยพะยะค่ะ!” น็อคทิสไม่สนใจจะฟังคำพูดของฟรานส์ และวิ่งเข้าไปในป่าใหญ่

ป่าของลูซิสนั้นเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก มีแม่น้ำลำธาร และภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ห่างจากพระราชวัง เวลาที่เขาเหนื่อยกับอะไรหลาย ๆ อย่าง ก็มักจะมานั่งเล่นที่ป่านี้บ่อย ๆ

น็อคทิสลดความเร็วลง เมื่อเห็นว่าตัวเองออกห่างจากพระราชวังมาพอสมควรแล้ว

......“เฮ้อ...หนีมาได้สักที ฟรานส์ เจ้าบ้านั่น คิดว่าเราจะทนกับตารางเรียนแบบนั้นได้ยังไงกัน” น็อคทิสสบถย่างไม่พอใจ

พรึบ!

......“!” ขณะที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ต้นประจำ บางอย่างก็ปลิวผ่านสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็ว น็อคทิสเสมองไปตามสายลม เห็นกลีบกุหลาบสีดำปลิวว่อนม้วนไปมาราวกับเกลียวคลื่น

คนผมดำลุกขึ้นยืนอย่างฉงน เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าในป่าของลูซิสมีดอกกุหลาบสีดำอยู่ด้วย น็อคทิสหันไปทางที่ยังมีกลีบดอกกุหลาบสีดำพัดผ่านมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ด้วยความสงสัย จึงพาตัวเองเดินตามสายลมนั้นไป

พอผ่านพุ่มไม้ใหญ่ ก็พบกับทุ่งดอกกุหลาบสีดำที่กว้างขวางและยาวสุดลูกหูลูกตา น็อคทิสมองมันด้วยความตกตะลึงปนสับสนว่าทำไมถึงมีดอกกุหลาบสีดำมากมายขนาดนี้ ก่อนจะไปสะดุดตากับคนคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกกุหลาบ เขามีเรือนผมสีขาวโพลน ตัดกับกลีบกุหลาบเข้าอย่างจังจนโดดเด่นยิ่งกว่าสิ่งใด
น็อคทิสขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย ยังมีพวกว่างงานมานอนเล่นอยู่แถวอีกหรอกหรือ

ในจังหวะที่กำลังคิดเกี่ยวกับชายปริศนาคนนั้น ขาก็เกือบก้าวออกจากบาเรียที่คอยคุ้มหัวอยู่ น็อคทิสผงะ เพราะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไป จริงสิ ถ้าผู้ชายคนนั้นอยู่นอกเขตบาเรียก็แปลว่าไม่ใช่คนของลูซิส งั้นเขาเป็นใครกันล่ะ ชาวลาลูน่าที่อยู่เมืองข้าง ๆ หรือคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น

ตึก...ตึก

ด้วยความสงสัย ขาก็ก้าวออกไปก่อนที่สมองจะทันได้คิดอะไร ไม่คิดว่ามันเป็นกับดัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรเมื่อข้ามบาเรียนี่ไป
น็อคทิสเอียงคอมองคนผมขาวชัด ๆ แม้จะไม่เห็นใบหน้าเพราะอีกฝ่ายสวมหน้ากากอยู่ แต่ผิวพรรณผุดผ่อง ขาวเนียนละเอียดยิบทุกตารางนิ้ว สัดส่วนร่างกายอย่างชายเจ้าเสน่ห์ทำให้รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย เส้นผมนั้นก็เงาวับ ดูนุ่มนิ่มราวกับผ้าไหมเนื้อดี สยายตามแนวกุหลาบงาม การแต่งกายเหมือนชาวลาลูน่าเมืองข้างเคียงนัก แต่คนแถวนั้นล้วนแล้วแต่ผิวเข้มกันทั้งนั้น หาคนผิวขาวจัดราวหิมะอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน

น็อคทิสนั่งลงข้างอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ พยายามไม่ให้เกิดเสียงเพราะกลัวจะทำให้คนตรงหน้าตื่น ก่อนจะค่อยๆ เปิดหน้ากากเจ้าของเรือนผมสีขาวออกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วก็ต้องนิ่งสงัด เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัด ๆ

ตึกตัก ตึกตัก

หน้าตาของบุรุษตรงหน้าจัดได้ว่าไร้ที่ติ ช่างประณีตราวกับรูปปั้นช่างฝีมือดีจากยุคกรีก แพขนตายาวราวกับปีกนก จมูกโด่งสวยไม่เชิด หรือโค้งต่ำจนเกินไป รับกับปากบางกระจับอมชมพู น่าลิ้มลองเช่นเดียวกับผลไม้รสหวาน ใบหน้าที่จะบอกว่าหล่อก็หล่อล้มเมือง จะว่างามก็งามล้ำดั่งไข่มุกหายาก แต่ยังไม่ทันได้พินิจจ้องมองอะไรมากนัก ดวงตาเจ้ากรรมก็เบิกโพลง ไล่ขึ้นมองเขาด้วยเนตรสีเหลืองอร่ามอ่อนพร้อมกับรอยยิ้มบาง


เราเจอกันครั้งแรกที่ทุ่งดอกกุหลาบสีทมิฬกาล



......“!” ด้วยความตกใจ น็อคทิสจึงเผลอดันหน้ากากใส่กลับคืนให้คนตรงหน้าเต็มแรง

......“โอ๊ย!” อีกฝ่ายร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บ แล้วหันตัวไปข้าง ๆ เป็นเชิงบรรเทา

......“ท...โทษที” เมื่อได้สติ น็อคทิสก็เอ่ยขอโทษออกไปอย่างลืมตัว

......“ฮะ ๆ ช่างเถอะ” เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

......“เจ็บรึเปล่า”

......“เปล่า ไม่เจ็บเลยสักนิด” น็อคทิสขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเมื่อกี้เสียงใครกันที่ร้องอย่างกับโดนมีดแทง

อีกฝ่ายนิ่งไป ดวงตาคมหลังหน้ากากภูตจิ้งจอกมองสำรวจน็อคทิสอย่างสนอกสนใจ

......“นายชื่ออะไรเหรอ” คนผมดำชะงักไปเล็กน้อย ชั่งใจว่าควรจะบอกชื่อจริงออกไปดีหรือไม่ ลูซิสเป็นอาณาจักรที่ครอบครองคริสตัลแหล่งสำคัญ หัวเมืองน้อยใหญ่รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจล้วนแล้วแต่ต้องการ เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท จะพูดจะทำอะไรควรระวังตัวให้มาก เพราะเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู หรือมิตร

......“น็อค” คนผมดำตัดสินใจบอกไป ถ้าไม่มีนามสกุลละก็ชื่อนี้ในอาณาจักรเขามีเป็นพัน ๆ คนเชียว

......“ชื่อจริงเหรอ”

......“เปล่า” น็อคทิสตอบตามความสัตย์จริง “แต่ถ้าเรียกชื่อนี้ก็จะหัน”

......ได้ยินดังนั้น คนหัวขาวก็หัวเราะรวน “ฉันชื่อยาโตะ”

......“ชื่อจริง?” คนผมดำเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

......“เปล่า แล้วก็ไม่มีใครเคยเรียกด้วย แต่ถ้านายเรียก ต่อไปนี้ฉันชื่อยาโตะ” น็อคทิสมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เห็นสีหน้าด้วยแล้วยิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูก “ถ้านายจะระแวง มันก็ไม่ผิดอะไร แต่ว่านะ...ฉันไม่ใช่ ในสิ่งที่นายกำลังคิดหรอก” เขาบอกเสียงนุ่มนวล ที่ฟังแล้วก็แทบทำให้เคลิ้มตาม “ฉันไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตร นายไม่จำเป็นต้องไว้ใจฉัน ฉันไม่ได้ขอให้นายเชื่อ...เพราะคนที่จะตัดสินใจ คือตัวนายเอง”

สายลมที่ดูเหมือนกำลังหยอกล้อคลอเคลียอยู่กับเส้นผมบางของอีกฝ่าย พัดพาเอากลีบดอกกุหลาบสีดำผ่านใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ แสงแดดที่กำลังจะตกดินกลับพยายามสาดเข้ามา ส่องประกายระยิบระยับทำให้คนตรงหน้าดูราวกับเทพสวรรค์ที่ลงมาโปรดแดนมนุษย์

ก่อง...ก่อง

เสียงระฆังจากหอนาฬิกาของลูซิสดังกังวาน บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น

......“ฉันต้องไปแล้ว” เขาพูดก่อนจะลุกขึ้น ไม่วายหันมาโบกมือให้คนผมดำ “ไว้เจอกันนะ”

......“ไว้เจอกัน...เหรอ” น็อคทิสกระพริบตาปริบ ๆ ทวนคำหลังจากที่อีกฝ่ายเดินห่างออกไปจนแทบลับสายตา ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างลืมตัว

หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ

คุณ Metchanruna Grossipponry ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ May 31 2020, 04:03 PM



MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ May 31 2020, 03:53 PM
โพสต์ #3


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 2




......“องค์ชายน็อคทิส เสด็จกลับมาแล้วเหรอพะยะค่ะ!”

......“หืม?” พอก้าวเข้ามาในปราสาท เจ้าฟรานส์ตัวดีก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาเชียว

......“เป็นห่วงแทบแย่เลยพะยะค่ะ ถ้าหากท่านไม่กลับมา หัวของกระหม่อมคงหลุดออกจากบ่าแน่เลยพะยะค่ะ!”

......“นายก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง พอแล้ว ฉันหิว” น็อคทิสบอกพลางปัดมือไล่อย่างเบื่อหน่าย เดินตรงไปที่ห้องรับประทานอาหารโดยไม่สนใจคำพูดของฟรานส์ต่อ

......“องค์ชายน็อคทิส” เสียงหวานใสที่ฟังดูคุ้นหู เอ่ยขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นทำให้คนผมดำหันขวับกลับไปมองด้วยความดีใจ

......“ลูน่า!” น็อคทิสเหยียดยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตนเอง ‘ลูน่าเฟรย่า น็อคซ์ ฟราวเลย์’ เทพีพยากรณ์สาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ “จะมาทำไมไม่บอกฉันก่อน” เขาสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น

......“ขอประทานอภัยเพคะ ท่านแม่ของดิฉันมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องมาพบท่านรีจิส ดิฉันจึงไม่ได้เขียนจดหมายมาบอกก่อน”

......“องค์หญิงลูน่าเฟรย่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพะยะค่ะ” ฟรานส์โค้งตัว กล่าวทักทายอย่างสุภาพ

......“เช่นกันค่ะ” เธอส่งยิ้มละมุน ทำให้ฟรานส์แทบน้ำตาตกด้วยความตื้นตัน ว่ากันว่ารอยยิ้มของเทพีพยากรณ์ลูน่าเฟรย่านั้นเป็นดั่งยาวิเศษ ได้ยลครั้งหนึ่งอายุยืนไปอีกสิบปี ถ้าหากเป็นอย่างนั้นองค์ชายน็อคทิสของเขาคงอยู่ไปจนถึงพันปีเป็นแน่

......“ลูน่า ไปเดินเล่นกันเถอะ ฉันมีของที่อยากจะให้เธอดูด้วยนะ”

......“อะไรเหรอคะ”

......“ความลับ ถ้าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” น็อคทิสพูดจบ ทั้งสองคนก็เดินขนาบข้างไปพร้อมกัน โดยมีฟรานส์ตะโกนไล่หลังว่าขอให้กลับมาก่อนอาหารค่ำ

น็อคทิสและลูน่าเฟรย่าเดินทอดไปตามระเบียงยาว โดยที่ทิวทัศน์ภายนอกคือสวนดอกไม้ระรานตา ชูช่อออกดอกงดงาม ลูซิสเป็นแดนเวทมนตร์ ทำให้ทุกอย่างที่นี่ดูราวกับเวทมนตร์ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ใบหญ้า หรือผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ เลือดเนื้อเชื้อไขของลูซิสนั้นพิเศษนัก พวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้จากคริสตัลบริสุทธิ์ ไม่เคยคิดจะรุกรานผืนแผ่นดินใด เกื้อกูลแบ่งปันกันไปโดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยนช์ส่วนตน ว่าเวทมนตร์นั้นวิเศษแล้ว แต่จิตใจของชาวลูซิสนั้นที่วิเศษกว่า โดยเฉพาะคนตรงหน้าเธอนี้ ที่วิเศษยิ่งกว่าสิ่งใด

ลูน่าเฟรย่ามองแผ่นหลังนั่นด้วยความคำนึงหามากมายเหลือคณานับ สักวันชายตรงหน้าของเธอนี้จะโตขึ้นไปเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จิตใจอันอ่อนโยนนั้นจะปกครองเหล่าประชาราษฎร์ด้วยความเมตตา และตัวเธอนี้จะถวายทั้งร่างกายและวิญญาณเพื่อรับใช้ ดั่งคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

......“ลูน่า?” เสียงเรียกของอีกฝ่ายทำให้เจ้าของชื่อหันไปมอง “มีอะไรรึเปล่า” น็อคทิสที่เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดเดินไปจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

......เธอส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ องค์ชายน็อคทิส”

......“เฮ้อ” คนผมดำถอนหายใจ “ฉันบอกหลายครั้งแล้วนี่ ว่าตอนอยู่สองคนให้เรียกว่าน็อคทิสเฉย ๆ ฉันไม่อยากเป็นเจ้าชายอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ” ได้ยินดังนั้น ลูน่าก็อดยิ้มไม่ได้

......“ค่ะ น็อคทิส” ดูเหมือนเจ้าตัวจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเธอเรียกอย่างนั้น คิดว่าจะหันหลังเดินต่อ แต่สายตากลับไปสะดุดกับดอกเดซี่สีขาวที่ปลูกไว้ตรงกลางสวนดอกไม้หลากพันธุ์ สมองก็หวนนึกถึงบุรุษเรือนผมสีขาวเมื่อยามเย็น ดวงตาสีทองอร่ามราวกับอัญมณีเนื้องาม ได้สบเพียงครั้งเดียวก็ตรึงตาตรึงใจเหลือเกิน “ดอกเดซี่” น็อคทิสสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ลูน่าก็เดินเข้ามาข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ตัวแทนแห่งความงามอันบริสุทธิ์” อีกฝ่ายเอามือทาบอก หลับตาลง “ผู้คนมักชื่นชอบสิ่งที่บริสุทธิ์เสมอค่ะน็อคทิส ร่างกายอันบริสุทธิ์ จิตใจอันบริสุทธิ์ แต่ทว่า เพราะความบริสุทธิ์นั้นจึงแปดเปื้อนได้ง่ายดายนัก มนุษย์จึงใฝ่หาอยากครอบครองเป็นคนแรก”

น็อคทิสจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เขาไม่เคยเข้าใจคำพูดอันคมคายของหญิงสาวเลยสักน้อย

......“บริสุทธิ์ แต่ก็ยังอันตราย” ดวงตาสีฟ้าสว่างดุจมหาสมุทรหันกลับมามององค์ชายตัวน้อย “หากอยากครอบครองความบริสุทธิ์นั้น ท่านก็ต้องบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน สีขาวแม้เปื้อนด้วยสีขาวมันก็ยังคงเป็นสีขาว” ใบหน้างดงามของเทพีพยากรณ์แย้มยิ้มให้ปานนางสวรรค์ ดวงตาที่จ้องมองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยปริศนา “หากท่านไม่เข้าหาเขาด้วยใจอันบริสุทธิ์ ก็ไม่มีทางที่จะได้รับใจอันบริสุทธิ์กลับคืนมา”

น็อคทิสมองอีกฝ่ายที่หลับตาพริ้ม ก่อนจะหันมาวาดรอยยิ้มให้อย่างที่เคยทำ

......“ไปกันเถอะค่ะ น็อคทิส”

......“เอ๊ะ อื้ม!” คนผมดำที่เหมือนเพิ่งได้สติตอบรับ ก่อนจะเดินนำไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ลูน่าพยายามจะบอกเขา


น็อคทิสเปิดประตูห้องรับประทานอาหารเข้าไป ก่อนจะพบกับผู้เป็นพ่อ ‘รีจิส ลูซิส เคลัม’ ที่กำลังนั่งรออยู่บนโต๊ะทานอาหารตัวยาว โดยมีข้ารับใช้และองครักษ์ประจำตัวคอยอยู่ตรงมุมห้อง น็อคทิสไล่สายตามองก่อนจะเห็นฟรานส์ที่อยู่อีกมุมหนึ่ง จึงเดินเข้าไปนั่งที่อย่างเงียบ ๆ

