IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Closed TopicStart new topic
> The Human's Revolution, เรื่องยาว, แอ๊คชั่น แฟนตาซี
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 1 2013, 02:34 PM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง







_________________________________________________________



Fiction Title
..... The Human's Revolution

Rate
...... 3+ (ไปกันใหญ่ละ -.-)

Category
...... Long Fiction, Action-Fantasy,Sci-fi

Writer
...... นกฮูกมาร์



_________________________________________________________


Talk With Writer

กราบสวัสดี บองชูว์ ฮัลโหล หนีห่าว บองโจว์โน่ โอฮาโย่ สัมบายดี ฯลฯ (เยอะไป -.,-) ทุกๆท่านที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน หรือหลงเข้ามา
สืบเนื่องจากกิจกรรมฟิคชั่นคอนเทสต์ ครั้งที่สาม (พอเหอะ) มาร์เองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า สกิลการเขียนฟิคอยู่ในระดับไหน ก็เลยลงแข่ง
ประกอบด้วยอย่างได้เกล อยากได้คะแนนบ้าน และอื่นๆอีกมากมาย แต่ความจริงก็คืออยากเขียนฟิคเนี่ยแหละ 5555
คราวนี้มาแนวใหม่ค่ะทุกท่านนน แนววิทยาศาสตร์! อาจจะงงว่า ทำไมมาร์ไม่เขียนแบบแนวแจ่มใส (เรื่อง Paparazzi Mission) หรือแบบอิงประวัติศาสตร์ (เรื่อง จองจำในสุวรรณนคร)
เหตุผลง่ายๆ ก็คือในกติกาเข้าห้ามใส่อิโมติค่อนในนิยาย เลยแต่งแบบแจ่มใสไม่ได้ แล้วพอจะเอาจองจำฯ มาลง แต่ว่ามาลองเขียนดูแล้ว มันเกิน 20 บท
ก็คงต้องทนๆแต่ง เรื่องนี้ไปให้จบก่อนละกัน 5555
ที่แข่งก็แอบหวัง(ลึกๆ) ว่าจะชนะ แต่ว่าคนที่แข่งแต่ละคนมันช่างเยอะเหลือเกิน แถมคนที่แข่งแต่ละคนเก่งหมดเลย TT

เอาเป็นว่า ช่วยกันเชียร์ให้มาร์แต่งเรื่องนี้จบ และถ้าชอบก็ช่วยกันกดดาว+โหวตให้มาร์ ก็จะนับเป็นเพราะคุณอย่างสูงไปตลอดชีวิตเลย ฮ่าๆๆ

แล้วก็ ขอบคุณแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ที่เอื้อเฟื้อชื่อตัวละคร สถานที่และอื่นๆอีกมากมาย
.

.

.

.

อินาซึมะ อีเลเว่น โก โครโนสโตน!!!!

(อีนี่ท่าทางจะบ้า)


*เป็นทอล์กที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา =[]=;;;*


...นกฮูกมาร์...
(Mar the Owlet)


วิจารณ์ Human's Revolution Click!




แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 1 2013, 02:45 PM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





The Human's Revolution
The Epolouge





.... เปลวไฟโหมกระหน่ำท่ามกลางเมืองหลวงที่กลายเป็นสมรภูมิ อากาศยานขนาดใหญ่หลายร้อยลำทิ้งระเบิดและจรวด บดขยี้ร่างของผู้ที่พยายามรุกล้ำเข้ามา สงครามครั้งนี้เกิดกะทันหันมาก แต่ทั้งๆที่แทบไม่ได้เตรียมตัว กองทัพของผู้ตั้งรับก็ยังแข็งแกร่งกว่ามาก ไม่นานฝ่ายผู้บุกรุกก็ถูกตีเสมอและเกือบเสียเปรียบ ด้วยกำลังพลของผู้ที่บุกรุกเข้ามามีน้อยมากอยู่แล้ว


.... “จับมันให้หมด!” สตรีผู้มีผมสีเงินยวงและดวงตาสีแดงก่ำตะโกน เธอถูกยิงเข้าจุดตายหลายแห่ง แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย กล่าวกันว่า เธอคนนี้เป็นเหมือน ‘ปีศาจในคราบมนุษย์”

.... “อย่าเอาลูกฉันไป!” หญิงสาวอีกคนในชุดเกราะที่เปล่งประกายกรีดร้อง “เอาชีวิตฉันไปแทน!” เธอพยายามยิงเข้าหัวใจของผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เลเซอร์ที่เธอยิงออกไปนั้นแทบไม่ระคายผิวของสตรีผมเงินตรงหน้าแม้แต่น้อย

.... “ตามใจเธอ! ลาก่อนนะ มิสตร้า!” สิ้นเสียงของหญิงสาว นักรบผู้ถูกต้อนจนจนมุมก็กระอักเลือดคำโตจากแรงชกของหญิงสาวตรงหน้า


.... “มิสตร้า!” ชายอีกคนวิ่งเข้ามา เขาดูโศกเศร้าและโกรธจัดในเวลาเดียวกัน “ตายซะ เคจ!” เขาพุ่งเข้าชาร์จตัวเธอ