......“จะทานแล้วนะครับ” เสียงใสเอ่ยขึ้นไม่ดังไม่เบามากนัก ก่อนจะเริ่มทานข้าวที่พ่อครัวจัดไว้ให้

......“เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มแต่ก็ยังอ่อนนุ่มเสมอเวลาพูดกับลูกชายเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด

......“ก็ดีครับ” เขาไม่มีทางพูดแน่ว่ามันน่าเบื่อจนต้องโดดเรียนไป

......“งั้นเหรอ ถ้าสนุกก็ดีแล้ว” ท่านยิ้ม แม้จะมีร่องรอยของความชราอยู่บ้างแต่ก็ไม่ทำให้ใบหน้านั้นดูดีน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย “อยากเข้าโรงเรียนไหม”

......“...” คำถามนั้นทำให้น็อคทิสชะงักช้อนที่กำลังตักซุปเข้าปาก ในวังแห่งนี้ไม่มีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเลย จะว่าเหงาก็เหงา แต่เขาก็ไม่ชอบเด็กขี้แยแบบพวกนั้นเหมือนกัน “แล้วแต่ท่านพ่อครับ” น็อคทิสบอกพลางแย้มยิ้มกว้าง

......“อย่างนั้นเหรอ” รีจิสพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าไม่จางหาย


ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าเดินเหยียบย้ำกระเบื้องสีขาวสะอาดตาอย่างช้า ๆ น็อคทิสมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเศษ ๆ แล้ว เจ้าตัวหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาผู้ที่ซ้อมดาบให้กับเขาเป็นประจำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว นี่ก็เลยเวลาซ้อมมามากพอแล้ว เขาจึงเดินเลี้ยวไปอีกทางที่เป็นห้องนอนของตนเอง หวังจะกลับไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียหน่อย

แสงจันทร์สาดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา น็อคทิสหยุดเดิน ยืนเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี บัดนี้เวลาเห็นอะไรที่เป็นสีขาว ก็พาลนึกถึงใบหน้าของชายผู้นั้นไปซะหมด จนทำให้รู้สึกหัวเสียขึ้นมาปนเปไปกับความสับสน ทำไมถึงคอยมาวนเวียนอยู่ในความคิดเสมอเลยนะคนคนนั้น

ตึกตัก ตึกตัก

น็อคทิสยกมือขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง พอคิดถึงทีไรก็เป็นแบบนี้เสียทุกที แรกเห็นก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ผิวขาวนวลนั้นช่างชวนจับต้อง ขนตาดำยาวท่าจะนุ่มเหมือนกับขนกระต่าย ริมฝีปากก็น่าลุ่มหลง ยิ่งขยับยิ้มยิ่งทำให้ดำดิ่งจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ถ้าหากไม่พิจารณาให้ดีกว่านี้คงคิดว่าเป็นหญิงไปเสียแล้ว เว้นแต่ยามลืมตา ว่ายิ้มนั้นงามแล้ว แต่แววตาพ่อคุณยิ่งงามกว่า ดวงตาสีทองสว่างนั้นเปล่งประกายราวกับบุษราคัม ยามตวัดมองแทบแช่แข็งเขาไว้ไม่ให้ละไปไหนได้ อย่างน้อยก็ทำให้ใบหน้านั้นไม่หวานเกินไป

ถึงเขาจะเพิ่งอายุเพียงแปดปี แต่ด้วยความเป็นองค์ชายจึงพบเจอหญิงงามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงจากทะเลทางใต้ หรือโฉมงามจากภูเขาทางเหนือ ล้วนแล้วแต่รูปกายสง่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของชายทั้งปวง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้หญิงเหล่านั้นก็ชิดซ้ายจนแทบจะตกขอบไปเลยเสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยเจอชายที่สวยขนาดนั้นมาก่อน ไม่สิ ไม่เคยเจอใครที่สวยขนาดนั้นเลย

น็อคทิสสะบัดหน้าไปมาเพื่อเรียกสติ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องนอนทั้ง ๆ ที่หน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย และใจที่ยังเต้นแรงไม่หยุดนั้น


ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากภายนอกห้องนอนของน็อคทิส

......“องค์ชายน็อคทิส อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะ” เสียงของฟรานส์เป็นเสียงแรกที่ได้ยินในตอนเช้าของทุก ๆ วันเสมอ น็อคทิสปรือตาขึ้นมองนาฬิกาข้างหัวเตียงอย่างสะลึมสะลือ

06.00 AM

......“ไม่ขาดไม่เกิน” น็อคทิสถอนหายใจพลางสบถอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันหลังให้กับต้นเสียงแล้วนอนต่อไปด้วยความง่วง

......“องค์ชายน็อคทิส” ฟรานส์ยังคงเคาะประตูห้องต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน แต่แค่นี้มีหรือน็อคทิสจะสะทกสะท้าน

ในที่สุดฟรานส์ก็ต้องใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นองค์ชายคนดีของตัวเองยังคงหลับอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ก็ไหล่ตกอย่างอ่อนใจ

......“องค์ชาย เสด็จตื่นบรรทมก่อนเถอะพะยะค่ะ” ฟรานส์เข้าไปพูดข้าง ๆ เตียง “ถ้าหากไม่รีบละก็เดี๋ยวอาหารเช้าจะเย็นหมดก่อนนะพะยะค่ะ”

......“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เย็นไป”

......“เฮ้อ องค์ชายน็อคทิสพะยะค่ะ เร็วเข้าเถอะพะยะค่ะ”

......“ไปสายสักชั่วโมงมันจะมีใครกล้าว่าฉัน หา!” น็อคทิสบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์เสีย

......“ไม่มีหรอกพะยะค่ะ แต่ถ้าหากท่านทานอาหารไม่ตรงเวลาจะปวดท้องอีกได้นะพะยะค่ะ...แล้วท่านรีจิสจะทรงเป็น
ห่วง” ฟรานส์บอกเสียงเบาในประโยคสุดท้าย ลอบสังเกตอาการของอีกฝ่าย ตราบใดที่ยังนำชื่อของท่านรีจิสมาอ้างได้ ไม่มีทางที่องค์ชายจะไม่ยอมฟัง

น็อคทิสลุกขึ้นมานั่งบนเตียงช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจ

......“ออกไปก่อน” ฟรานส์ยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินรับสั่งเช่นนั้น เพราะแปลว่าอีกฝ่ายยอมตื่นแต่โดยดีแล้ว

ทหารคนสนิทออกจากห้องไปตามคำสั่ง ปิดประตูให้อย่างเบามือพยายามไม่ให้เกิดเสียงเดี๋ยวองค์ชายตัวแสบจะอารมณ์เสียขึ้นมา
อีกรอบ การปลุกน็อคทิสนั้นเป็นเรื่องยากที่สุดเสมอ หากไม่ใช่เพราะตื่นนอนเอง อีกฝ่ายจะหงุดหงิดทุกครั้งเวลาโดนปลุก ปกติใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะยอมลุกได้ วันนี้ปลุกง่ายกว่าทุกที คงจะเป็นวันที่โชคดีของเขาแล้วกระมัง


ใช้เวลาไม่นานน็อคทิสก็ออกมาพร้อมกับชุดประจำวัน องค์ชายทรงโปรดที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่จัดที่นอน อาบน้ำ ไปจนถึงแต่งตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีสาวใช้คอยอยู่ใกล้ ๆ และห้องบรรทมนั้นก็ยังคล้ายกับห้องของสามัญชนทั่วไป เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่าเท่านั้นเอง หากมีใครมาเห็นคงไม่เชื่อสายตาแน่ว่าเป็นห้องส่วนพระองค์ของเจ้าชายเพียงคนเดียวแห่ง
ราชวงศ์ลูซิส ฟรานส์ก็เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าให้ตกแต่งอะไรเพิ่มเสียหน่อยให้สมกับฐานะองค์ชาย แต่น็อคทิสก็ยังยืนกรานปฏิเสธ ตรัสสวนมาว่า ‘จะองค์ชายหรือข้ารับใช้มันก็คนเหมือนกัน ถ้าพวกเขาอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ของหรูหรา แล้วทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้’
ความเที่ยงธรรมในจิตใจขององค์ชายน็อคทิสนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก ต่อไปภายภาคหน้าไม่ว่าจะราษฎรหรือคนยากไร้คงได้พึ่งบารมี


......“อิกนิสล่ะ” น็อคทิสเอ่ยถามพลางนั่งลงบนโต๊ะประจำเวลาทำงาน ในช่วงเช้าของทุกวันเขาต้องแก้ปัญหาบ้านเมืองที่เสด็จพ่อมอบหมายให้ พูดง่าย ๆ ก็เหมือนแบบทดสอบนั่นแหละ และบางวัน ‘อิกนิส สตูเปโอ ไซเอนเทีย’ เพื่อนคู่คิดก็จะมาช่วยด้วยเป็นครั้งคราว เมื่อเสร็จแล้วก็จะมีท่านราชครูมากฝีมือมาสอนไม่เว้นวัน เขาต้องเรียนภาษามากมาย รวมไปถึงคณิตศาสตร์ กฎหมายของอาณาจักรพ่วงด้วยการปกครอง ภาษีของประชากร สนธิสัญญาการค้า มารยาททางสังคม และอื่น ๆ จนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว

......“วันนี้ท่านอิกนิสตามเสด็จไปประชุมพะยะค่ะ”

......“ท่านพ่อน่ะเหรอ”

......“พะยะค่ะ” คนผมดำพยักหน้ารับ อิกนิสมักตามไปศึกษางานกับพ่อของเขาเสมอ เพื่อที่จะมาสอนเขาอีกทีนั่นแหละ “ขออนุญาตทวนกำหนดการนะพะยะค่ะ เวลาสิบนาฬิกายี่สิบนาทีเรียนจัดดอกไม้กับท่านราชครูเดเตอเมล์ที่เรือนเพาะชำเบอร์นี
่ย์ สิบเอ็ดนาฬิกาสิบนาทีทรงเรียนวิทยาศาสตร์เคมีกับด็อกเตอร์ลิมที่ห้องวิจัยบาวาคอร์ด สิบสองนาฬิกาเสด็จไปรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องน้ำเงิน สิบสามนาฬิกาห้าสิบนาที...” น็อคทิสลอบถอนหายใจเบา ๆ เลิกสนใจจะฟังกับกำหนดการบ้าเลือดนั้นแล้วหันไปทำงานของตัวเองต่อ ตอนนี้เก้าโมง คงทำเสร็จก่อนกำหนดการแรกจะเริ่มขึ้น

ฟรานส์ที่สังเกตเห็นใบหน้าเบื่อหน่ายของเจ้านายตนเองก็หยุดพูด เขาเป็นคนที่อยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมาตลอดทำไมจะไม่รู้ ในฐานะที่เป็นองค์ชายจึงต้องเข้าเรียนตั้งแต่อายุได้เพียงห้าขวบ และเมื่อครบสิบปี ฝ่าบาทก็ทรงมีพระประสงค์อยากให้ศึกษางานไว้ ตอนแรกก็ดื้อเพ่งเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ขัดคำสั่งไม่ได้ แม้จะอายุยังน้อยแต่ก็ทรงมีความสามารถท่วมท้น โดยเฉพาะการฟันดาบ เสียอย่างเดียวที่มักจะทรงไม่ยอมทำ

องค์ชายนั้นดูสุขุมเสมอเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น ยกเว้นก็แต่กับท่านลูน่าเฟรย่าที่ดูจะสมวัยขึ้นมาหน่อย เขาล่ะอยากให้เธออยู่ตรงนี้จริง ๆ พอมีอะไรที่ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างเขาจะทำเพื่อองค์ชายได้บ้านไหมนะ


ฟุบ!

เสียงโยนตัวลงนอนบนโซฟาเป็นอย่างแรกที่ได้ยินหลังเข้ามาในห้องนอนของตัวเองแล้ว ทุกวันเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่งานก็ยังมีมาเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

......“ขอนอนก่อนได้ไหม” น็อคทิสสบถก่อนจะหันหน้าเข้าใส่พนักพิง พาตัวเองหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง

......“ได้พะยะค่ะ ต่อไปนี้ท่านไม่มีกำหนดการใดแล้วนอกจากทานอาหารค่ำนะพะยะค่ะ” สิ้นเสียง คนผมดำก็เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที

......“อะไรนะ!” เขาสบถอย่างงุนงง ความเหนื่อยเมื่อกี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง “ม...ไม่มีกำหนดการตอนเย็นเหรอ”

......“ยกเลิกไปแล้วพะยะค่ะ”

......“ยกเลิก?”

......“ก็ท่านรู้สึกไม่สบายไม่ใช่หรือพะยะค่ะ”

......“ไม่สบายเหรอ” น็อคทิสทวนตามอย่างงุนงง ดวงตากลมมองสำรวจตัวเอง ยกหลังมือขึ้นมาแตะหน้าผาก เขาก็ยังสบายดีนี่

......“ไม่สบายมากพะยะค่ะ” ฟรานส์พยักหน้ารับ ก่อนจะส่งยิ้มให้ เห็นดังนั้นคนผมดำก็ถึงบางอ้อทันที

......“ขอบใจนะ!” จบคำ คนที่ว่าไม่สบายก็วิ่งแจ้นออกจากห้องไปอย่างไม่เหลียวหลัง สิ่งที่ฟรานส์พอจะทำได้ ก็คงมีแค่หาเวลาว่างให้องค์ชายแล้วล่ะ


รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่หน้าเขตบาเรียอีกแล้ว ช่วยไม่ได้นี่ ก็อีกฝ่ายบอกว่าไว้เจอกันนี่นา แล้วก็จากที่ทบทวนมาทั้งวัน ดูเหมือนคนผมขาวจะไม่เป็นอันตรายด้วย...หวังว่านะ

น็อคทิสขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นจับคางอย่างใช้ความคิด ก่อนที่เสียงหัวเราะสดใสจะดึงสติของตัวเองไปทั้งหมด คนผมดำชะโงกหน้ามอง ก่อนจะเห็นยาโตะกำลังเล่นกับกระต่ายขนสีขาวปุกปุยดูนุ่มนิ่มน่ากอด ภาพตรงหน้าดูราวกับท่านชายผู้อบอุ่นแสดงความรักสัตว์ออกมาละมุนตาชวนมองเหลือเกิน
คนผมดำเผลอยกยิ้มเล็กน้อย

ได้เจอจริง ๆ ด้วย

คุณ Metchanruna Grossipponry ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ May 31 2020, 04:04 PM



MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ May 31 2020, 04:01 PM
โพสต์ #4


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 3





ขณะที่กำลังมองด้วยความเพลิดเพลินนั้น สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นหางกลม ๆ สีแดงฉานของเจ้ากระต่ายตัวน้อยในอ้อมอกของอีกฝ่าย ดวงตาสีน้ำเงินราวกับแซฟไฟร์ก็เบิกกว้าง นั่นมันกระต่ายพิชเชอร์ มีพิษพอ ๆ กับงูเห่าเลยด้วยซ้ำ ปกติมันอยู่ในป่าลึกทางตอนใต้ของภูเขา ออกมาเพ่นพ่านแถวนี้ได้ยังไงกัน!

......“อันตราย!” เผลอตะโกนออกไปสุดเสียง ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวโหยง จังหวะนั้นกระต่ายตัวขาวก็แยกเขี้ยวเตรียมกัดแขนของยาโตะเต็มแรง! “อย่านะ!”

เวทสีม่วงสายหนึ่งแล่นแปล๊บตรงดิ่งไปที่เจ้ากระต่ายตัวนั้น ดีดมันกลิ้งออกจากอกของยาโตะไปไกลโข ก่อนที่จะวิ่งกลับเข้าป่าไปด้วยความตื่นตระหนก

น็อคทิสหอบหายใจแรงด้วยความตกใจ ถ้าหากมันกัดอีกฝ่ายเข้าไปเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ก่อนจะมองสำรวจคนผมขาวด้วยความรีบร้อน แล้วถอนหายใจยาวเมื่อพบว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องชะงักกับดวงตาสีเหลืองทองที่มองมา

ซวยแล้ว เผลอใช้เวทไปซะได้!