.... “จับมัน แล้วเอาตัวลูกของมันมาให้ฉัน!!” เคจ ลาเรน---หรือหญิงสาวผมเงินผู้เป็นผู้นำกองทหารสั่ง ทหารที่ดูเหมือนเป็นหุ่นยนต์ชูแขนขึ้นเหนือบ่าที่ทำจากเหล็กกล้า ปรากฏเป็นร่างเด็กชายผมเขียวสว่างคนหนึ่ง เขายังเป็นเด็กทารกอยู่ เมื่อได้ตัวลูกชายของหญิงสาวผู้มีนามว่ามิสตร้ามาแล้ว บรรดาทหารหุ่นยนต์ก็ตรงล็อคคอชายผู้พยายามจะตรงเข้าทำร้ายผู้นำในชุดเกราะนั้น เขาดิ้นรนพยายามให้เป็นอิสระ แต่ทุกอย่างก็ยุติลงเมื่อผู้ที่จับกุมปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าร่างกายของเขา ก่อนที่เขาจะชักกระตุกและแน่นิ่งไป


.... หญิงสาวผู้บ้าคลั่งเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า และหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดุดดั่งปีศาจ --- ไม่แปลกใจที่ใครๆก็ยอมศิโรราบแก่เธอทั้งนั้น


.... “เรียบร้อยครับ ท่านนายพลลาเรน” หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่พากันเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเธอพูดขึ้น ในอ้อมแขนมีเด็กเล็กๆหกคน --- หญิงสองคน ชายสี่คน ตามที่เจ้านายสั่งมา

.... “ดี ดีมาก! ฮ่าๆๆๆ!!” เธอหัวเราะอย่างคนบ้า เอานิ้วเรียวยาวไล้ตามใบหน้านวลของเด็กทารกเบื้องหน้า "พวกแกต้องชดใช้กรรมแทนพ่อแม่ของแก!!!"





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

สั้น...มาก! อย่าได้สงสัยไป นี่เป็นแค่บทนำ มันจะขัดกับหลักฟิคชั่นเสียหน่อยก็อย่าได้สนใจไปไย (เปล่าหรอก ตัน TT)
ตอนต่อไปรับรอง เกิน 3 หน้า A4 100% แน่นอนจ้าพี่น้อง



*Note ถ้าตอนไหนไม่มี To Be Continued แปลว่ายังลงไม่ครบ



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 1 2013, 09:27 PM
โพสต์ #3


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 1
The Second Stage Children





.... ในตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมานั้น แสงอาทิตย์ได้ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่มุมห้อง ทอแสงสว่างจ้าบาดตา ทำให้พอเดาได้ว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นเหนือเมืองโฮลี่โรดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เสียงกรนที่อยู่รอบๆตัวของผมทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเกือบทุกคนหลับสนิทอยู่

.... ผมชันตัวขึ้นนั่ง สถานที่นี้ ควรจะเรียกว่า “คุก” ที่ผมกับเพื่อนอีกหกคน---รวมผมด้วยเป็นเจ็ด เป็นที่อยู่อาศัยเพียงแห่งเดียวของผม ประกอบด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ทั้งเตียงนอนที่ปรับระดับอุณหภูมิ ความหนาของผ้าห่ม องศาของเตียงได้ หรือห้องอาบน้ำที่มีแผงควบคุมหลายอย่าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังเทียบไม่ได้กับความสะดวกสบายของบรรดาปกติในเมืองโฮลี่โรดที่ไม่ต้
องประสบชะตากรรมเลวร้าย ถูกกระทำเหมือนสัตว์ทดลองในกำมือของผู้มีอำนาจอย่างพวกผม

.... ผมชื่อเฟย์ ลูน --- คุณคงจะสงสัยใช่ไหมว่าทำไมผมถึงแค้นเคืองพวกรัฐบาลและบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย---ผมเป็นเด็กในโครงการการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ หรือเรียกอย่างศัพท์วิชาการว่า เด็กเซคันด์สเตจ (Second Stage Children)

.... ชีวิตของผมกับเพื่อนร่วมชะตากรรดูเหมือนเป็นเรื่องน่าเบื่อและจำเจ จากการบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์ โครงสร้างยีนส์ของผมมีการแปรผันน้อยมาก พ่อแม่ของผมยากจนจึงขายผมให้กับโครงการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ของรัฐบาล เพื่อสร้างสุดยอดมนุษย์ ทำให้ผมไม่มีโอกาสเจอพ่อแม่ที่แท้จริงเลยสักครั้ง การตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ในโครงการนี้ มีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อเพิ่มการพัฒนาด้านพลังกายและพลังจิตมากกว่าคนปกติถึงสิบห้ าเท่า แต่ข้อแลกเปลี่ยนของการมีพลังเหนือมนุษย์ คุณจะมีอายุขัยสั้นมาก --- ถ้าให้อธิบายง่ายๆก็คือ คุณจะตายก่อนอายุยี่สิบปีและไม่มีโอกาสโตเป็นผู้ใหญ่หรือมีครอบครัวได้

.... “ตื่นแล้วเหรอ เฟย์” เสียงห้าวๆของอีวานส์ดังขึ้น

.... อีวานส์ มาร์ค เป็นเด็กหนุ่มร่างสูง ผมสีบลอนด์เงินกับตาสีดำ ซิกแพ็คที่พวกนักวิทยาศาสตร์ตัดต่อยีนส์ลักษณะกล้ามเนื้อให้มีกำลังมากพอที่จะพังประ ตูห้องที่ขังเราไว้ออกไปได้ น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถใช้พลังที่พวกเขาตัดต่อให้เราได้ เป็นเพราะคลื่นความถี่สูงที่แล่นผ่านห้องนี้ทำให้บดบังคลื่นพลังจิตของเรา คงเป็นเพราะกลัวเราหนีออกไปหรือไม่ก็กลัว พวกเราฆ่ากันเองจนตาย แต่ถึงเราจะใช้พลังได้ เราก็ไม่อาจออกไปได้ เพราะประตูห้องทำด้วยออปติคอล ไฟเบอร์ --- โลหะที่ทนทานที่สุดในโลก ทำให้โอกาสที่เราจะได้หนีออกไปใช้ชีวิตตามปกติแทบเป็นศูนย์