ไม่ว่าใครก็รู้ว่าผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้นั้นล้วนแล้วแต่ได้รับพลังมาจากราชวงศ์
ลูซิสเท่านั้น แบบนี้อีกฝ่ายก็รู้หมดน่ะสิว่าเขามาจากที่ไหน

......“ขอบใจนะ” แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ ยาโตะเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน

......“อ...อืม” น็อคทิสตอบรับ เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ อีกฝ่ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

......“นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว”

......“มาสิ มาอยู่แล้ว!” จบคำอีกฝ่ายก็หัวเราะเบา ๆ นั่งชันเข่าแล้วชวนคุย

......“เมื่อกี้ตัวอะไรงั้นเหรอ”

......“นายไม่รู้จักกระต่ายพิชเชอร์เหรอ” น็อคทิสเลิกคิ้วถาม ยาโตะส่ายหน้า “ตัวนั้นอันตรายมากเลยนะ ในตำราบอกว่าพิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภายในสี่ชั่วโมงเลยละ!”

......“คงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้สินะ” ยาโตะบอกเสียงอ่อน “มีอะไรที่ฉันต้องรู้เกี่ยวกับที่นี่อีกไหม”

......“อืม...ก็คงเป็นพวกพืชขับพิษกับสัตว์อันตรายแถวนี้ก่อนสินะ งั้นเริ่มจากดอกทริกซี่แล้วกัน”

น็อคทิสคุยจ้อไม่หยุด เล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้จนหมดเปลือก แม้จะออกนอกลู่นอกทางโยงไปเรื่องเรียนบ้าง บ่นเกี่ยวกับงานบ้าง แต่คนผมขาวก็ยังนั่งฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาสีเหลืองสว่างจ้องมองอีกคนไม่ละสายตา มุมปากยกยิ้มที่น็อคทิสไม่มีทางได้เห็นเพราะถูกหน้ากากเจ้ากรรมนั้นบังมิด

ยาโตะเท้าคาง เด็กชายคนนี้ไม่ธรรมดา จากที่เดา ๆ อายุแล้วน่าจะไม่เกินสิบปี แต่กลับรู้เรื่องสนธิสัญญาแกลอรี่ได้ยังไงกัน มิหนำซ้ำยังรู้จักเอดิสัน นักปรัชญาที่อยู่ในหนังสือวิชาการระดับสามอีกด้วย ยังไงมันก็ไม่ใช่หลักสูตรที่เด็กทั่วไปเขาเรียนกันอยู่แล้ว ไม่สิ นั่นไม่ใช่หนังสือที่สามัญชนสามารถเปิดอ่านได้เลยด้วยซ้ำ ก็ไม่น่าแปลก ดูจากการแต่งตัวก็พอรู้แล้วว่ามีฐานะ คงจะเป็นพวกลูกขุนนาง อำมาตย์ ตำแหน่งใดสักอย่างในวังหลวงนั่น

มือเรียวขาวแอบกดปุ่มตรงนาฬิกาข้อมือของตน บันทึกใบหน้าและน้ำเสียงของอีกฝ่ายเก็บเอาไว้เป็นข้อมูล สำหรับเขาแล้วการตามหานั้นไม่ใช่เรื่องยาก ง่ายยิ่งกว่าการเดินกลับบ้านตัวเองด้วยซ้ำ

เขาถูกชะตากับอีกฝ่ายตั้งแต่แรกพบ ดวงตาสีฟ้าครามนั้นสวยงามราวกับมหาสมุทร ยิ่งได้สบตาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกมหาสมุทรกลืนกิน ละลายเกราะป้องกันตัวเองไว้จนเหลวไม่เป็นท่า คำพูดคำจาก็ช่างรื่นหู ฟังได้ไม่รู้เบื่อ สำหรับเขาแล้วสีผิวจะเป็นอย่างไรไม่เกี่ยง ขอแค่ดูสุขภาพดีและลื่นมือก็พอ จะว่าไปก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีกคนตรง ๆ เลยสักครั้ง

คิดได้ดังนั้นก็เอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย เจ้าตัวสะดุ้งหยุดพูดไปแล้วหันมามองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ยาโตะยิ้มบาง ๆ เมื่อผิวของน็อคทิสนุ่มลื่นมืออย่างที่คิดไว้ แววตาของคนผมดำมีความสับสนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ทำให้เขาได้ใจ มือลูบลงมาผ่านลำคอขาวระหง เรื่อย ๆ จนเจอกับไหล่มน แล้วไล้ไปตามแขนเรียวยาวที่วางอยู่บนพื้นข้างตัว ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งรู้สึกหลงใหล ยิ่งได้ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอ อยากได้มากกว่านี้...

......“...” น็อคทิสมองอีกฝ่ายที่ลูบแขนขวาของตัวเอง ก่อนจะจับมือนุ่มนั้นไว้ ยาโตะชะงักนึกว่าคนตรงหน้าขอให้หยุด แต่ที่ไหนได้ เจ้าตัวกลับเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายสัมผัสเขาแทน

ทั้งคู่แลกกันสำรวจร่างกายของแต่ละคน ให้จดจำสัมผัสนี้ไว้ ไม่ว่าเมื่อไรมันก็ยังจะตรึงใจ ชวนให้คิดถึงคำนึงหาเสมอ

น็อคทิสมองสบตาสีเหลืองอ่อนนั้น ก่อนจะค่อย ๆ ถอดหน้ากากของอีกฝ่ายออกมาอย่างเบามือ เมื่อไม่มีสิ่งใดมาบดบัง ใบหน้าประณีตของอีกคนก็สะท้อนแสงแดดยามเย็น งดงามตระการตาราวกับภาพวาด แต่รอยยิ้มนั้นที่กำลังส่งมาให้กลับตบหัวบอกว่ามันคือความจริง ชายรูปงาม ไม่ว่ามองกี่ครั้งก็ยังงามชวนมองเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน มือเล็กตามประสาเด็กของคนผมดำยกไปสัมผัสดวงหน้านั้น ลูบไปมาราวกับสนใจนักหนาจนยาโตะหลุดยิ้ม

......“หน้าของฉันมีอะไรแปลกเหรอ”

......“เปล่าแค่...สวยจัง” น็อคทิสตอบ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะก๊ากจากคนตรงหน้า

......“นายจะบอกว่าฉันเป็นกะเทยรึไง”

......“ไม่ใช่นะ!” เจ้าตัวรีบปัดมือปฏิเสธบอกด้วยท่าทีร้อนรน

......“ล้อเล่น” ยาโตะพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “นายก็น่ารักนะ”

......“ฉันไม่ได้น่ารักสักหน่อย!” น็อคทิสขมวดคิ้ว แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันควัน

......“โอ้โฮ เวลาโกรธยิ่งน่ารัก”

......“นี่นาย!” น็อคทิสยื่นมือออกไปหวังจะคว้าอีกฝ่ายไว้ แต่ยาโตะกลับพลิกตัวหลบ ก่อนจะลุกหนีพร้อมกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งคนผมดำ ฝ่ายโดนล้อกลับหน้าแดงด้วยความเขินอาย วิ่งไล่อีกคนที่หนีไปไกลโขแล้ว “หยุดนะ!”

กลายเป็นคนสองคนวิ่งไล่จับกันท่ามกลางเสียงหัวเราะและแดดสีส้มยามตะวันตกดิน สายลมพัดหยอกล้อ หมู่เมฆลอยคล้อยต่ำจ้องมองพวกเขาทั้งคู่ ในวัยเยาว์ความไร้เดียงสานั้นช่างหอมหวานราวกับน้ำผึ้งชั้นเลิศ ถึงแม้เติบใหญ่จะไม่มีความไร้เดียงสาหลงเหลืออยู่แล้ว ก็จงอย่าได้ลืม ว่าตนนั้นเคยไร้เดียงสา


หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป

บุรุษรูปงามเรือนผมสีขาวสว่างดั่งหิมะ นั่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกกุหลาบกว้าง มือลูบไล้กลีบดอกด้วยความทะนุถนอม ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นจ้องมองมันอย่างมีความหมาย

......“ยาโตะ!” เสียงใสเรียกหาดังลั่น ไม่ทันได้เห็นตัวเสียด้วยซ้ำ เจ้าของชื่อหลุดหัวเราะ คราวนี้มีอะไรมาให้เขาดูอีกล่ะ “นี่ยาโตะ” น็อคทิสวิ่งเข้ามาหา ในมือถืออะไรบางอย่างไว้ “ดูนี่สิ” อีกฝ่ายแบมือออกให้เขาได้มองเห็นอย่างชัด ๆ มันคือแพนโดร่า อัญมณีหายาก ว่ากันว่ามักอยู่ตามถ้ำคริสตัลที่เกิดจากธาตุบริสุทธิ์ สั่งสมเวทมนตร์มาเป็นร้อย ๆ ปี ซึ่งปัจจุบันสถานที่แบบนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ทำให้ราคาของมันนั้นแพงเท่ากับเมืองเมืองหนึ่งเห็นจะได้เลยล่ะ

......“สวยจังเลย” คนผมขาวบอกยิ้ม ๆ แต่แทบไม่ได้มองอัญมณีในมือของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย สายตาเจ้ากรรมมองคนที่เพิ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาต่างหาก

......“ใช่ไหมเล่า สีเหลืองด้วยนะ เขาบอกว่าแพนโดร่าสีเหลืองหายากจะตายไป”

......“ก็จริง สีเหลืองกับสีแดงหายากที่สุดแล้ว”

......“ชอบรึเปล่า” น็อคทิสยกอัญมณีเนื้องามที่ถูกร้อยเป็นสร้อยคอขึ้นให้ดูเต็มตา

......“ชอบสิ” ยาโตะยิ้มพลางพยักหน้ารับ

......“งั้น...ฉันให้!” อีกฝ่ายยื่นให้ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยาโตะชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเบา ๆ แววตาเจือความอ่อนโยนเมื่อมองไปที่คนผมดำ

......“นายเก็บไว้เถอะ” จบคำ น็อคทิสก็โถมตัวเข้าใส่จนเขาหงายหลังลงไปนอนราบกับพื้น ไม่ทันได้ทำอะไรสร้อยเส้นนั้นก็มาสวมอยู่ในคอของตัวเองแล้ว

......“เห็นไหม เข้ากับสีตาของนายออก” คนที่คร่อมอยู่ข้างบนถอดหน้ากากของเขา แล้วหยิบสร้อยอัญมณีขึ้นมาทาบกับดวงตา ก่อนจะแย้มยิ้มราวกับเด็ก ๆ ให้ “ช่วยใส่ให้หน่อยนะ”

......ยาโตะหัวเราะ “ก็ได้”

......“สำเร็จ!”

......“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องฟังคำขอจากฉันด้วย”

......“อะไรเหรอ” น็อคทิสขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มบาง

......“วันนี้ตอนสองทุ่ม มาที่นี่ได้ไหม” เขาเอ่ยถาม “ที่เมืองลาลูน่ามีเทศกาลชมพระจันทร์ด้วยละ”

......“เทศกาลชมพระจันทร์เหรอ”

......“ใช่ เพราะวันนี้เป็นคืนมูนเรด พระจันทร์สวยกว่าทุกที เราไปดูด้วยกันนะ”

......“อื้ม! ไปสิ” สิ้นเสียงยาโตะก็ยิ้มกว้าง ใบหน้าท่าทางดีใจไม่น้อย

......“งั้นไว้เจอกันคืนนี้นะ”


กริ๊ง ๆ

เสียงประตูร้านดังขึ้น ปรากฏเป็นคนผมขาวที่เดินเข้ามา ดวงตาคมมองเห็นพี่ชายใจหญิงที่กำลังยืนอยู่หลังบาร์เป็นคนแรก ตรงโซฟาทางซ้ายเป็นไอ้เพื่อนผมทองตัวแสบ เฉียง ๆ ไปหน่อยมีฝาแฝดสองคนกำลังเล่นสนุกเกอร์กันอยู่ ภายในมีของไฮเทคมากมายดูผิดแผกจากเมืองข้างนอกอย่างสิ้นเชิง ถูกแล้วพวกเขาไม่ใช่คนของที่นี่ เพียงแค่แวะผ่านมาด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง

ทุกคนหันมาทักทาย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปนั่งตรงบาร์กับพี่ที่แม้จะไม่ได้เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน แต่สนิทยิ่งกว่าอะไร อีกฝ่ายชงเหล้าให้อย่างรู้งาน ไม่นานเครื่องดื่มสีอำพันก็ถูกเทลงบนแก้วทรงเตี้ย แล้วถูกผลักมาให้เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่าง มือเรียวยกขึ้นมาพินิจดูในระดับเดียวกับสายตา สีของน้ำเข้ากันได้ดีกับสีตาของอีกคนจนดูเป็นประกายงดงาม ก่อนที่ริมฝีปากสวยจะกระดกมันลงคอรวดเดียวหมด

......“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแล้วนะ วันนี้ก็ไปเก็บของซะล่ะ”

......“ไม่เอาน่าพี่ซิซธ์ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”

......“บอกให้เรียกว่าซูซี่ย่ะ! ไอ้เด็กเวรนี่!” ยาโตะยักไหล่ไม่สนใจ ก่อนจะกดเปิดคอมพิวเตอร์ทรงกลมที่วางอยู่ข้าง ๆ กับแจกันลายคราม รอไม่ถึงเสี้ยววินาทีมันก็ฉายเดสก์ท็อปขึ้นกลางอากาศ นิ้วยาวไล่กดดูข้อมูลไปเรื่อย ๆ ก่อนจะไปสะดุดกับภาพของเด็กชายคนหนึ่ง พอกดปุ่มเครื่องหมายบวกเพื่อดูเพิ่มเติม ประวัติของคนคนนั้นก็เด้งขึ้นมาในแท็บใหม่

ดวงตาสีเหลืองอร่ามจ้องมองมันตาไม่กระพริบ เคาะปากแก้วเป็นจังหวะราวกับใช้ความคิด ก่อนที่หน้าจอตรงหน้าจะถูกอีกคนดึงไปดูด้วย

......“มีอะไรรึไง เราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับเขานี่” ซิซธ์เอ่ยถาม หันไปมองน้องตัวเองด้วยความแปลกใจ “จะว่าไปฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกไปเอาใบหน้ากับเสียงของเด็กคนนี้มาได้ยังไง” ดวงตาสีม่วงอย่างไวน์องุ่นที่ถืออยู่ในมือของผู้เป็นพี่ ราวกับเรืองแสงได้ในความมืด “นี่คือสาเหตุที่แกหายไปอยู่แถว ๆ เขตของลูซิสบ่อย ๆ ใช่ไหม”

ยาโตะถอนหายใจ หันหลังเตรียมจะลุกหนีแต่เสียงแหลมดุจากอีกฝ่ายก็ดังดักขึ้นเสียก่อน

......“เขาเป็นเจ้าชายนะฮารุ มิหนำซ้ำยังเป็น...ลูซิส!” คนผมขาวกรอกตา เบื่อจะฟังเต็มทีแล้ว “แกก็รู้ว่าลูซิสมีความสัมพันธ์ยังไงกันอาณาจักรเรา เป็น...”

......“ศัตรู” ยาโตะพูดแทรก “ใช่ฉันรู้ แต่ที่เป็นแบบนั้นเพราะเราไปทำเขาก่อนล้วน ๆ”

......“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเถียงว่าใครเป็นคนเริ่มก่อนหรอกนะ สงครามมันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีทางและไม่มีใคร! สามารถหยุดมันได้อีกแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรามาที่นี่ไม่ใช่เหรอ” คนผมขาวถอนหายใจอีกครั้งอย่างอ่อนใจ เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันผิด และมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น แต่ก็อย่างที่ซิซธ์บอก เมื่อเกิดขึ้นไปแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหยุดมันยังไงดี “แกบอกจะยุติเรื่องทุกอย่าง แกบอกจะคืนสันติภาพให้กับทุกคน อย่าทำให้สิ่งที่เราทำมาตลอดต้องสูญเปล่าสิ”

......“...”