.... “ตื่นตั้งนานแล้ว พ่อผมขาว” ผมตอบส่งเดช

.... “เมยากับแกโรยังไม่กลับมาเหรอ” อีวานส์ถามถึงเพื่อนร่วมชะตากรรมไปด้วยหาวไปด้วย

.... “ยัง ถูกพาไปบูสต์พลังจิตตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

.... “วันนี้เป็นคิวนายที่ต้องถูกพาไปตัดต่อเพิ่มนี่ นายคิดว่าจะถูกจับไปทำอะไรอีกล่ะ” อีวานส์หันมานั่งคุยดีๆได้เสียที

.... “คงจะเพราะกล้ามให้แบบนายมั้ง จะได้มีแรงกระชากเจ้ารัฐมนตรีเอล โดราโด้ ให้พ้นตำแหน่งมั้ง” ผมประชด อีวานส์หัวเราะพรืด

.... อีกหนั่งชะตากรรมที่ดูเหมือนเป็นการเล่นสนุกของพวกนักพันธุศาสตร์คือทุกๆ ครึ่งเดือน เด็กเซคันด์สเตจอย่างเราจะถูกพาไปในห้องแล็บชีวะ ทำการฉายรังสีตัดต่อพันธุกรรมเพิ่มความสามารถหรือพลังต่างๆนาๆ ให้กับยีนส์ของเรา ก่อนจะทดลองผลการตัดต่อในห้องรีแอคชั่นเทสต์ --- ที่แห่งเดียวในอาคารนี้ที่เราสามารถใช้พลังของพวกเราได้อย่างอิสระ เมื่อเสร็จกระบวนการทุกอย่างแล้ว เราก็จะถูกส่งกลับมาพักฟื้นในห้องนี้อีก หลังจากที่ร่างกายเริ่มคุ้นกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว อีกสิบห้าวันต่อมาเราก็จะถูกเอาไปตัดต่ออีก ดูเหมือนเป็นการขัดหลักมนุษยธรรม แต่ในการแก้ไขกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่องสามสิบปีที่แล้ว ระบุในมาตรา 312 ว่า “การตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องถูกกฎหมาย” หากคุณขัดขืน ไม่ยอมงอมืองอเท้าให้พาไปตัดต่อ คุณจะถูกทรมานด้วยกระแสไฟฟ้า

.... “นายว่าเราไปปลุกเจ้าเพื่อนขี้เซาให้ตื่นดีไหม” เสียงของอีวานส์ดึงผมกลับมาสู่โลกความเป็นจริง

.... “ก็เอาสิ ไหนๆเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แค่หกปีเท่านั้นเอง” ผมยักไหล่

.... อีวานส์หายใจเข้าลึกๆก่อนจะตะโกนด้วยเสียงที่ปลุกทุกคนในเมืองได้ “ตื่น!”


.... สามชีวิตที่นอนอุตุอยู่สะดุ้งตื่นพร้อมกันเหมือนเป็นคนๆเดียวกัน ก่อนจะมองมายังต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง

.... “ทำบ้าอะไรของนายน่ะ” เรย์ซ่า เด็กสาวร่างสูงผิวสีแทน ผมสีทองหยักศกม้วนเป็นลอนร้องอย่างหัวเสีย

.... “นายทำให้แว่นตาฉันแตกนะ เจ้าบ้า” กิลลิส หนุ่มแว่นผิวซีดที่มีผมและตาสีเดียวกับสีผิวพูดอย่างขุ่นๆ

.... “เอ๊ะ โทษคนอื่น ยังเป็นสุภาพบุรุษอยู่รึเปล่าเนี่ย กิลลิส” อีวานส์พูดอย่างไม่แยแส เอาเท้าวางพาดเตียงของกิลลิสอย่างท้าทาย

.... “โทษนะ เอาส้นเท้าออกไปจากหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่อีวานส์” ทิม ที่ดูเหมือนจะตกเตียงตอนที่อีวานส์ปลุกด้วยเสียงแปดหลอด เด็กชายร่างเล็กผมสีดำร้อง เขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเด็กเซคันด์สเตจที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์โฮลี่โรด ด้วยวัยเพียงเก้าปี แต่โดนตัดต่อเยอะกว่าเราทุกคนรวมกันเสียอีก