......“พรุ่งนี้เช้าเราจะกลับนีฟล์ไฮม์ ไปทำเรื่องที่แกควรทำมาตั้งแต่ตอนแรกซะ”


ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองทหารที่อยู่ภายในปราสาทกำลังเดินตรวจตราไปมา มีเวลาห้านาทีก่อนที่พวกนั้นจะสลับเวรยามกันเสร็จ ให้จิบน้ำชาหมดหนึ่งแก้วแล้วค่อยข้ามไปก็ยังเหลือเฟือ

......“น็อค” เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างหลัง น็อคทิสสะดุ้งสุดตัวก่อนจะดึงอีกคนให้เข้ามาหลบตรงเสาใหญ่ด้วยกัน

......“กลาดิโอ เบา ๆ หน่อยสิ” เขายกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก บ่งบอกให้คนตัวยักษ์เบาเสียง

......“ทำอะไร” องครักษ์ส่วนพระองค์ ‘กลาดิโอลัส อามิซิเทีย’ เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

......“เล่นหลบพวกทหารอยู่ มาเล่นด้วยกันไหม”

......“เอาสิ ต้องทำยังไงบ้าง” คนตัวโตตอบรับ ไม่สนด้วยว่าตัวเองอายุมากเกินกว่าจะมาเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ อันที่จริงก็อายุห่างจากคนตรงหน้าแค่สามปีเอง

......“นายไปทางนั้นนะ ส่วนฉันจะไปทางนี้ ใครปีนออกจากกำแพงปราสาทได้ก่อนเป็นฝ่ายชนะ” จบคำอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี้ยวไปอีกทาง น็อคทิสลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สามารถหลอกกลาดิโอได้ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงสองทุ่ม เขาต้องรีบแล้วสิ

ฟุบ

เสื้อฮู้ดสีดำพรางตา น็อคทิสใช้ทักษะที่ได้ร่ำเรียนมาจากกลาดิโอที่เป็นทั้งเพื่อนและครูฝึกดาบของตนหลบจน
ในที่สุดก็ออกมาจากปราสาทได้ ในป่ายามค่ำคืนอันตราย เจ้าตัวจึงจุดไฟขึ้นมากลางฝ่ามือ ใช้มันเป็นแสงสว่างส่องทางเดินและไล่พวกสัตว์ร้ายไปด้วยในตัว

เมื่อผ่านพ้นพุ่มไม้หนาไปก็พบกับทุ่งดอกกุหลาบงาม ท่ามกลางเหล่าสีดำทมิฬ สีขาวนั้นดูโดดเด่นยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว อีกฝ่ายกำลังเหม่อมองพระจันทร์กลมโตบนฟากฟ้า ก่อนจะหันมาสบตากับเขาเข้าอย่างจัง ดวงตาสีเหลืองทองนั้นสะกดหัวใจเจ้าของเรือนผมสีดำไว้ได้ตั้งแต่แรกพบ จนถึงตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฉันน่ะ กับยาโตะ รู้สึกชอบขึ้นมาแล้วล่ะ

คุณ Metchanruna Grossipponry ได้แก้ไขข้อความนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อ May 31 2020, 04:05 PM



MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 1 2020, 04:30 PM
โพสต์ #5


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






*ต่อไปนี้ไรต์จะแบ่งเนื้อหาแต่ละบทออกเป็นพาร์ท ๆ ตามความยาวของบทนะคะ เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป (ขี้เกียจเลื่อน)


Final Fantasy XV
บทที่ 4 (1/2)





......“มาเร็วเหมือนกันนี่” คนผมขาวเอ่ยทัก ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับคางตนเอง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์

......“อะไรเหรอ” น็อคทิสขมวดคิ้ว สำรวจตัวเองไปด้วยว่ามีอะไรผิดปกติรึเปล่า

ยาโตะยกยิ้มภายใต้หน้ากาก ก่อนที่ผ้าคลุมสีน้ำตาลจะโผล่เข้ามาคลุมหัว คนผมดำแทบมองไม่ทันกับความเร็วของคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับแต่งตัวแล้วซะงั้น

......“ค่อยดูกลมกลืนหน่อย ถ้านายเข้างานด้วยชุดนั้นคงถูกจับแน่” จบคำก็หัวเราะเสียงใส “ไปกันเลยไหม”


น็อคทิสตื่นเต้นมากที่ได้มางานเทศกาลแบบนี้ เพราะเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เลยสักครั้งเดียว นี่จึงนับเป็นครั้งแรก ในหลาย ๆ เรื่องเลยล่ะ

......“อย่ามัวแต่สนุกจนลืมดูทางซะล่ะ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” แม้ประโยคจะดูเหมือนว่าปราม แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับละมุนจนคนฟังไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

......“มียาโตะอยู่ด้วยไม่เห็นต้องกลัว” น็อคทิสบอกพลางชะเง้อคอมองดูอาหารการกิน ของละเล่นของชาวลาลูน่า ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูแปลกใหม่ และน่าตื่นตาตื่นใจจนคนผมดำอดไม่ได้ที่จะกระตือรือร้นกว่าทุกที นั่นทำให้ในสายตาของอีกคนที่พามานั้นรู้สึกเอ็นดูปนขบขันเสียไม่ได้ “นั่นอะไรเหรอ” น็อคทิสชี้ไปที่รูปปั้นใหญ่ยักษ์ใจกลางลานกว้าง เป็นสตรีนางหนึ่งรูปร่างสะโอดสะอง บนหน้าผากมีพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่

......“นั่นคือเทวีแห่งดวงจันทร์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘เซเลเน่’” ยาโตะเอ่ยบอก พยายามหลบหลีกผู้คนที่เดินสัญจรไปมาด้วย “เป็นเทพที่ชาวลาลูน่าเคารพนับถือกันมากเลยละ เคยมีคำทำนายบอกไว้ว่า ‘ยามเมื่อความมืดปกคลุมโลกมนุษย์ ผู้ที่ได้พรจากเทวีเซเลเน่ นำมาซึ่งแสงสว่าง จะเป็นผู้ที่ถูกเลือก’” น็อคทิสพยักหน้ารับอย่างทำความเข้าใจ คนผมขาวที่เห็นดังนั้นก็อมยิ้ม “รู้จักตำนานรักของเทวีเซเลเน่กับเอนดิมิอันรึเปล่า”

......“?” น็อคทิสเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายที่สวมหน้ากากอยู่ ทำให้ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

......“บางตำนานเล่าว่าเอนดิมิอันนั้นเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา ไม่ว่าสาวชาวไร่รวมไปถึงหญิงมากดีมีสกุลต่างหมายปอง วันหนึ่งในขณะที่กำลังต้อนแกะไปเลี้ยง เอนดิมิอันได้เผลองีบหลับใต้ต้นไม้ เทวีเซเลเน่ที่บังเอิญมาพบเข้าก็เกิดตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ด้วยความที่กลัวว่าจะโดนสตรีนางอื่นแย่งชิง จึงได้เสกให้เอนดิมิอันหลับไปตลอดกาลโดยไม่มีวันแก่ชรา นางจะได้เชยชมแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป”

......“แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่าเอนดิมิอันคือกษัตริย์รูปงาม” จู่ ๆ ก็มีเสียงหวานเจือแหบ ๆ เอ่ยขึ้นข้างหลัง น็อคทิสหันขวับกลับไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายตามวัฒนธรรมของชาวลาลูน่า “ด้วยความที่เทวีเซเลเน่เกิดใจปฏิพัทธ์ จึงให้สัญญากับเอนดิมิอันว่าจะดลบันดาลให้ทุกสิ่งตามที่ต้องการ เอนดิมิอันจึงร้องขอให้ตนเองนั้นหลับไปชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีวันเหี่ยวแห้งร่วงโรย”

อีกฝ่ายกำลังวาดยิ้มอวดฟันดำ ตามใบหน้าและลำตัวของหล่อนมีรอยสักอยู่เต็มไปหมด ตรงข้อมือมีอะไรก็ไม่รู้ห้อยพันกันรุงรังเยอะแยะ ใต้ตาดำคล้ำราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายวัน ผิวสีแทนและเส้นผมก็กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง

......“สองตำนานแตกต่างกัน แต่มีบางสิ่งที่เหมือนกัน” เธอประชิดหน้าเข้ามาใกล้จนน็อคทิสต้องถอยร่นด้วยความระแวง ดวงตาสีดำมิดนั้นไม่เป็นประกายใด ๆ ไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมา มีเพียงแต่จะดูดกลืนเข้าไปในวังวนอันน่าพิศวงเท่านั้น “คือเอนดิมิอันจะต้องหลับใหล ไปตลอดกาล!”

......“ตลอดกาล?” น็อคทิสทวนคำ

......“ตลอดกาล” อีกฝ่ายหยักหน้าระรัว ดวงตานั้นเบิกกว้าง “ตลอดกาลนั้นยาวนาน” มือบางเอื้อมมาสัมผัสหน้าของคนผมดำ ดวงตาสีน้ำเงินลุกลี้ลุกลนด้วยความสับสน “แต่รู้ไหม มันมีทางที่จะทำให้เอนดิมิอันฟื้นขึ้นมาจากตลอดกาลอยู่นะ”

......“อัลฟองส์” ยาโตะเรียกชื่ออีกคน ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะหยุดท่าทีทุกอย่างลง หันไปคุกคามคนผมขาวแทน

......“เจ้า” หล่อนมองยาโตะ ใบหน้านั้นดูตกตะลึงสุดขีด “เจ้าคือผู้ถูกเลือก!”

......“เลือก?” ยาโตะขมวดคิ้ว “จากอะไร”

......“เจ้าคือผู้ถูกเลือก!” อัลฟองก์หันไปเขย่าไหล่น็อคทิส ก่อนจะไปคว้าแขนหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินอยู่ใกล้ ๆ “เจ้าคือผู้ถูกเลือก!” อีกฝ่ายไล่จับคนอื่นไปมั่วซั่ว พูดแต่ประโยคเดียวว่า ‘เจ้าคือผู้ถูกเลือก’

......“ใครน่ะ” น็อคทิสมองตาม พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย

......“เธอก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่เป็นอันตรายหรอก” คนผมขาวบอก “พิธีชมจันทร์จะเริ่มแล้วนะ รีบไปกันเถอะ” จบคำก็คว้ามือของน็อคทิสมาจับแล้วออกแรงดึงให้ตามไป





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 1 2020, 04:33 PM
โพสต์ #6


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 4 (2/2)





พิธีชมจันทร์ของที่นี่คือการเปิดฟ้า ขับไล่เมฆหมอกที่ปกคลุมความสว่างไสวของเหล่าดวงดาวพร่างพราย คบเพลิงใหญ่ถูกจุดขึ้นใจกลางเมือง มีคนสวมชุดประหลาดสี่คนเต้นระบำรอบกองไฟ เสียงร้องเพลงราวกับบทสวดมนต์ดังระงมไปทั่วทุกหนแห่ง น็อคทิสแย้มยิ้มมองพิธีตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ ไม่นานทั้งสี่คนนั้นก็คุกเข่าลงคนละทิศ คบเพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่แล้วยิ่งดูรุนแรงมากกว่าเดิม ความสูงของเปลวไฟนั้นเสียดฟ้า ไม่นานหมู่เมฆก็สลายหายไปราวกับอากาศ ทำให้ดวงจันทร์ได้มีโอกาสอวดแสงตัวเองได้อย่างเต็มที่

ดวงตาสีแซฟไฟร์เสมองคนข้างกาย แสงจันทร์กระจ่างยิ่งขับให้ผิวขาวของอีกฝ่ายนวลผ่องราวกับกายเทพ ทุกอย่างรอบตัวไม่ว่าจะเป็นอะไรเหมือนส่งเสริมความงดงามให้กับตัวของยาโตะทั้งสิ้น น็อคทิสหลับตาลงก่อนจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ตามคนผมขาว กระชับมือที่กำลังจับอยู่ให้แนบแน่นขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว

ยาโตะที่รู้สึกได้เลยหันไปมองอีกฝ่ายเล็กน้อย องค์ชายน็อคทิส ลูซิส เคลัม ลูกชายเพียงคนเดียวของกษัตริย์รีจิส เป็นความโชคดีของเขาที่หัวใจดวงน้อยนั้นมีใจให้ ถ้าเป็นปกติก็คงเอามาใช้ประโยชน์อย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง แต่คราวนี้ตนเองกลับปันใจให้อีกฝ่ายกลับเสียนี่ คงจะเป็นความโชคดีของเจ้าตัวด้วยเหมือนกัน

ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ตลอดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน มีความสุขมากเลยล่ะ

ดังนั้นนะ...น็อคทิส ฉันจะไม่ขอให้นายลืมช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกัน เพราะฉันเองก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ขอให้นายมีชีวิตอยู่ต่อไป สักวันนายที่เข้มแข็งจะผ่านมันไปได้ ถึงจะนานหน่อยแต่นายจะทำสำเร็จ ส่วนฉัน แม้จะรู้ว่ามีตัวตนอยู่ได้แค่ในความทรงจำของนาย ก็ไม่เป็นไร


......“วันนี้สนุกมากเลยละ ขอบคุณนะยาโตะ” น็อคทิสยิ้มกว้าง เมื่อเดินมาถึงทุ่งดอกกุหลาบสีดำ จุดนัดพบของพวกเราในแต่ละวัน

......“ถ้านายสนุกฉันก็ดีใจ”

......“คำขวัญวันนี้คือพระจันทร์ดวงใหญ่ยิ่งกว่าพระอาทิตย์ สมแล้วที่เป็นเมืองลาลูน่า คงหาดูพระจันทร์สวยกว่าไม่มี...” จู่ ๆ ยาโตะก็ถอดหน้ากากของตัวเองสวมให้น็อคทิส ก่อนจะก้มลงจูบเบา ๆ ดวงตาสีเหลืองอ่อนกระพริบช้า ๆ มองอีกฝ่ายที่นิ่งค้างไป ก่อนจะยกยิ้มบางแล้วเดินนำต่อเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น

น็อคทิสเดิมตามด้วยใจที่สับสน แม้คนตรงหน้าจะแค่จูบผ่านหน้ากากแต่ก็ทำให้เขาหน้าร้อนได้อยู่ดี

......“ฉันส่งแค่นี้นะ”

......“แล้วหน้ากากนี่ล่ะ” น็อคทิสรีบเอ่ยถามก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไป

ยาโตะหันกลับมา ส่งยิ้มหวานละมุนให้อย่างทุกครั้ง แววตาคู่นั้นมีถ้อยคำมากมายที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ทั้งหมด

......“ฝากไว้ก่อน เจอกันครั้งหน้า อย่าลืมเอามาคืนฉันด้วยล่ะ”

ท่ามกลางผู้คนบนโลกมากมาย มีหมู่มวลดอกไม้งามเป็นสักขีพยาน คนสองคนซึ่งพบเจอกันนั้นล้วนแล้วแต่ผูกพันกันด้วยโชคชะตา สายใยที่มองไม่เห็นหากแต่สัมผัสได้ จะนำพาไปซึ่งที่ที่เราสองคนจะพบกันอีกครั้ง ไว้ถึงตอนนั้น...