.... อีวานส์สะดุ้งโหยงก่อนจะรีบกระโดดออกจากหน้าทิมทันที


.... เด็กเซคันด์สเตจในโฮลี่โรดมีทั้งหมดเจ็คคน ประกอบไปด้วยผม อีวานส์ เมยา กิลลิส แกโร เรย์ซ่า และทิม พวกเรามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่คิดแผนว่าจะหนีออกไปจากคุกบ้าๆนี้อย่างไรกัน ถ้าพูดถึงความเร่าร้อนในการหนีไปสู่อิสรภาพ อีวานส์ก็ดูเหมือนจะเป็นหัวโจก เขาเคยพูดไว้ในวันหนึ่งว่า “อาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเอล โดราโด้ มาช่วยเราหนี ให้วัคซีนที่จะทำให้ดีเอ็นเอของเรากลับไปเป็นปกติ แล้วก็อยู่ได้แบบคนธรรมดาทั่วไปก็ได้นะ” ซึ่งทุกคนลงความเห็นว่า นี่เป็นแค่ฝันกลางวันลมๆแล้งๆ แน่นอนว่าเอล โดราโด้มีวัคซีนที่จะทำให้เรากลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนที่จะได้รับการตัดต่อพันธ ุกรรม ถึงแม้เราจะสูญเสียพลังที่ได้มาทั้งหมด แต่เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่จนแก่ได้ แต่เขาไม่คิดจะใช้มันแน่ มีข่าวลือว่ารัฐมนตรีเอล โดราโด้คิดจะตัดต่อพวกเราเพื่อรวบประเทศอื่นๆในโลกให้อยู่ในกำมือโดยใช้เราเป็นอาวุธ


.... ในตอนที่เรากำลังคุยเรื่องการแหกคุกเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมานั้นเอง เสียงฝีเท้าเหล็กข้างนอกทำให้รู้ว่าหุ่นยนต์พี่เลี้ยงพาเมยาที่ถูกพาไปตัดต่อพันธุกร รมเมื่อวานกลับมาแล้ว เจ้าหุ่นยนต์เหล็กใช้นื้วเคาะเบาๆ ก่อนที่ประตูจะเลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ ก่อนที่เมยา เด็กสาวเจ้าของผมสีม่วงและดวงตาสีเขียวจะรีบวิ่งเข้ามา ประตูยังเปิดค้างไว้ หุ่นยนต์บริการยืนรออยู่ข้างนอก


.... “เมยา เป็นไงบ้าง” กิลลิสรีบเดินมารับเมยาและพาไปที่เตียง ผมคิดว่าอีกไม่นานสองคนนี้คงได้ประกาศหมั้นกัน

.... “ก็โอเค ตัดต่อเพิ่มพลังจิต เมื่อกี้ในห้องรีแอ็คชั่นเทสต์ฉันยกรถยนต์ให้ลอยได้ตั้งสิบห้าฟุต” เมยาหัวเราะแห้งๆ "หมอประจำตัวฉันนี้รสนิยมพิลึกแฮะ"

.... “แล้วแกโรล่ะ” เรย์ซ่าถาม

.... “เขา...เอ้อ...การตัดต่อผิดพลาดนิดน่อย แต่เดี๋ยวคงกลับมาแล้ว” เมยาพูดอ่างไม่มั่นใจนัก ก่อนจะรับน้ำจากกิลลิสมาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

.... เสียงก้องกังวานเหมือนเหล็กไร้เสียงสูงต่ำของหุ่นยนต์บริการที่อยู่ข้างนอกเรียกความ สนใจของทุกคนทันที

.... “เฟย์ ลูน” มันพูด --- หรือถูกตั้งโปรแกรมมาให้พูด “ไปที่ห้องตัดต่อ 143 เดี๋ยวนี้”

.... ผมลุกขึ้นยืน เดินตามหุ่นตัวนั้นไป

.... “โชคดีนะ เฟย์” อีวานส์พูดให้พรกึ่งๆแช่ง ผมหันมายิ้มแหยๆให้ทีนึงก่อนจะเดินตามเจ้าหุ่นออกไป





_______________________________________________________
To Be Continued




*ดิทๆ แก้ไขคนที่นอนหลับยู่ มันต้องสามสิไม่ใช่สี่ TT
ดิทรอบ 2 เกลาสำนวน+แก้คำกระโดด



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 2 2013, 10:22 AM
โพสต์ #4


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 2
The Mystery Man





...... ผมเดินตามหุ่นบริการที่เคลื่อนที่ได้ด้วยล้อทั้งสี่ผ่านทางเดินสีขาวยาวๆ เสียงรองเท้าที่ผมใส่อยู่สะท้อนดังไปทั่ว ส่วนหุ่นยนต์นั้นเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆแบบไร้เสียง

...... ในที่สุดผมก็มาหยุดที่ห้องๆหนึ่ง เหนือโค้งประตูมีป้ายและตัวอักษรเด่นชัดว่า “143” ผมไม่ลังเล เคาะประตูครั้งหนึ่งแบบทุกครั้งที่เคยมาเข้ารับการตัดต่อพันธุกรรม แล้วรอ

...... “เชิญเข้ามา” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ผมไม่คุ้นชินกับเสียงนี้ ปกติจะเป็นเสียงผู้ชายอีกคนที่เสียงเหมือนช้างตกมัน แต่เจ้าหุ่นยนต์ผลักประตูให้เปิดและดันผมเข้าไป ก่อนจะปิดประตู


...... ในห้องที่ผมยืนอยู่ในตอนนี้ดูแปลกไปจากเดิมมาก ตอนแรกมันเหมือนห้องผ่าตัด มีเตียงเล็กๆพร้อมด้วยเครื่องยิงรังสีที่ดูเหมือนจรวดติดตั้งบนฝ้าเพดาน มีอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ครบ มีขวดโหลดองอวัยวะมนุษย์บนโต๊ะทำงาน ที่มุมห้องมีแผนผังแสดงโครงสร้างพื้นฐานของดีเอ็นเอมนุษย์ และตารางแสดงการตัดต่อดีเอ็นเอของผมรวมถึงผลการทดลองที่ผ่านๆมาทั้งหมด มีโต๊ะทำงานสไตล์โมเดิร์นของนักพันธุศาสตร์ที่ควบคุมการตัดต่อพันธุกรรมพร้อมด้วยลูก
มืออย่างน้อยห้าคน เมื่อครั้งล่าสุดที่ผมต้องเข้าห้องนี้ ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นี้คือ โจนส์ อาร์เคต ชายวัยทองอายุห้าสิบอัพร่างเล็ก นักตัดต่อประจำตัวของผม แต่เขากลับมีเสียงหมือนช้างทั้งโขลงได้อย่างเหลือเชื่อ พร้อมด้วยผู้ช่วยของเขาอีกครึ่งโหล


...... แต่ตอนนี้ในห้องไม่มีเตียง หรืออะไรที่บ่งบอกว่าใช้เป็นห้องแล็บเลย ยกเว้นแต่ผังดีเอ็นเอที่ข้างผนังยังอยู่ที่เดิม บนโต๊ะตอนนี้มีเอกสารปึกใหญ่ แจกันใส่อะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้จัก เก้าอี้เหล็กพนักพิงตรงแทนที่ด้วยเก้าอี้ที่ดูเหมือนโซฟานิ่มๆ และมีชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้นๆสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวท่าทางใจดีนั่งอยู่ บรรดาผู้ช่วยในกระบวนการตัดต่อไม่อยู่แล้ว ผมหรี่ตาลงอย่างสงสัย เกิดอะไรขึ้นกันแน่


...... “เชิญนั่ง” ชายคนนั้นบอก

...... “ขอบคุณฮะ” ผมหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ที่ให้สัมผัสสบายเหมือนนั่งบนกลีบเมฆ คงจะเป็นเก้าอี้ที่ทำจากหนังที่ผมไม่เคยนั่งมาก่อนในชีวิตนี้

...... “เฟย์ ลูน ใช่ไหม” เขาถาม เขียนอะไรบางอย่างยุกยิกในคลิปบอร์ด

...... “ฮะ” ผมตอบ “คุณคือใครครับ แล้วดร.อาร์เคตล่ะครับ”

...... “ฉันชื่อดร.เฮอรี่ เคน” เขาตอบยิ้มๆ “เรียกว่าคุณเคนก็พอ ส่วนดร.อาร์เคต เขาย้ายตำแหน่งแล้ว”

...... “ครับ แล้ว วันนี้ผมต้องตัดต่ออะไรเหรอครับ”

...... “มันจะไม่มีการตัดต่อมนุษย์อีกแล้ว มันดูละเมิดสิทธิมนุษยธรรมมากเกินไป” เขาตอบ


...... ทันทีที่ได้ยินว่าจะไม่มีการตัดต่อมนุษย์อีกแล้วนั้น ผมก็แทบจะตกเก้าอี้เลย ผมอยากให้อีวานส์มาอยู่ตรงนี้มาก เขาคงจะคิดก่อกบฏทันทีที่ออกไปจากห้องนี้ได้

...... ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความคิดว่าเขาแค่ล้อเล่นนั้นดูเหมือนจะเป็นไปได้มากทีเดียว

...... “ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ฉันไม่ได้ล้อเล่น นี่เป็นเรื่องจริง อดีตเด็กตัดต่อพันธุกรรมที่ได้รับวัคซีนที่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วกำลังรวบรวมกองกำลั
งเด็กเซคันด์สเตจและผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเอล โดราโด้ เราจะทำการปฏิวัติแนวความคิดอันโหดร้ายนี้และหยุดเอล โดราโด้”


...... ผมช็อคไปพักใหญ่ ถ้ามีอดีตเด็กตัดต่อพันธุกรรมที่โตเป็นผู้ใหญ่ แปลว่าพวกเขาก็ต้องได้รับวัคซีนที่จะทำลายดีเอ็นเอพิเศษทั้งหมดออก แล้วเขาก็คงจะโตเป็นผู้ใหญ่ในฐานะคนธรรมดา

...... ดร.เฮอรี่ เคน มองดูเขาอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “ไม่ เธอเข้าใจผิด วัคซีนนี้ไม่ได้ผลิตโดยรัฐบาล แต่ผลิตโดยนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรเรด้าต่างหาก มันจะเข้าไปจับกับรหัสดีเอ็นเอที่ยังไม่ได้รับการตัดต่อ แล้วสร้างเกราะที่จะทำลายยีนส์ที่เป็นผู้รุกราน เท่ากับว่าผลข้างเคียงจากการได้รับรังสีตัดต่อพันธุกรรมนั้นไม่เหลืออีกแล้ว เท่ากับว่าพวกเธอจะสามารถเติบโตและดำรงชีวิตได้จนเป็นผู้ใหญ่และมีอายุขัยเท่ากับมนุ
ษย์ปกติ แต่พลังที่ได้จากการตัดต่อนั้นจะยังอยู่...พอเข้าใจไหม”

...... “ไม่ครับ” ผมตอบอย่างซื่อสัตย์ที่สุด

...... “ใช่ ฉันก็ไม่เข้าใจ” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่ที่แน่ๆ เธอก็เห็นว่าฉันน่ะสามสิบกว่าแล้วทั้งๆที่เป็นเด็กเซคันด์สเตจ เพราะฉะนั้น ฉันก็เป็นรุ่นพี่ของเธอด้วย”

...... “ค..คุณเป็นเด็กเซคันด์สเตจเหมือนผม เหรอครับ!” ผมแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้อีกรอบ