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 3 2020, 04:44 PM
โพสต์ #7


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 5 (1/5)





ชายหนุ่มรูปงามนั่งชันเข่าอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม วันนี้แดดไม่ร้อน และลมก็พัดทำให้เย็นสบาย ในมือข้างหนึ่งถือดอกกุหลาบสีดำงดงาม หมุนไปหมุนมาราวกับสนุกนัก ดวงตาสีน้ำเงินที่เคยกลมโตสดใส บัดนี้คมกริบดังเช่นราชสีห์ เหม่อมองดอกไม้ที่ตนเองถืออยู่เป็นเวลานานแล้ว ร่างกายสมส่วนอย่างชายโตเต็มวัย เป็นที่ต้องตาต้องใจของหญิงสาวทั่วทั้งราชอาณาจักร ถูกสวมด้วยชุดเดินทางสีทมิฬไม่ต่างจากทุ่งดอกไม้ตรงหน้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะมาที่นี่

เมื่อสิบสองปีก่อน ไม่มีใครทราบสาเหตุที่วันหนึ่งองค์ชายก็ทรงกลับมาจากการไปเที่ยวเล่นเหมือนปกติพร้อม
กับน้ำตา ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันจึงจะยอมหยุดร้องไห้ ต่อจากนั้นองค์ชายก็จะหายไปจากปราสาท และกลับมาด้วยใบหน้าซึมเศร้าทุกครั้งไป

จนถึงตอนนี้ก็ยังคงจำได้ดีในน้ำเสียงนั้น สัมผัสนั้น รอยยิ้มนั้น...แววตาคู่นั้น เหตุการณ์ทุกอย่างยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่กลับมา จนบางทีเผลอคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ตนนึกภาพฝันขึ้นมาเองหรือเปล่า มีเพียงสิ่งที่คนคนนั้นฝากไว้ให้ ถึงได้เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่ามันคือความจริง

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในวันนั้น ‘เจอกันครั้งหน้า’ ของอีกฝ่าย คือคำอำลา ถ้าหากว่าเขาฉุกใจกับรอยยิ้มนั้นสักนิด เข้าใจความหมายในสายตาที่อีกคนส่งให้ ก็คงไม่ต้องรู้สึกเสียใจกับตัวเองอยู่แบบนี้ เวลาที่ผ่านมาไม่เคยช่วยเยียวยา มันไม่เคยปลอบประโลมหรือทำให้หลงลืมภาพต่าง ๆ ในวันนั้นได้เลย ยังคงหวังอยู่เสมอว่าจะเห็นคนผมขาวนั่งคอยอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่มาถึง หวังให้ได้มองแววตาคู่เดิมนั้นอีกครั้ง หวังว่าจะได้เอ่ยคำที่ตนเองเก็บไว้ในใจให้อีกฝ่ายรับรู้...แต่ทุกอย่างก็ล้มเหลว

เขาไม่มีทางบอกความรู้สึกออกไปได้อีกแล้ว จะไม่มีวันได้เห็นดวงตาสีทองงดงามคู่นั้น ไม่มี...ยาโตะที่นั่งรออยู่ตรงนี้ ทุกวันผิดหวัง และเช้าวันรุ่งขึ้นก็จะกลับมาคาดหวังแบบเดิมอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ทุก ๆ วัน และเป็นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาอายุครบยี่สิบปี

......“น็อค” เสียง ‘พรอมพ์โต อาเจนทัม’ เพื่อนอีกคนเอ่ยเรียก “ได้เวลาแล้วนะ”

น็อคทิสหลับตาลง ถอนหายใจเบา ๆ จดจำทุ่งดอกกุหลาบนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้าไปหาเพื่อนของตน เตรียมตัวออกเดินทางสู่โลกภายนอก


......“ถึงเวลาทำตามสนธิสัญญาแล้ว” เสียงกษัตริย์แห่งลูซิส เปล่งวาจาลั่นก้องห้องโถงขนาดใหญ่ “จงออกเดินทางด้วยความปลอดภัย เจ้าชายน็อคทิส”

......“ขอบพระทัยพะยะค่ะ ฝ่าบาท” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยรับคำอวยพรจากผู้เป็นกษัตริย์ พลางโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพ

......“ขอให้เหล่าทวยเทพคุ้มครอง”

......“พะยะค่ะ” น็อคทิสเอ่ย ก่อนจะหันหลังเดินผ่านราชองครักษ์ส่วนพระองค์ไป ทำให้กลาดิโอแทบจะหลบไม่ทันกับการหันหลังกลับกะทันหันของเจ้าชาย ก่อนที่ทั้งราชองครักษ์ ราชเลขา และสหายของน็อคทิสจะโค้งศีรษะให้แก่กษัตริย์ แล้วเดินตามอีกคนไป


ปัง!

......“ก็...เป็นถึงองค์ชายเลยนี่นา” พรอมพ์โตเป็นเสียงแรกที่ผุดขึ้นมาก่อนเพื่อน

......“ถึงจะคาดไว้อยู่แล้วก็เถอะ” เสียงที่สองคือเสียงของราชเลขาส่วนพระองค์ของเจ้าชายน็อคทิส อิกนิส

......“แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้เหมือนกันนะ” เสียงทุ้มเข้มของกลาดิโอเอ่ยลั่นกลางพรมแดงยาวที่ทอดลงมาตามขั้นบันได

......“องค์ชายน็อคทิส” เสียงราชองครักษ์ส่วนพระองค์ของกษัตริย์แห่งลูซิสเอ่ยเรียก น็อคทิสที่ได้ยินดังนั้นจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะพบกับผู้เป็นพ่อที่กำลังเดินลงมาจากบันไดอย่างทุลักทุเลนิด ๆ เนื่องด้วยขาอีกข้างที่พิการ

......“อะไรอีก?” เขาถาม พลางเดินเข้าไปหาเพื่อช่วยประคอง

......“ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้พูดละนะ พวกเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ อย่าไปก่อปัญหามากล่ะ” กษัตริย์รีจิสเอ่ย พลางเดินลงบันไดอยู่อย่างนั้น น็อคทิสเองก็เดินลงตามอยู่ไม่ห่าง

......“ป่านนี้แล้วยังจะ...” คนผมดำทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพ่อของเขาก็ยังมองเขาเป็นเด็กอยู่ดี

......“ก็อย่างที่รู้กัน ถึงจะเป็นเจ้าลูกไม่ได้ความ” กษัตริย์รีจิสหันไปเอ่ยกับสามคนที่เหลือ “แต่ยังไงก็ขอฝากด้วยละ”

......“โปรดวางพระทัย” อิกนิสพูด พลางโค้งศีรษะให้อย่างเคารพ

......“จะพาองค์ชายไปยังอัลทิสเซียอย่างปลอดภัยขอรับ” กลาดิโอขานรับอย่างแข็งขัน

......“ผ...ผมด้วยครับ” พรอมพ์โตเสริมอีกหนึ่งคน

......“ไปกันได้แล้ว คอร์รออยู่ที่รถแล้วนะ” น็อคทิสเอ่ยขัดเมื่อรู้สึกราวกับทุกคนทำเหมือนเขาเป็นเด็กแสบเจ้าปัญหา “ดราโทส ฝากท่านพ่อด้วย” จบคำก็เดินตรงไปที่รถ แล้วยกมือขึ้นเป็นเชิงพูดเสมือนว่า ‘ฝากด้วยนะ’ แต่เมื่อเดินไปได้แค่ไม่กี่ขั้น ก็ต้องเหลียวไปมองผู้เป็นพ่อที่ทักขึ้นอีกครั้ง

......“อีกอย่างหนึ่ง...อย่าไปเสียมารยาทกับว่าที่ภรรยาซะล่ะ”

......“ตามรับสั่งพะยะค่ะฝ่าบาท” น็อคทิสพูดด้วยน้ำเสียงติดขี้เล่น พลางเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่ออีกครั้งพร้อมกับโค้งตัวให้อย่างล้อเลียน “ท่านเองก็อย่าไปเสียมารยาทกับแขกจากจักรวรรดินีฟล์ไฮม์ด้วยแล้วกันนะ”

......“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพ่อหรอก”

......“ท่านก็เหมือนกัน” น็อคทิสตอบทันควันเมื่อผู้เป็นพ่อพูดจบแล้ว

......“จำไว้นะว่า...เมื่อออกเดินทาง จะย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้วนะ”

......“คิดว่าผมจะทำงั้นเหรอ” ได้ยินดังนั้นรีจิสก็ยกยิ้มเล็กน้อย

......“เจ้าไม่อาจกลับบ้านได้ในเร็ววัน มีแค่เรื่องนี้ที่ต้องเตรียมใจ”

......“ถ้าเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นน่ะ วางใจเถอะ” น็อคทิสพูดจบก็เอี่ยวตัวทำท่าจะเดินไป แต่ก็ต้องชะงักไปก่อน เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยขัดขึ้น

......“ดูแลตัวเองด้วย” กษัตริย์รีจิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและห่วงใย ก่อนจะเดินเข้าไปหาน็อคทิสที่ยืนนิ่งมองตนอยู่อีกขั้น “ไม่ว่าที่ไหนที่เจ้าไป สายเลือดแห่งลูซิสจะติดตัวเจ้าไปด้วยเสมอ” กษัตริย์รีจิสพูดพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่งเพื่อจับบ่าของน็อคทิส “จงภูมิใจ ลูกพ่อ”





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 3 2020, 04:48 PM
โพสต์ #8


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 5 (2/5)





บรื้น!

เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นในท้องถนนสายแคบ กลาดิโอโบกมือไปมา เสมือนขอให้จอดและขอติดรถไปด้วย แต่คันแล้วคันเล่าก็ขับผ่านไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอคงที่ตลอด ไม่มีทีท่าว่าจะจอดเลยสักคัน

......“ไม่ไหวแฮะ นึกว่าคนนอกเมืองจะเป็นมิตรซะอีก” กลาดิโอพูดพลางเดินมาค้ำรถยนต์แล้วท้าวสะเอวอย่างหน่าย ๆ

......“อย่าคาดหวังมากกับคนแปลกหน้าเลย” อิกนิสพูดทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงคว่ำอยู่บนพวงมาลัยสีดำ

......“เอาละ มีแต่ต้องเข็นไปอย่างเดียวแล้วละนะ” กลาดิโอพูดพลางบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง

......“หา! นี่ฉันคอแห้งจะตายอยู่แล้วเนี่ย” พรอมพ์โตพูดในขณะที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นถนน

......“ลุกขึ้น” กลาดิโอเดินมาตบหลังคนผมดำ ก่อนจะเดินไปเตะเท้าพรอมพ์โตที่นอนอยู่เพื่อเรียกให้ขึ้นมาช่วยกัน พวกเขาจึงจำใจต้องลุกด้วยท่าทีเหนื่อย ๆ “เร็วเข้า รถมันเดินเองไม่ได้นะ” กลาดิโอพูดก่อนที่จะเดินมาท้ายรถ ส่วนน็อคทิสไปทางซ้าย พรอมพ์โตไปทางขวา และอิกนิสนั่งอยู่ในรถทางด้านคนขับ เพื่อเป็นคนบังคับทิศทางการเดินล้อของรถยนต์

......“ฉันนึกว่ารถจะพาเราไปซะอีกนะเนี่ย” พรอมพ์โต

......“แบบนี้ไม่ดีเลย” น็อคทิส

......“เดี๋ยวก็ดี พร้อมรึยัง เอาละนะ” กลาดิโอพูดก่อนทำท่าจะดันรถ

......“ครับ ๆ” น็อคทิสตอบรับและออกแรงไปพร้อมกันเพื่อเข็นรถไปข้างหน้า “เฮ้อ ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย”

......“ไม่จริงหรอกมั้ง ว่าไง องค์ชายน็อคทิส” กลาดิโอพูดขำ ๆ

......“อย่าออกแรงเยอะเกินไปล่ะ” อิกนิส

......“ก็มันช่วยไม่ได้นี่!” พรอมพ์โต

......“อะไร ๆ ก็ซวยไปหมด” กลาดิโอ

......“กลาดิโอ ช่วยหน่อยสิ!” น็อคทิส

......“อะไร”

......“มาเข็นคนเดียวที”

......“อย่าพูดบ้า ๆ นะ!”

......“แต่ถึงจะบ่นไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนนี่นา” พรอมพ์โต

......“พรอมพ์โต จะบอกให้เลิกบ่นสินะ” กลาดิโอ

......“ถ้ามัวแต่พูดเดี๋ยวจะเหนื่อยเอานะ” อิกนิสปรามเพื่อนทั้งสามที่โต้วาทีกันไปมาไม่หยุดหย่อน

......“อิกนิส มาเปลี่ยนกันได้แล้ว” น็อคทิส

......“เราเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อกี้เองไม่ใช่รึไง” กลาดิโอ

......“น็อค ต่อไปตาฉันนะ!” พรอมพ์โตรีบแย้งทันที

......“ตามนั้นแหละ” อีคนิคเสริม

......“ให้ตาย ปวดมือจัง” พรอมพ์โต

......“เฮ้ ห้ามเอามืออกนะ” กลาดิโอ

......“ครับ ๆๆ” พรอมพ์โตขานรับด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ

......“โทรศัพท์ล่ะ” น็อคทิส

......“ไม่มีสัญญาณเหมือนเดิม” อิกนิสตอบ

......“แต่มันไม่แปลกรึไง น่าจะใกล้แฮมเมอร์เฮดแล้วนี่” พรอมพ์โต

......“ตามที่ดูในแผนที่เมื่อกี้ก็ใช่” อิกนิส

......“เจ๋ง ใกล้ถึงแล้วสินะ” น็อคทิส

......“อา อีกนิดเดียวละ” พรอมพ์โต

......“เหอะ นายหัดดูแผนที่ไว้บ้างก็ดีนะ” กลาดิโอ

......“เฮ้อ โลกนี้กว้างจังนะ” น็อคทิส

......“รู้ได้ด้วยนี่” อิกนิส

......“รู้ด้วยวิธีนี้ก็ไม่ไหวนะ” พรอมพ์โต

......“พวกนายน่ะออกแรงอยู่รึเปล่า” กลาดิโอ

......“ออกแรงอยู่ครับ!” พรอมพ์โต

......“ออกอยู่” น็อคทิส





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 3 2020, 04:51 PM
โพสต์ #9


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 5 (3/5)





อู่ซ่อมรถ, แฮมเมอร์เฮด

......“ไง! กำลังรออยู่เลย” เสียงหวานใสของหญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งเดินเข้ามาหา แต่งกายเหมือนช่างซ่อมรถ “เอ่อ...ไหนล่ะองค์ชาย” จบคำ น็อคทิสที่กำลังนั่งพักอยู่ก็ลุกขึ้นยืนแสดงตัวให้อีกฝ่ายเห็น “โอ๊ะ ยินดีที่ได้พบค่ะ องค์ชาย เรื่องงานอภิเษกสมรสยินดีด้วยนะคะ”

......“เปล่า ยังไม่ได้แต่งสักหน่อย”

......“ว่าที่เจ้าบ่าวขององค์หญิงลูน่าเฟรย่า มาเยือนถึงแฮมเมอร์เฮด” น็อคทิสทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แววตาสีน้ำเงินสวยนั้นดูสับสน จนสุดท้ายก็ไม่ได้ขัดออกไป

......“ขอโทษที่มาช้านะ” อิกนิสบอก ทำให้อีกฝ่ายที่กำลังเดินดูรถของพวกน็อคทิสอยู่หัวเราะเบา ๆ

......“ปู่น่ะรอจนเบื่อแล้วนะรู้ไหม”

......“แล้วเธอคือ?” กลาดิโอเอ่ยถาม

......“ซินดี้” ‘ซินดี้ ออรัม’ “หลานสาวของ ‘ซิด โซเฟีย’ เป็นช่างอยู่ที่นี่”

......“จะยืนคุยกันอีกนานไหม” เสียงแหบ ๆ ของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านข้างของซินดี้ เดินมาสำรวจรถด้วยอีกคน “พ่อไม่ได้บอกเหรอว่าให้ขับดี ๆ นี่มันเป็นผลงานชิ้นเอกเลยนะ” อีกฝ่ายบอกก่อนจะเงยหน้ามองคนผมดำ “องค์ชายน็อคทิส”

......“อา...ครับ”

......“ฮึ หน้าตาไร้ความเกรงขาม ไม่เหมือนพ่อเลยนี่นา”

......“หา?”

......“ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกเป็นกองใช่ไหมล่ะ จะทำหน้าดุได้ดีกว่านี้อีกรึเปล่านะ” จบคำก็ลูบกระโปรงหน้ารถ ก่อนจะขยับหมวกที่ตนสวมอยู่ลงเล็กน้อย “เจ้านี่ วันนี้คงใช้ไม่ได้” พูดเสร็จก็เดินไป พร้อมกับสั่งพวกน็อคทิสไปด้วย “เข็นเข้าไปข้างใน ระหว่างนี้ก็ไปหาอะไรทำรอซะ”

......ซินดี้ถอนหายใจเบา ๆ “ได้ยินแล้วนะ เริ่มกันได้เลย ตามมาทางนี้!”


......“คงต้องติดอยู่ที่นี่สักเดี๋ยวละนะ” อิกนิสเอ่ยบอกหลังจากส่ง ‘เรกาเลีย’ รถแต่งสุดคลาสสิคเข้าโรงรถไปแล้ว

......“ไปตั้งแคมป์กันเถอะ เดินทางมาทั้งวันฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” พรอมพ์โต

......“เอาสิ” น็อคทิส

......“มีจุดตั้งแคมป์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่” อิกนิส

......“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปเตรียมของก่อน” กลาดิโอ

......“ฉันจะไปช่วยกลาดิโอ พวกนายสองคนไปซื้อวัตถุดิบมาให้ทีนะ” อิกนิสพูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนตัวยักษ์อีกคน ก่อนที่จะได้ก้าวขาไปไหนเจ้าเพื่อนตัวแสบก็กระโดดมากอดคอคนผมดำหมับ

......“ซื้อเนื้อนะน็อค! ฉันอยากกินเนื้อ!”