...... “ตกลงว่าไงล่ะ เรื่องปฏิวัติ หรือเธออยากถูกใส่พันธุกรรมซิกแพ็คเด้งดึ๋งดั๋งอีก”

...... “ผมขอปรึกษาเพื่อนของผมก่อนละกันครับ”


...... ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจ้าอีวานส์ต้องยอมก่อนที่ผมจะให้โหวต แต่คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่อยากร่วมสงครามกับเอล โดราโด้สักเท่าไหร่

...... “ไว้ฉันจะพูดกับพวกเขาเองตอนที่พวกเขาต้องมาที่นี่ ฉันพูดหว่านล้อมตาแก่เอล โดราโด้ให้ฉํนเป็นคนคุมการตัดต่อพันธุกรรม...ที่ไม่ใช่การตัดต่อพันธุกรรมอีกต่อไปแล
้วเองทั้งหมด ฉันเลยคิดว่าปัญหาไม่น่าจะเยอะ” เขาพูดยืนยัน ผมชอบวิธีที่เขาเรียกนายกรัฐมนตรีของโฮลี่โรดมาก

...... “ขอบคุณฮะ ดร.เคน” ผมยืนขึ้น “ที่เสนอจะช่วยพวกเราครับ”

...... “ติดต่อฉันให้เร็วที่สุดว่าพวกเธอยอมรับข้อเสนอไหม อีกสิบห้าวันฉันอยากได้คำตอบนะ” เขายื่นมือมาข้างหน้า

...... “ครับ” ผมจับมือกับเขาเป็นการลา





________________________________________________________






...... ขากลับจากการไปที่ห้องทำงานของดร.เฮอรี่ เคน ผมเดินให้เร็วกว่าทุกครั้งด้วยความดีใจว่าอย่างน้อยก็มีคนไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ
เอล โดราโด้ ผมไม่ทันมองจึงสะดุดรถเข็นที่เข็นมาด้วยหุ่นยนต์สองตัวเข้า ผม คนที่อยู่บนรถเข็น และรถเข็นคันนั้นลงไปนอนแผ่อยู่บนพื้น หุ่นยนต์พยาบาลอีกสี่ตัวยืนที่ยืนอยู่ข้างๆชายอีกคนรีบเข้ามาประคองคนที่ผมชนจนล้ม

...... “ขอโทษฮะ ผม...แกโร!”


...... สารรูปของแกโรในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ผิวสีน้ำผึ้งของเขากลายเป็นสีเขียวเหมือนใบไม้ ส่วนขาของเขากลับกลายเป็นขาแบบม้าที่มีเพียงสองขา มีเขาแหลมๆงอกขึ้นเหนือหัว ผมมองไปยังตาที่เมื่อก่อนเคยเป็นสีดำ แต่บัดนี้รูม่านตาของเขากลายเป็นสีแดงเหมือนเลือดและมีน้ำตาคลออยู่...นี่สินะ ที่เมยาพูดถึง

...... “ก...แกโร เกิดอะไรขึ้น”

...... “เฟย์...พะ...พวกมัน...ตัดต่อดีเอ็น...เอผิดพลาด...มัน...ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้” แกโรพยายามพูดอย่างยากลำบากเท่าที่ปากบวมพองของเขาจะพูดไหว

...... “นายจะไปไหนน่ะ!” ผมโวยวายทันทีเมื่อหุ่นยนต์พยาบาลยกแกโรออกไป


...... ไม่มีเสียงตอบจากแกโร ดูเหมือนเขาจะอ่อนแรงมาก ผมวิ่งตามไปเท่าที่จะวิ่งไหว ในทีสุดผมก็ตัดสินใจใช้แวคุ่มน์สปีด พลังความเร็วจากขาที่เหลือเชื่อทำให้ผมวิ่งตามหุ่นยนต์ติดเจ็ตพวกนั้นทัน แต่ไม่ทันแล้ว แกโรถูกพาเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ประตูปิดดังปัง เสียงเหมือนประจุไฟฟ้าดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่นของแกโร


...... “ไม่นะ แกโร! แกโร!!!”


...... ผมไม่อยากจะเชื่อ....แกโร กลายเป็นอะไรไปแล้ว...

...... เป็นเพราะความบ้าระห่ำไม่มีขอบเขตของบรรดาคนมีอำนาจทั้งหลายที่ทำให้เขากลายเป็นแบบน
ี้...

...... ต้องรีบไปเตือนคนอื่น!



...... เมื่อคิดได้ผมจึงจิกเท้าลงในพื้นแล้ววิ่งกลับไปยังห้องพักของผมทันที





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

แวะมาลงตอน 2 ตอนนี้จะเห็นว่ามีชื่อตัวละครโผล่มาอีก ดร.เฮอรี่ เคน
ตอนตั้งชื่ออันนี้ก็กะให้มันแอบขำลึกๆ เพราะว่าชื่อของดร.คนนี้มาจากคำว่า "เฮอริเคน" พอเอามาแยกมันก็กลายเป็น "เฮอรี่ เคน" 55555
ส่วนชื่อของโจนส์ อาร์เขต มีที่มาจาก "Jeanne d'Arc"
ขออภัยในชื่อตัวละครที่ดูบ้าๆบ๊องๆนะ เพราะคนเขียนตันจริงๆ TT

ส่วนเรื่องสีที่ใช้ มาร์จะลงให้ครบก่อนแล้วค่อยมาดิทสีในตัวอักษรนะฮะ O_<



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 2 2013, 09:26 PM
โพสต์ #5


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 3
The Rescue






...... ผัวะ!!