......“อา อะไรก็ได้ที่ไม่มีผักน่ะนะ” น็อคทิสยกยิ้ม มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อขอซื้อเสบียง





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 3 2020, 04:54 PM
โพสต์ #10


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 5 (4/5)





พระจันทร์ครึ่งดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า น็อคทิสนั่งจิบน้ำชาอุ่นร้อนอบู่บนโขดหินไปพลาง จ้องมองดวงจันทร์ข้างบนไปพลาง ข้างกายมีหน้ากากภูติจิ้งจอกวางอยู่ไม่ไกล มันทำมาจากไม้สการ์เล็ต ที่ซึ่งนำเข้าจากต่างแดน เนื้อไม้สวย ยืดหยุ่น และละเอียดอ่อน จะสร้างให้เป็นรูปทรงยังไงก็ได้ มักเอามาทำเป็นงานฝีมือจำพวกของตกแต่ง รวมไปถึงงานประณีตอย่างการแกะสลัก เวลาผ่านไปสิบปีก็ไม่มีทางย่อยสลายไปได้ง่าย ๆ ทำให้ราคาของมันสูงลิบลิ่ว

ดวงตาสีแซฟไฟร์เหล่มองหน้ากากขาว แต้มลวดลายด้วยสีแดงอย่างจิ้งจอกภูต คิดถึงดวงตาสีเหลืองอร่ามภายใต้หน้ากากนั้น เขาอยากตามหา อยากเอาหน้ากากไปคืนและถามว่าทำไมถึงหายไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลย...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเร
ิ่มหาจากที่ไหนดี สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับคนคนนั้นมีเพียงแค่ชื่อที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า กับใบหน้างดงามนั้นที่จดจำได้ไม่เคยลืม

มีเพียงความปรารถนาเดียวที่อยากทำให้สำเร็จ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร คือการได้พบกับเจ้าของเรือนผมสีหิมะนั่นอีกครั้ง แค่อีกครั้งเดียวก็เกินพอ

......“น็อค” เสียงร่าเริงของพรอมพ์โตเอ่ยทัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งพรวดพราดเข้ามานั่งข้าง ๆ มือซุกซนหยิบหน้ากากนั้นขึ้นมาพินิจดูจนน็อคทิสใจหายวูบ ด้วยความที่นั่งตรงหน้าผาก็กลัวเจ้าเพื่อนบ้าจะเล่นอะไรพิเรนทร์ขึ้นมา

......“ถือดี ๆ หน่อยสิ! เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” มือเรียวคว้าหมับ ดึงหน้ากากนั้นคืนมา ใบหน้าตื่นตระหนกจนคนผมทองหัวเราะร่า

......“โทษที ๆ ของสำคัญมากเลยนี่นา” พรอมพ์โตมองน็อคทิสที่กำลังกอดหน้ากากไว้แนบอกอย่างหวงแหนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ทุกคนทราบดีว่าของสิ่งนั้นมีความหมายมากมายแค่ไหนต่อคนตรงหน้า บุรุษเรือนผมสีขาว กับดวงตาสีเหลืองอำพัน คนที่น็อคทิสบอกว่างดงามยิ่งกว่าอัญมณีเม็ดใด พวกเขาเองก็อยากเห็นเหมือนกัน...ผู้ซึ่งเป็นดั่งรักแรกในความทรงจำวัยเยาว์ของเจ้าชา
ยน็อคทิส

......“แล้วมีอะไร” คนผมดำเอ่ยถาม

......“เห็นว่าดึกแล้ว อิกนิสเลยให้มาตามน่ะ”

......“เหอะ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

......“นั่นสิน้า พวกเราเองก็โตขึ้นมากจากแต่ก่อนอยู่เหมือนกัน” พรอมพ์โตบอกพลางหัวเราะเบา ๆ คิดไปถึงตอนที่เจอกับน็อคทิสครั้งแรก ในโรงเรียนตอนประถม

ดวงตาทั้งสองคู่มองตรงไปที่ดวงดาวบนฟากฟ้าพร้อมกัน ตอนแรกพรอมพ์โตไม่แม้แต่จะคิดเลยว่าเขาจะสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าชายอย่างน็อคทิสได้ ไม่มีใครอยากคบหาคนอย่างเขาหรอก จนไปเจอลูน่าเฟรย่า ก่อนจะพบความจริงที่ว่าน็อคทิสเองก็อยากเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนกัน

......“นี่น็อค หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วนายจะทำอะไรต่อ”

......“หมายความว่ายังไง” คนผมดำหันหน้ามาเลิกคิ้วให้อย่างไม่เข้าใจ

......“ก็หลังจากที่พบท่านลูน่าเฟรย่า แต่งงานกัน ขึ้นเป็นราชาคนต่อไปของลูซิส อ๊ะ นั่นสินะ นายคงมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะเลยละ พยายามเข้านะ ฮี่ ๆ” จบคำ มือของน็อคทิสก็เลื่อนไปผลักหัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

......“คิดว่านายจะสบายรึไง ในฐานะที่เป็นเพื่อนก็ต้องมาช่วยด้วย”

......“เอ๋!” พรอมพ์โตลากเสียงยาวอย่างขัดใจ “ไม่เอานะ ฉันไม่ถนัดงานเอกสารหรอก”

......“งั้นให้เป็นหน้าที่ของอิกนิสแล้วกัน” อีกคนหันมากระซิบอย่างเจ้าเล่ห์

......“เห็นด้วย!” จบคำก็หัวเราะด้วยกันอย่างครื้นเครง ก่อนที่น็อคทิสจะหันไปมองน้ำทะเล ฟังเสียงคลื่นที่สาดซัดกระทบชายฝั่ง ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายแวววาวมองตรง ไม่ใช่เกาะข้างหน้า แต่เป็นสถานที่ที่ไกลกว่านั้น ไกลมากจนไม่รู้ว่าจะคืนกลับมาได้รึเปล่า

......“บางทีนายอาจไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้” เสียงนั้นแผ่วเบาจนลมแทบจะพัดมันออกทะเล

......“อะไรนะน็อค” พรอมพ์โตเลิกคิ้ว ชะโงกหน้าเข้าไปหาเพื่อจะฟังให้ถนัดขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับหันมายิ้มกว้างให้ซะอย่างนั้น

......“ไม่มีอะไรหรอก” เอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นจากโขดหินที่นั่งอยู่ “ไปนอนกันเถอะ”





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 3 2020, 04:59 PM
โพสต์ #11


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 5 (5/5)





......“กำลังรออยู่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นพวกน็อคทิสก็กลับมาเอารถกัน ซินดี้ยืนอยู่ข้าง ๆ เรกาเลีย ก่อนจะผายมือให้เชยชมผลงาน “ดูสิ สะอาดขึ้นใช่ไหมล่ะ”

......“แบบนี้คงทำเปื้อนไม่ได้แล้วสินะ” กลาดิโอ

......“ขับระวัง ๆ ด้วยล่ะ อ๋อ จริงสิองค์ชาย ช่วยไปส่งของให้หน่อยได้ไหม” ซินดี้

......“หืม? ก็ได้อยู่หรอก” น็อคทิสตอบรับ

......“ขอบคุณนะ! คิดอยู่แล้วว่าต้องตกลงเลยใส่ไว้ในรถแล้วละ ระหว่างทางไปท่าเรือกลาดินจะมีโรงแรมอยู่ ช่วยเอาของนั่นไปให้เจ้าของโรงแรมหน่อยนะ ฝากด้วยล่ะ”

......“ทำตามใจชอบจังนะ” น็อคทิสบอกกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ

......“เตรียมพร้อมกันแล้วใช่ไหม” อิกนิสเอ่ยถาม ก่อนจะกดเปิดประทุนรถขับออกจากอู่ซ่อมรถ มุ่งตรงไปที่ท่าเรือ

......“แฮมเมอร์เฮดนี่ดีจังเลยนะ” พรอมพ์โตพูดหลังจากออกมาได้ไม่ไกลนัก

......“ก็แบกตราของฝ่าบาทไว้บนแขนเสื้อเลยนี่นา” อิกนิส

......“ถ้าจบทริปนี้ คงไม่ได้มาแล้วสินะ”

......“หา?” น็อคทิสสบถอย่างไม่เข้าใจ

......“อยากมาก็มาได้นี่ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับทริปสักหน่อย ได้ยินมาเหมือนกันว่าซินดี้เองก็ฝีมือดีไม่น้อย” กลาดิโอ

......“อ๋อ อยากเจอผู้หญิงนี่เอง” อิกนิส

......“งั้นตอนนั้นจะให้ยืมเรกาเลียแล้วกัน” น็อคทิส

......“โห! อ๊ะ เดี๋ยว นั่นน่ะไม่เอาดีกว่า” จบคำก็หัวเราะแหะๆ “ไว้กลับเมืองหลวงแล้วฉันจะลองคิดเรื่องรถดู”

สิ้นเสียงนั้นบรรยากาศก็เงียบลง นั่งตากลมไปได้สักพักพวกเขาก็มาถึงโรงแรมที่ว่าในเวลาอันรวดเร็ว น็อคทิสเอาของไปส่งให้กับเจ้าของโรงแรมตามที่ซินดี้ไว้วานมา ก่อนที่จะได้ยินเสียงเห่าจากสุนัขตัวหนึ่ง

โฮ่ง!

......“อ๊ะ อัมบรา” น็อคทิสยิ้มเล็กน้อย นั่งยอง ๆ ลูบหัวมาเบา ๆ

......“เอาของมาส่งงั้นเหรอ เหนื่อยหน่อยนะ” พรอมพ์โตพูด พลางค้ำเข่ามองดูมันอย่างสนใจ

......“รู้ด้วยเหรอเนี่ยว่าพวกเราอยู่ที่นี่” กลาดิโอเอ่ยขึ้น

......“แต่เดิมก็ถูกเลี้ยงไว้ส่งของนี่นา” อิกนิสบอก

......“มาถูกตลอดได้ยังไงเหรอ” พรอมพ์โตถามเจ้าสุนัขแสนรู้

......“รอเดี๋ยวนะ” น็อคทิสพูดก่อนจะหยิบสมุดเล่มสีน้ำตาลแดงออกมาจากกระเป๋าด้านหลังของมัน


สิบสองปีก่อน, ราชอาณาจักรเทเนไบร์

ภายในห้องบรรทมขนาดใหญ่ ร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงกว้างนั้นกำลังเปิดสมุดเล่มบางขึ้นดู พร้อมด้วยเด็กสาวผมบลอนด์สยายงดงามนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกาย หน้าแรกเป็นดอกไม้สีม่วงที่ถูกตรึงกับกระดาษด้วยขี้ผึ้งสีเหลืองราวกับทองคำ

......“ดอกไม้?” เสียงของเด็กชายพูดอย่างสนอกสนใจ

......“เป็นดอกเดียวกับที่ใช้เย็บเข้ามงกุฎค่ะ” เด็กสาวเอ่ยบอก

......“อ่า จำได้สิ ‘ดอกแห่งซีลล์’” เด็กชายยิ้ม ก่อนจะไล่สายตาดูดอกไม้นั้นอีกครั้ง

......“คือว่า...”

......“?” เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีอะไรจะพูด อีกคนจึงเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

......“ตอนที่ท่านกลับไป ช่วยนำสมุดเล่มนี้กลับไปด้วยได้ไหมคะ”

......“อือ” เด็กชายปิดหนังสือลง แล้วรับปาก

......“แล้วก็...ถ้าจะกรุณา อยากให้ท่านน็อคทิสเขียนบางอย่างไว้ แล้วส่งกลับมา...ให้ดิฉันบ้างค่ะ”


น็อคทิสยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนจะอ่านข้อความที่อยู่บนสมุด ตัวหนังสือเป็นลายมือของลูน่าเฟรย่า ตวัดปลายหางเล็กน้อยอย่างสวยงาม ชวนน่าอ่าน

......[ดิฉันกำลังจะออกจากเทเนไบร์แล้วค่ะ]

เห็นดังนั้นจึงหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตอบบ้าง ก่อนจะเก็บมันกลับเข้าที่เดิม เพื่อส่งคืนให้กับอีกฝ่าย

......“โอเค กลับดี ๆ ล่ะ” น็อคทิสเอ่ยบอก ลูบหัวมันส่งท้าย

......“ยังไงก็คงไม่ยอมบอกกันอยู่แล้วสินะ” พรอมพ์โตพูดขึ้นมาลอย ๆ

......“รู้แล้วก็อย่าถาม” น็อคทิส

......“เมื่อกี้เขียนอะไรเหรอ” แม้จะพูดไปอย่างนั้นเจ้าเพื่อนตัวแสบก็ยังเค้นถาม “ไม่บอกสินะ” เจ้าตัวยักไหล่ ก็ใช่ว่าอยากรู้อะไรนักหรอก แค่ถามเผื่อ ๆ ว่าคนผมดำจะยอมบอก

......[ในที่สุดก็จะได้เจอเธอแล้ว ลูน่า]





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 5 2020, 02:59 PM
โพสต์ #12


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 6 (1/3)





......[สำหรับข่าวถัดไป องค์หญิงลูน่าเฟรย่ามีเรื่องจะแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับพิธีที่กำลังจะมาถึงครับ
] เสียงพิธีกรหนุ่มเอ่ยบนวิทยุในรถยนต์

......[คำพูดไม่อาจแสดงออกมาได้ทั้งหมด ความยินดีจากใจของดิฉัน มันเหมือนกับการได้มีอิสรภาพและสันติอีกครั้งค่ะ] เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น น็อคทิสหวนถึงช่วงเวลาที่ได้เล่นด้วยกันในวัยเด็กอีกครั้ง ป่านนี้ลูน่าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ [ไม่เพียงแค่ได้รับเกียรติในการอภิเษกสมรสในครั้งนี้ แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์อีกด้วย ทว่าช่วงเวลาที่น่ายินดีเช่นนี้ อาจมีบางท่านเป็นกังวล ความกลัวที่คิดว่าดิฉันอาจไม่สามารถทำหน้าที่เทพยากรณ์ได้นั้น โปรดอย่าได้วิตกเลยค่ะ เพราะการแต่งงานไม่อาจหยุดยั้งหน้าที่ของดิฉันได้ ท่านจะพบดิฉันได้เสมอไม่ว่าจะในเมือง ในหมู่บ้าน ทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลง และดิฉันจะทำหน้าที่ให้พรกับพวกท่านเสมอ]

......[องค์หญิงลูน่าเฟรย่ากำลังออกเดินทางจากเทเนไบร์เพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสในอีกไม่กี่
วันข้างหน้า ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการนี้ กิจของเทพยากรณ์จะถูกระงับไว้ชั่วคราวครับ]

......“เอ๋ มีในสัญญาด้วยเหรอ” พรอมพ์โต

......“อ่า ตกลงกันไว้แบบนั้น” อิกนิส

......“ก็เป็นตัวแทนแห่งสันติภาพนี่นา” กลาดิโอ

......“แปลว่าเป็นการแต่งงานทางการเมืองสินะ” พรอมพ์โต

......“ในฐานะองค์หญิงจำเป็นต้องทำแบบนั้น” อิกนิส

......“ตัวคู่บ่าวสาวเองก็ไม่ได้คัดค้านนี่เนอะ” กลาดิโอบอก ก่อนที่น็อคทิสจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

......“อ๊ะ ถอนหายใจทำไมเหรอ” พรอมพ์โตถามกลั้วหัวเราะ

......“หา?” ก่อนที่จะเกิดการถกเถียงกัน คนผมทองก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน

......“ทะเล! เห็นทะเลแล้ว!”

......“จริงด้วย!” น็อคทิสก็หันไปให้ความสนใจกับทิวทัศน์ข้างตัวไม่ต่างกัน

......“ท่าเทียบเรือกลาดิน” อิกนิส

......“น่าว่ายน้ำจังนะ” กลาดิโอ

......“ข้างหลังนั้นมีภูเขาด้วยเหรอ รูปร่างแปลก ๆ นะ” น็อคทิส

......“นั่นมันเกาะต่างหาก” อิกนิส

......“จะเกาะหรือภูเขาก็ช่างมันเถอะ นี่มันเวลาของรีสอร์ทนะ เตียงนุ่ม ๆ แล้วก็มีคนนวดให้!” พรอมพ์โต

......“และอาหารเลิศรสด้วยน่ะนะ ปลาของที่นั่นคงจะอร่อยน่าดู” อิกนิส

......“เห” น็อคทิสอุทาน

......“ตั้งตารอไม่ไหวแล้ว” กลาดิโอพูดจบก็ถึงที่หมายพอดี ทุกคนลงจากรถ เดินชมวิวดูทะเลสีใสสักพัก ท่าเรือกลาดินต้องข้ามสะพานนี้ไปก่อนจึงจะถึง

......“ยินดีต้อนรับสู่กลาดินครับ” มีพนักงานชายสวมชุดต้อนรับสีแดงโค้งตัวให้อย่างสุภาพเมื่อพวกน็อคทิสมาถึงทางเข้าแล้


......“เกรงว่าพวกท่านคงจะโชคร้ายแล้วละครับ” จู่ ๆ ก็มีผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาทัก อีกฝ่ายมีผมสีแดงเลือดนก สวมเสื้อตัวหนาและผ้าพันคอ ไม่เหมาะกับอากาศร้อน ๆ อย่างที่นี่

......“หา?” น็อคทิสสบถ ขมวดคิ้วอย่างสงสัย

......“มาขึ้นเรือใช่ไหม”

......“แล้วยังไงล่ะ” พรอมพ์โต

......“อืม เห็นว่าไม่มีเรือออกนี่สิ” อีกฝ่ายมองพลางหันไปมองที่ท่าเรือ

......“อะไรกัน” กลาดิโอ

......“ถ้าจะให้รอล่ะก็ขอบาย กลับดีกว่า” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินผ่านพวกน็อคทิสไป “เป็นเพราะสนธิสัญญารึเปล่าน้า” จบคำก็หันหลังกลับมาดีดเหรียญอะไรบางอย่างใส่น็อคทิส เขาไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่ยกมือป้องกัน แต่กลาดิโอก็รับไว้ได้ทันก่อนจะถูกตัวคนผมดำ

......“นี่มันอะไร ของที่ระลึกเหรอ” กลาดิโอถาม แบบมือดูเหรียญนั้น

......“เอ๊ะ จริงเหรอ” พรอมพ์โตเดินเข้ามาดู ก่อนที่น็อคทิสจะเอ่ยขัด

......“ใช่ที่ไหนเล่า”

......“นั่นน่ะค่าขนม” ชายผมแดงบอก

......“แล้วนายเป็นใคร” กลาดิโอพูด ท่าทีคุกคามมากขึ้น

......“แค่คนธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่เห็น” อีกฝ่ายพูดจบก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย

......“ที่ว่าไม่มีเรือออกจริงรึเปล่านะ” พรอมพ์โตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ชายคนนั้นไปไกลแล้ว

......“มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น” อิกนิสบอกก่อนจะเดินนำไปที่ท่าเรือ

......“ยังไงก็ลองไปเช็คดูแล้วกัน” กลาดิโอ

......“เอ๋ ไม่มีเรือเลยสักลำ” พรอมพ์โตพูดหลังจากชะโงกหน้ามองดูท่าเรือแล้ว “ทำไมล่ะ”

......“ฉันจะลองไปหาข้อมูลดู ระหว่างนี้คงต้องพักอยู่ที่นี่ก่อน” อิกนิสเอ่ย ก่อนที่พวกน็อคทิสจะตัดสินใจเช่าห้องพัก

ที่นี่อยู่ใกล้ทะเลจึงทำให้รู้สึกเหมือนมาพักร้อน พวกเขาตั้งวงเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ทันได้รู้เลยว่า...อีกฟากหนึ่งนั้น





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 5 2020, 03:02 PM
โพสต์ #13


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 6 (2/3)





อินซอมเนีย, ลูซิส

ภาพของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ลูซิสและนีฟล์ไฮม์ ยืนเคียงข้างกันเพื่อเจรจาสนธิสัญญา กำลังเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งราชอาณาจักรของลูซิส ประชาชนที่ยืนดูอยู่ต่างกระโดดโลดเต้นกันไปมา เมื่อรู้ว่าสันติสุขกำลังจะมาเยือน แต่หารู้ไม่ว่า...เสียงของระเบิดที่ดังขึ้นกลางพระราชวัง คือเสียงแห่งความล่มจมของอาณาจักร

คริสตัลที่คอยเป็นเกราะกำบังสลายหายไปในทันทีที่โดนแรงกระทบจากระเบิด ทำให้บาร์เรียที่ปกคลุมอยู่เหนือลูซิสค่อย ๆ แตกกระจายเพราะไม่มีพลังของคริสตัลคอยค้ำจุน ไม่นานนักเมื่อเสียงของระเบิดลูกแรกดังขึ้น ราวกับเป็นการประกาศสงคราม ลูกอื่น ๆ ที่ติดตั้งไว้ตรงส่วนล่างของอาณาจักรก็เริ่มระเบิดตามทันที จักรวรรดิแห่งนีฟล์ไฮม์ล้วงปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อม ๆ กับดาบแห่งกษัตริย์ลูซิสที่เสกขึ้นมากลางหมู่มวลอากาศ และเหล่าข้าราชบริพารของทั้งสองอาณาจักรที่ต่างเผยอาวุธ เพื่อเตรียมตัวฆ่าล้างอีกฝ่าย

ภายในท้องพระโรงขนาดใหญ่ ผู้คนล้มตาย โต๊ะเก้าอี้พังระเนระนาดไม่มีชิ้นดี ดราโทสกำลังต่อสู้กับ ‘ขุนพลชุดเกราะกลอว์ก้า’ ร่วมกับพระราชาเอง ดาบประดาบ เสียงดังโครงเครงภายในห้องโถงที่เตรียมการเซ็นลงนามเพื่อสัญญาสันติสุข แต่บัดนี้กลับนองไปด้วยหยดเลือดสีแดงฉาน

อสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวกำลังถล่มอาณาจักรข้างนอกนั่น โดยไม่สนใจเหล่ามนุษย์ที่วิ่งหน้าตาตื่นชนกันไปมา ยานบินของนีฟล์ไฮม์พ้นเกราะบาร์เรียเข้ามาได้ ก็ยิงกระสุนรัวไปทุกอาคารบ้านเรือน ไม่นานเมืองทั้งเมืองก็ราบเป็นหน้ากลอง กษัตริย์รีจิสสาดเวทย์สายฟ้าเพื่อต่อกรกับดาบของขุนพลกลอว์ก้า แต่ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่ทำให้ฝ่ายนั้นทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นได้ มิหนำซ้ำยังโดนเบียดเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ด้วยดาบเล่มใหญ่นั้น และในที่สุด…

ฉึก!


ตึก ๆๆๆ

เสียงรองเท้าบูทดังขึ้นอย่างรีบเร่งบนเรือบินของจักรวรรดินีฟล์ไฮม์ ผ้าคลุมสีขาวเนื้อดีสะบัดพลิ้วตามการเคลื่อนไหวของบุรุษผู้หนึ่ง ใบหูข้างซ้ายประดับด้วยจิวหูเงินเล็ก ตรงติ่งหูมีอัญมณีน้ำงามสีฟ้าครามแต่งเสริม ตามนิ้วเรียวซึ่งถูกปกปิดด้วยถุงมือยังมีแหวนเพรชนิลจินดา เครื่องแบบที่สวมนั้นฝังด้วยพลอยเม็ดใหญ่สีแดงทับทิม ทางเดินซึ่งมีทหารหนาตาคอยยืนคุ้มกันต่างก้มศีรษะให้อย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกผลักด้วยน้ำมือของเขา

......“ท่านตา” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่กำลังนั่งจิบไวน์อย่างไม่ทุกข์ร้อน

......“มีอะไรรึ”

......“นี่มันเรื่องอะไร ทำไมถึงโจมตีลูซิส” แม้น้ำเสียงและใบหน้าที่เอ่ยถามนั้นจะเรียบนิ่ง แต่ภายในอกกลับร้อนรุ่มราวกับมีไฟมาสุมไว้

......“ทำไม?” เลโดลัส ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันทวนเสียงสูง หันมาสบตากับหลายชายตนเอง

......“เรากำลังจะได้สันติสุข อิสรภาพ สิ่งที่ทุกคนต้องการมาโดยตลอดหลายปี และเพื่อสิ่งนั้นสนธิสัญญาจึงเป็นทั้งหมดที่เรามี แล้วทำไมท่านถึงได้...”

......“สันติสุข?” อีกฝ่ายพูด ทำให้คนผมขาวชะงักไป ดวงตาคมกริบราวกับมีดนั้นจ้องมองมาที่เขา “เราต้องการของแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน”

......“ท่าน...!”

......“สิ่งที่นีฟล์ไฮม์ต้องการไม่ใช่สันติสุข ไม่ใช่อิสรภาพ หรือไอ้สนธิสัญญาบ้าบออะไรนั่น! สิ่งที่เราต้องการมีเพียงแค่คริสตัล...กับแหวนเท่านั้น”

......“นั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ ไม่ใช่เรา” คนผมขาวเอ่ยเสียงเย็นเหยียบ ดวงตาสองคู่ปะทะกันไม่ยอมลดละ ก่อนที่ทหารยศสูงนายหนึ่ง เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินเข้ามาทำความเคารพทั้งสองพระองค์ แล้วเอ่ยถามเลโดลัส

......“ท่านเลโดลัส โปรดออกคำสั่งถัดไปด้วยพะยะค่ะ”

......“ยิงปืนใหญ่...”

......“ถอยทัพ” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขัดขึ้น สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องคนออกคำสั่ง รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากคนผมขาวนั้นทำให้ทหารทุกนายทั้งในและนอกห้องแทบขยับไม่ได
้หายใจไม่ออกไปตาม ๆ กัน องค์รัชทายาทนั้นว่ากันว่าเป็นคนอ่อนโยน วาจานุ่มนวล เมตตาปราณี แต่ไม่ใช่กับตอนที่พระองค์กำลังมีโทสะ! “ฉันสั่งให้ถอยทัพ…เดี๋ยวนี้” เสียงย้ำคำอย่างทรงอำนาจ ดวงตาสีเหลืองวาวโรจน์ตวัดมองหัวหน้าทหารคนนั้นที่ยืนหน้าซีดเผือกด้วยความเกรงกลัว แค่สายตานั้นก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายอย่างช้า ๆ ได้อย่างง่ายดาย

......“ถ...ถอยทัพครับ! เดี๋ยวนี้ครับ!” สิ้นเสียงก็รีบวิ่งหนีไปก่อนที่จะไม่ได้ทำ

......“ไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่ ยาชิฮารุ” เจ้าของชื่อหันไปมอง เล่นสงครามประสาทกันสักพักก่อนที่เลโดลัสจะวางแก้วไวน์ลง ประสานมือบนตักแล้วเงยหน้าปะทะอย่างจัง ๆ “ฉันมีงานให้แกทำ” จบคำก็แสยะยิ้มเยาะ...เขาเกลียด เกลียดสายตาราวกับอ่านออกทุกอย่าง เกลียดรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำกับเขา

สักวันหนึ่ง จะฆ่ามันด้วยมือคู่นี้เอง!





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 5 2020, 03:06 PM
โพสต์ #14


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 6 (3/3)





ท่ามกลางท้องฟ้าที่เปลี่ยนสี ต้อนรับรุ่งอรุณวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่เมฆครึ้มกว่าปกติ น็อคทิสที่เพิ่งตื่นนอนเหม่อมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงพรอมพ์โตจะดังขึ้น

......“อ๊ะ อรุณสวัสดิ์” สิ้นเสียง คนผมดำก็หยัดกายลุกออกจากเตียง ในห้องมีกลาดิโอและพรอมพ์โต

......“อิกนิสล่ะ” น็อคทิสเอ่ยถาม

......“เดี๋ยวก็คงมานั่นแหละ” กลาดิโอบอก ก่อนที่น็อคทิสจะเดินไปที่กระจกบานใหญ่ อิกนิสคงไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรือที่หยุดให้บริการนั่นแหละ เพื่อไปอัลทิสเซียจะต้องหาเรือสักลำให้ได้

ไม่นานเสียงประตูก็เปิดออก ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นอิกนิสที่เดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ แต่สายตาที่แปลกไปของอีกฝ่ายทำให้น็อคทิสย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง

......“อะไรเล่า”

......“ข่าวลงไว้แทบทุกหน้า” อิกนิสบอก ก่อนจะยื่นหนังสือพิมพ์นั้นให้กลาดิโอ คนตัวยักษ์รับมันไปดูอย่างรวดเร็ว

......“ข่าวอะไร?” น็อคทิส

......“อินซอมเนีย...ล่มสลายแล้ว” พรอมพ์โตอ่าน

......“หา!” ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง “พูดบ้าอะไรเนี่ย”

......“ใจเย็น ๆ ก่อนน็อค ฉันจะอธิบายให้ฟัง” อิกนิส

......“ให้ฉันใจเย็นงั้นเหรอ!” น็อคทิสสาวเท้าเดินเข้าไปหา

......“ดูเหมือนว่า...กองทัพจักรวรรดินีฟล์ไฮม์ เข้าโจมตีอินซอมเนียน่ะ” อิกนิสบอก ก่อนที่กลาดิโอจะอ่านบทความบนหนังสือพิมพ์ให้ฟัง

......“มีการระเบิดขึ้นระหว่างพิธีลงนาม แสงไฟเป็นประกายขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี และเมื่อควันไฟในห้องพระโรงค่อย ๆ จางหายไป เราพบว่ากษัตริย์รีจิส...สวรรคตแล้ว”

......“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ” น็อคทิสสบถ

......“ทรงเก็บเงียบไว้” อิกนิสเอ่ยขึ้น ก่อนที่คนผมดำจะหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น

......“หมายความว่ายังไง”

......“เมื่อวานมีพิธีลงนาม แล้วเมืองหลวงก็...”

......“อย่าบอกนะว่าที่ให้พวกเราไปอัลทิสเซีย...”

......“ทรงคาดไว้อยู่แล้ว!” อิกนิสหันกลับมาสบตาน็อคทิส ที่ตอนนี้เจ้าตัวดูสับสนปนเปไปกับหัวใจที่แหลกสลาย “แต่ถึงอย่างนั้น ข่าวกลับบอกว่าเป็นการโจมตีแบบไม่คาดคิด ทุกฉบับจากในเมืองลงไว้อย่างนั้น”

......“โกหกน่า” น็อคทิสเอ่ยเสียงแผ่ว รู้สึกอ่อนแรงจนต้องทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หนัง

......“มัน...” พรอมพ์โตเองก็พูดไม่ออก ก่อนที่กลาดิโอจะถอนหายใจ หันไปถามอิกนิส

......“แล้วรู้อะไรอีกไหม” เจ้าตัวส่ายหน้าช้า ๆ “มีแต่จะต้องไปดูกับตาตัวเองเท่านั้นแหละนะ”

......“ถ้าอย่างนั้นกลับอินซอมเนียกัน” พรอมพ์โต

......“มันอันตรายเกินไป” อิกนิสห้าม

......“อยู่ที่นี่ก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” พรอมพ์โตบอก

......“เอาไง” กลาดิโอถาม แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อก็รู้ว่าถามองค์ชายแห่งลูซิส ดวงตาสีมหาสมุทรเงยขึ้นสบตาเพื่อนทั้งสามคน ในนั้นมีทั้งความอาลัยและความโกรธในเวลาเดียวกัน

......“อา”


ท่ามกลางหน้าผาสูงชัน ตรงหน้านั้นคือลูซิส ควันดำลอยคลุ้งหลายจุด บ่งบอกได้อย่างดีว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง

......[เกี่ยวกับสนธิสัญญาสงบศึกของทั้งสองประเทศที่ล่มไปแล้วนั้น หลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ได้มีการประกาศยึดครองออกมาแล้วค่ะ นอกเหนือจากการสวรรคตของกษัตริย์รีจิส องค์ชายน็อคทิส แล้วก็องค์หญิงลูน่าเฟรน่าจากเทเนไบร์ ล้วนยืนยันว่าสวรร...] เสียงดับไปเพราะพรอมพ์โตเป็นคนปิด

......“ไม่ต้องปิด!” กลาดิโอบอก

......“ข...ขอโทษ!” ด้วยความลนลาน โทรศัพท์ร่วงหล่นจากมือคนผมทอง

......“ไม่ต้องไปฟังหรอกน่า” น็อคทิสฝืนพูดออกไป เสียงแหบแห้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ยามเมื่อเห็นควันไฟในเมืองลูซิส ลำคอก็จุกราวกับมีมีดมาแทงใส่

ยานบินลอยเคว้งอยู่เหนือหัว เศษฝุ่นเศษดินลอยละล่องตามแรงลม เสียงโทรศัพท์เครื่องบางดังอยู่ในกระเป๋ากางเกง

......“ฮัลโหล คอร์เหรอ?” น็อคทิสกดรับ

......[ปลอดภัยดีสินะ]

......“นี่มันเรื่องอะไร”

......[ตอนนี้อยู่ที่ไหน]

......“อยู่นอกเมือง เข้าไปไม่ได้เลย”

......[อ่า...]