...... “ปัดโธ่ แล้วนายก็ปล่อยให้แกโรไปเผชิญชะตากรรมคนเดียวโดยไม่ได้เข้าไปช่วยเลยเหรอ หา!”

...... ทันทีที่ผมเล่าเรื่องที่เห็นมาให้ทุกคนฟัง เรย์ซ่าก็เป็นคนแรกที่แหวกับผม เธอจัดการตบหน้าผมอย่างสุดแรงเกิด แม้เราจะใช้พลังเด็กเซคันด์สเตจในห้องนี้ไม่ได้ แต่เรย์ซ่าซึ่งเป็นผู้หญิงก็ยังมีแรงมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ผมกรามเกือบหักหลังจากโดนหมัดเข้าไป ซึ่งผมก็ไม่โทษเธอสักคำเพราะเรย์ซ่าสนิทกับแกโรมาก ถ้าผมเป็นเรย์ซ่าผมคงจะเปลี่ยนจากตบหน้าเป็นตัดคอแทน

...... “โทษทีนะ แต่ไอ้หุ่นบ้าๆมันปิดประตูใส่หน้าฉัน แล้วตอนที่กำลังจะพังประตูเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนไฟดูด”

...... “แล้วนายเห็นอะไรอีกไหม” เรย์ซ่าสอบผมต่อ

...... “ แล้วแกโรก็ร้องเหมือนเจ็บปวดทรมานมาก”ผมต่อให้จบ

...... “เฟย์ นายจำหมายเลขห้องได้ไหม” เมยาถามเสียงเครียด

...... “016...ห้องที่ประตูบานใหญ่กว่าห้องอื่น แล้วตรงหน้าประตูเขียนว่า ‘ระวัง! กระแสไฟฟ้าแรงสูง’”

...... “ไม่ได้การละ!” เมยากระโดดขึ้นนั่ง แล้ววิ่งไปที่ประตู พยายามกระชากออก แต่เหมือนมีเสียงลั่นเปรี๊ยะ และเมยาก็ถูกประตูกลดีดกระเด็นออกมา

...... “เมยา!” กิลลิสวิ่งไปประคองเพื่อนสาวผมม่วงขึ้นมา

...... “ประตูนั่น... มันจะมีกระแสไฟฟ้ามาช็อตเราทุกครั้งที่เราพยายามจะหนีออกไป” เมยาหายใจหอบๆ คว้ามือกิลลิสเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น

...... “ห้อง 016 มันทำไมเหรอ” ผมถามงงๆ

...... “มันเป็นห้องที่ใช้ดัดแปลงรูปร่างภายนอก” เรย์ซ่าตอบ เพราะเมยาดูท่าทางมึนๆจากการถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเมื่อครู่อยู่ “เมื่อไหร่ก็ตามที่การตัดต่อผิดพลาดแล้วรูปร่างภายนอกเราดูแย่ เขาก็จะพาเราไปผ่าตัด---โดยใช้กระแสไฟฟ้า---อย่างผมฉัน” เรย์ซ่าชี้ผมที่ม้วนเป็นลอนของตัวเอง “เมื่อก่อนมันแข็งเหมือนลวดหลังจากที่พวกเขาตัดต่อให้ฉันเปลี่ยนผมเป็นแร่ทองได้ตามใ
จ...พวกเขาเลยใช้ไฟฟ้ากระตุ้นรากผม มันเลยดูดีขึ้นหน่อย”

...... “มันแย่มาก เขาทำเหมือนเราเป็นสัตว์เลี้ยง” อีวานส์พูดอย่างโกรธจัด “ฉันต้องไปช่วยแกโร!” เขาคงจะวิ่งไปที่ประตู แล้วดั้งหักแน่ถ้าทิมไม่ไปดึงตัวเขาไว้ก่อน กว่าเขาจะเลิกพยศก็กินเวลานาน

...... “ปล่อยฉัน เฟย์!” เขาดิ้นขณะที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือของผม

...... “ถ้าฉันปล่อยนาย นายได้วิ่งไปชนประตูแล้วดิ้งหักแน่”

...... “แล้วเราจะเอาไงดี” กิลลิสพูดอย่างกังวล


...... “ก็ไปช่วยเขาไง เรื่องอะไรจะปล่อยให้เพื่อนต้องเจอชะตากรรมอย่างนั้น”


...... ทุกคนรีบหันไปมองที่ต้นเสียง เสียงกดรหัสเปิดประตูดังมาจากข้างนอก ก่อนที่ประตูที่ทำจากออปติคอล ไฟเบอร์นั้นจะเลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ


...... “สวัสดีทุกคน”

...... “ดร.เคน!” ผมร้องอย่างดีใจ

...... “ใครเหรอ เฟย์” ทิมถาม

...... “ฉันชื่อดร.เฮอรี่ เคน --- เจอกันอีกแล้วนะ เฟย์ ลูน ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย” ดร.เฮอรี่ พูดก่อนจะเข้ามานั่งบนเก้าอี้เหล็กที่ตั้งอยู่หน้าประตู

...... “คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ” ผมถาม

...... “เดินมา” เขาตอบยิ้มๆ

...... “ไม่ใช่ครับ” ผมเริ่มฉุนเล็กๆ “คุณรู้ได้ยังไงว่าเราพยายามแหกคุกนี้ออกไป”