......“‘อ่า’ อะไรเล่า! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วพวกฉันควรทำยังไงต่อ!” น็อคทิสถามรัวเร็วด้วยความร้อนใจ มันทั้งกลัวทั้งสับสน “ตาแก่ล่ะ ลูน่าล่ะ ที่ว่าองค์ชายตายแล้วมันหมายความว่ายังไง อธิบายมาสิ!”

......[ฉันกำลังจะออกจากที่นี่ แล้วไปแฮมเมอร์เฮด]

......“หา!”

......[ฝ่าบาท...สวรรคตแล้ว] จบคำ น็อคทิสเบิกตากว้าง หันกลับไปมองที่ลูซิสอีกครั้ง เหมือนมีบางอย่างค่อย ๆ กัดกร่อนหัวใจของเขาไปทีละนิด จนเหลือแต่ความว่างเปล่า น้ำฝนที่ตกลงมาอย่างสม่ำเสมอนั้นเย็นเฉียบจนร่างทั้งร่างแทบแข็งค้าง ดวงตาสีน้ำเงินนิลเหม่อมองภาพเมืองที่พังเละเทะไม่เหลือเค้าเดิม [เดี๋ยวฉันจะบอกเองว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนอื่น ออกมาจากที่นั่นก่อน] เสียงที่กรอกอยู่ข้าง ๆ แทบไม่ได้เข้าหูเลยแม้แต่น้อย [ไว้เจอกัน] สิ้นเสียงสายก็ตัดไป

มือค่อย ๆ ร่วงหล่นลงข้างตัว ความหวังที่เคยคิดว่าข่าวนั้นเป็นของปลอมทลายลงไปอย่างโหดร้าย แผ่นหลังกว้างนั้นดูหม่นหมองจนน่าใจหาย แม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดแต่ข้างในกำลังบีบรัดจนปวดร้าวอย่างแสนสาหัส

......“ท่านพ่อ...”





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 7 2020, 04:16 PM
โพสต์ #15


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 7 (1/2)





ตึก ๆๆ

เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอในฐานทัพที่ไร้ด้วยทหารของจักรวรรดินีฟล์ไฮม์ ผมสีบลอนด์สง่าพลิ้วไสวไปตามแรงลม ก่อนจะวิ่งเข้าหาสุนัขสองตัวที่นั่งอยู่ตรงหน้า พลางลูบหัวของพวกมันไปมาด้วยความเอ็นดู แล้วหันไปหยิบสมุดเล่มบางปกสีน้ำตาลที่อยู่บนหลังของเจ้าสุนัขขนสีดำ ก่อนที่รอยยิ้มบางเบานั้นจะเปื้อนใบหน้าอันงดงาม

ดวงตาสีฟ้าสว่างเห็นคนคนหนึ่งเดินเข้ามา ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องพบกับหญิงสาวรูปงาม ที่เดินมาหาเธอด้วยท่าทีอ่อนช้อย ลูน่าเฟรย่าลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหญิงสาว ก่อนจะค่อย ๆ กุมมือตรงหน้าอก แล้วเผยแหวนที่กำไว้ออกมา แหวน...อันเป็นดั่งสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ถูกฝากฝังให้เธอนั้นต้องไปพบกับใครคนหนึ่ง แล้วมอบมันให้กับเขา หญิงสาวอีกคนที่ได้เห็นแหวนนั้นด้วยตาตัวเองแล้ว จึงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่เธอจะกุมแหวนไว้แนบหน้าอกอีกครั้ง แล้วมองใบหน้าของสาวงามด้วยความมุ่งมั่น

ข้างหลังหญิงสาวคนนั้นมีบุรุษสองคน เครื่องแบบเป็นของทหารยศสูงจากจักรวรรดินีฟล์ไฮม์

......“องค์หญิงลูน่าเฟรย่า” พวกเขาโค้งกายให้อย่างสุภาพ หนึ่งในนั้นคือบุรุษเรือนผมสีขาวราวหิมะ ท่าทีอ่อนหวานจนชวนมอง “จากนี้ไปท่านจะอยู่ในความดูแลของเราครับ” ลูน่าสบตากับดวงตาสีเหลืองอร่ามนั้น รอยยิ้มที่มอบให้ดูนุ่มนวล ไร้พิษสง แต่เธอรู้ดีว่าพวกเขาเป็นจักรวรรดิ ที่เคยรุกรานผืนแผ่นดินเกิดเมื่อนานมาแล้ว แม้ไม่อาจลืม แต่จิตใจอันอ่อนโยนนั้นก็พร้อมที่จะให้อภัย


......“หน่วยองครักษ์คงไม่มีแล้วสินะ” กลาดิโอเอ่ยพูดในรถคันหรู ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอท่ามกลางเสียงฝนและสายน้ำจากฟากฟ้า

......“อ่า นายพลถึงต้องออกมาข้างนอกนี่ไง” อีคนิสเอ่ยตอบ

......“ในเมือง...จะเป็นยังไงบ้างนะ” พรอมพ์โต

......“เรื่องนั้นเดี๋ยวก็คงรู้เองนั่นละ” อิกนิส

......“เล่นเอาปั่นป่วนไปหมดเลยนะ” กลาดิโอ

......“แล้วจากนี้พวกเราจะทำยังไงกันต่อล่ะ” พรอมพ์โต

......“อันดับแรกต้องไปแฮมเมอร์เฮด เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง” กลาดิโอตอบ น็อคทิสก็ได้แต่นั่งฟังพรรคพวกที่คุยกันบนรถอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น สายตาก็เหม่อมองออกไปทางนอกหน้าต่าง

......[ฝ่าบาท...สวรรคตแล้ว]

เสียงของคอร์ยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว คนที่จากไปก็จากไปได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน ราวกับชีวิตเป็นเพียงเมฆหมอก ถึงเวลาก็โดนลมพัดไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

......“มีข้อความจากอีริส บอกว่ากำลังไปเลสทัลลัมกับคนอื่น ๆ” กลาดิโอ

......“น้องสาวปลอดภัยสินะ” พรอมพ์โตพูดด้วยน้ำเสียงโล่งอก

......“อ่า แต่ออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน” กลาดิโอ

......“ต้องขอบใจที่ลงข่าวว่าน็อคตายแล้ว ตอนเดินทางก็คงจะไม่เป็นที่สะดุดตามาก” อิกนิสบอก

......“หันกลับไม่ได้แล้วสินะ มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น” สิ้นเสียงพรอมพ์โต พวกเขาก็มาถึงแฮมม์เมอร์เฮดพอดี

น็อคทิสถอนหายใจเบา ๆ “นั่นสินะ” คนผมดำข่มตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อย่างที่พรอมพ์โตว่า แม้จะเศร้าโศกแค่ไหนคนตายก็ไม่มีทางกลับมา สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือทวงลูซิสคืน “ไปกันเถอะ”


......“เป้าหมายคือการชิงคริสตัลกับแหวน” ซิดเอ่ยบอกภายในโรงรถมืดครึ้ม เจ้าตัวนั่งบนล้อรถที่วางซ้อนกันหลายชั้น

......“ไม่ได้ตั้งใจจะสงบศึกแต่แรกแล้วสินะ” อิกนิสพูด น็อคทิสได้แต่ก้มหน้า คิ้วขมวดแน่นด้วยความโกรธเคือง

......“ดันไปหลงกลมันซะได้” คนผมดำเอ่ย

......“เหลวไหล” ซิดพูด ก่อนจะหันไปหยิบประแจที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ มาถือไว้ “คิดว่าอย่างหมอนั่นจะหลงกลง่าย ๆ รึไง” พูดจบก็จ้องมองพื้นข้างล่าง ดวงตาฉายแววความเจ็บปวด “สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงไม่ใช่การจู่โจมอย่างไม่คาดคิด หมอนั่นรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นจะมาถึง เขาไม่ใช่คนที่แม้จะรู้ว่าแพ้ก็ไม่ยอมสู้หรอกนะ แต่สุดท้าย...มันก็ยังไม่พอเท่านั้นเอง”

ใบพัดลมบนเพดานหมุนอย่างช้า ๆ ภายใต้จิตใจของทุกคนที่ดิ่งลงเหวจนบรรยากาศเริ่มเงียบลง ความชื้นจากหยาดฝนแผ่เข้ามาจนถึงในโรงรถ ทำให้รู้สึกหนาวราวกับยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ

......“คอร์ฝากบอกว่าจะคอยอยู่ที่สุสานกษัตริย์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ระหว่างนั้นมีด่านอยู่ รายละเอียดไปฟังจากเจ้านั่นเองเถอะ” ซิดพูดก่อนจะวางประแจเอาไว้ที่เดิม แล้วลุกขึ้นยืน “ฉันแทบจำไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่เจอรีจิส...มันนานมากแล้วล่ะนะ” สิ้นเสียงก็เดินออกจากโรงรถ ทิ้งให้พวกน็อคทิสจมอยู่กับคำถามในใจ คนผมดำเงยหน้ามองรูปที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะตรงหน้า มัน...เป็นรูปของเพื่อนสนิททั้งสี่คน





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post
Metchanruna Gros...
โพสต์ Jun 7 2020, 04:20 PM
โพสต์ #16


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

**




กลุ่ม : นักเรียนบ้านสลิธีริน
โพสต์ : 85
เข้าร่วม : 30-May 20
หมายเลขสมาชิก : 37,655
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: อาเคเซีย | ยาว: 10"
แกนกลาง: ขนยูนิคอร์น
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






Final Fantasy XV
บทที่ 7 (2/2)





......“ที่นี่คือด่านที่ซิดว่างั้นเหรอ” อิกนิสพูดหลังจากที่มาถึงแล้ว

......“มีแต่พวกนักล่าทั้งนั้นเลยนี่” กลาดิโอ

......“ลองไปถามดูก่อนเถอะ” พรอมพ์โตบอก

เมื่อก้าวเข้าไปในซุ้มก็เห็นชายร่างใหญ่สองคนนั่งอยู่ กับผู้หญิงอีกหนึ่งคน ก่อนที่เธอจะเห็นน็อคทิสแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก้มศีรษะให้อย่างเคารพ

......“ท่านน็อคทิส ดีเหลือเกินที่ปลอดภัย” ‘โมนิกา เอลเซ็ท’

......“โมนิกา แล้วคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง” กลาดิโอเอ่ยถาม เห็นดังนั้นอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืน

......“พวกองครักษ์ส่วนใหญ่ตายกันหมด สิ่งที่เราทำได้คือช่วยท่านอีริสหนีออกจากเมือง” โมนิกาบอก “ตอนนี้ท่านอยู่กับดัสติน และกำลังมุ่งหน้าไปที่เลสทัลลัม”

......“ฉันติดหนี้บุญคุณพวกนายแล้วละ” กลาดิโอพูด อย่างน้อยก็โล่งใจที่น้องสาวของตนเองปลอดภัยดี

......“แล้วฟรานส์ล่ะ” น็อคทิสที่ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้รีบเอ่ยถาม ก่อนที่เธอจะส่ายหน้าเบา ๆ ดวงตาสีน้ำเงินสวยนั้นไหววูบ เมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่เลี้ยงดูเขามาตลอดยี่สิบปี น้ำตาก็พลันพุ่งขึ้นมาจนแทบทะลัก แต่ก็ไม่อาจหลั่งออกไปได้

......“ท่านนายพลล่วงหน้าไปรอที่สุสานกษัตริย์แล้วค่ะ”


สุสานแห่งผู้ทรงปัญญา

......“มาจนได้นะ องค์ชาย” ‘คอร์ ลีโอนิส’ หันกลับไปมองผู้มาเยือน ใบหน้าคมเข้มดูน่าเกรงขามสมกับตำแหน่งนายพล

......“แล้ว? จะให้ฉันทำอะไรก็ว่ามา” น็อคทิสสบถ น้ำเสียงเริ่มมีเค้าไม่พอใจ

......“พลังของกษัตริย์ถูกส่งต่อจากองค์ก่อนสู่องค์ใหม่ผ่านสายสัมพันธ์ของจิตใต้สำนึก และนี่ก็คือโลงพระวิญญาณ” คอร์ผายมือไปที่โลงศพตรงหน้า มีรูปปั้นของกษัตริย์เป็นฝาโลง ในมือถือดาบเล่มยาวไว้อยู่ “การรับมอบพลังนั้นก็เป็นหน้าที่ของราชาเช่นกัน”

......“หน้าที่ทั้งที่ไร้แผ่นดินเนี่ยนะ” น็อคทิสบอกกลั้วหัวเราะ รู้สึกสมเพชขึ้นมาอยู่ในที

......“ฉันไม่ว่างถึงขนาดจะมาฟังนายพร่ำเกี่ยวกับโชคชะตาของตัวเองหรอกนะ”

......“เหอะ”

......“ราชาให้คำสัตย์ว่าจะปกป้องประชาชน”

......“แต่ก็มีแค่องค์ชายที่หนีออกมาได้ไม่ใช่เหรอ บ้าไปแล้วรึไง” คนผมดำบอก ขอบตาร้อนผ่าวราวกับมีไฟมาลน “ยอมเสียสละผู้คนตั้งมากมายเพื่อลูกชายของตัวเอง”

......“องค์ชาย จะเอาแต่ถูกปกป้องไปจนถึงเมื่อไร” คอร์พูด “นายน่ะมีหน้าที่ที่ถูกฝากฝังเอาไว้อยู่นะ”

......“ฝากฝัง?” น็อคทิสหัวเราะหึ ก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดมุ่น “ก็แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรเลยล่ะ!” ในที่สุดก็หมดความอดทน เสียงทุ้มต่ำตะคอกดังลั่น “ทำไมตอนที่ฉันจากมาเขาถึงยังยิ้มอยู่ได้!” มือหนาทุบไปที่โลงศพ “ฉันน่ะ!” น้ำตาแห่งความเสียใจหยดลงมาเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดที่เก็บกดมาไว้ทั้งหมดพลั่งพลูออกมาจนควบคุมไม่ได้ “ถูกหลอกเข้าเต็มเปาเลยไม่ใช่รึไง...” เสียงแผ่วเบาสั่นสะท้านแทบห้ามไม่อยู่ ดวงตาสีน้ำเงินคลอไปด้วยหยาดน้ำจนดูวาววับ

......“วันนั้น ท่านไม่ได้ต้องการให้นายจำท่านในฐานะราชา แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่งต่างหาก” คอร์เอ่ยบอกเสียงอ่อน เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กัน “ท่านรีจิสศรัทธาในตัวนาย และเมื่อเวลามาถึงนายจะต้องขึ้นครองราชย์เพื่อประชาชนต่อไป” น็อคทิสเงยหน้า ไร้วี่แววของน้ำตาเหล่านั้นอีก แต่ความโศกเศร้าในเวลานี้ไม่อาจบรรเทา

......“พูดจาเอาแต่ได้” จบคำก็ยื่นมือไปหาดาบเล่มนั้น ก่อนที่มันจะส่องสว่างเป็นประกายสีฟ้า แล้วหลุดออกจากมือของรูปปั้นแห่งกษัตริย์ ลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะเป็นแนวดิ่ง แสงสีขาวนวลชวนแสบตา หลังจากนั้นก็ตรงปักลงกลางอกของน็อคทิสอย่างรวดเร็วจนแทบจุก เรื่องราวและความทรงจำต่าง ๆ ไหลย้อนเข้ามาในหัว มันเป็นภาพของกษัตริย์ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประชาชน เหวี่ยงดาบไปมาเพื่อขับไล่ศัตรูผู้รุกรานแผ่นดิน เหงื่อผุดพรายตามพระพักตร์อันน่าเกรงขาม หยดเลือดไหลรินออกมาจากฝ่ามือ

ภาพของกษัตริย์ที่กำลังต่อสู้...เพื่ออาณาจักร

ดาบเล่มยาวนั้นลอยเคว้งอยู่รอบตัว น็อคทิสยกมือขึ้นสัมผัสเบา ๆ ที่อกของตนเอง ก่อนที่อาวุธนั่นจะสลายหายไปเหลือไว้เพียงประกายสีฟ้าลาง ๆ เท่านั้น

......“หนึ่งในพลังกษัตริย์ได้สถิตอยู่กับนายแล้ว”





MGtch.

Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 29th March 2024 - 03:53 PM