...... “ในห้องทำงานฉัน---อดีตห้องทำงานของดร.โจนส์ อาร์เคต มีสัญญาณเตือนติดไว้ หากพวกเด็กเซคันด์สเตจพยายามจะพังประตูออกมา---สัญญาณเตือนในห้องจะดังว่าพวกนี้แหกคุกได้แล้ว ก็จะส่งคนไปทรมานพวกเด็กที่คิดกบฏให้หลาบจำ”

...... “นี่เฟย์ ฉันก็ยังไม่เก็ทว่านายเจอตาแก่นี่ได้ยังไง” อีวานส์ถามผมเบาๆ

...... ผมจัดการเล่าเรื่องการเจอกันของผมกับดร.เฮอรี่ เคนเมื่อห้าสิบนาทีที่แล้ว และเรื่องที่วันนี้ผมรอดตายจากการตัดต่อพันธุกรรมสุดโหด ส่วนดร.เคนก็เล่าเรื่องแผนการปฏิวัติระบอบการปกครองของรัฐมนตรีเอล โดราโด้ ปลดแอกเด็กเซคันด์สเตจทุกคนจากทั่วโลกจากการทารุณกรรม

...... “อะไรนะ!” อีวานส์ขัดอย่างเสียมารยาทจนผมอยากจะเตะเพื่อนขี้โมโหคนนี้ซักป้าบ “มีเด็กเซคันด์สเตจนอกจากพวกเราเจ็ดคนนี้อีกเหรอ”

...... “ถูกต้อง” ดร.เคนตอบ “ความจริง โฮลี่โรดไม่ได้เป็นประเทศแรกที่เริ่มการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ เกือบทุกทวีปมีโครงการนี้หมด ดังนั้น ถ้าจะหยุดกระบวนการทารุณเพื่อนมนุษย์ที่ถูกเอามาตัดต่อเหมือนเป็นหนูทดลองอย่างนี้ เราก็จะต้องจัดการตัวการหลัก---แน่นอนว่าต้องมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเอล โดราโด้แน่นอน” เขาหยุดกลืนน้ำลาย “แต่ในตอนนี้” เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “เราต้องไปช่วยเพื่อนของพวกเธอก่อนละ---แกโร เห็นเขาบอกว่าอาจจะ---ฆ่าเขาทิ้ง เพราะการตัดต่อมันเสียหายมาก”

...... “ว่าไงนะ!!” ผมและทุกคนลุกขึ้นยืนโดยไม่นัดหมาย และวิ่งออกไปนอกห้อง


...... พวกเราวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ผมรู้สึกดีมากเมื่อสังเกตว่าพวกเราสามารถใช้พลังได้เมื่อออกมานอกห้องพัก ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเมื่อเราวิ่งตาลีตาเหลือกมาจนถึงห้องปฏิบัติการที่ 016 ก็เหมือนว่าทุกอย่างจะยังไม่สายไป ประกายไฟในห้องยังส่องสว่าง แต่คราวนี้ไม่มีเสียงกรีดร้องบาดหูของแกโรอีกแล้ว ท่าทางเขาคงจะสลบไปเรียบร้อย


...... พวกเราแอบซุ่มอยู่ในมุมของทางเดิน เพราะจากการบอกของดร.เคน เขาอาจจะทำลายแกโรทิ้งท่าผลการผ่าตัดล้มเหลว..

...... เกือบชั่วโมงครึ่งกว่าที่เสียงและแสงต่างๆจะสงบลง เสียงลูกล้อกลิ้งทำให้รู้ว่าพวกเขากำลังเข็นแกโรออกไปยังห้องพักฟื้น

...... ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก พร้อมด้วยทีมแพทย์และหุ่นยนต์พยาบาล พวกเราซ่อนตัวให้มิดกว่าเดิม แทบไม่กล้าหายใจ

...... “เสียดายนะ” นานยแพทย์ร่างท้วมกล่าวด้วยเสียงแหบห้าว “พ่อหนุ่มนี่จะเป็นอาวุธที่มีประโยชน์มากเลย เสียอย่างเดียวหน้าตาขี้เหร่ไปหน่อย”

...... “ช่วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำให้โฮลี่โรดดูเสียภาพลักษณ์”

...... พริบตานั้นเอง ด้วยความโมโหสุดขีด ราวกับมีคนเอาไฟมาสุมในหัว จากนั้นก็จุดระเบิด ความเดือดดาลที่เขากล้าทำกับเพื่อนที่เรียกได้ว่าเป็นอีกครอบครัวหนึ่งของผม ผมรีบเข้าประชิดตัวหมอ เอามือกำรอบคอ เกร็งกล้ามเนื้อแขนอย่างสบายๆ ยกเขาลอยขึ้นไปในอากาศทั้งๆที่เขาตัวใหญ่กว่าผมมาก เสียงหายใจดังคลั่กๆทำให้รู้ว่าเขากำลังจะสิ้นใจ

...... “เรา—ช...ชุบเลี้ยง—พ...พวกแกมานะ!” เขาพยายามแกะมือของผมที่กำรอบลำคออ้วนๆของเขาแล้วบีบจนแน่น แต่เปล่าประโยชน์

...... “หุบปาก!” ผมตะคอก ทุกคำที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความโกรธ เส้นผมสีเขียวของผมแทบจะลุกชัน “เลี้ยงเราเหรอ เฮอะ! เลี้ยงแล้วฆ่า! นี่ถ้าพวกฉันเป็นวัวในฟาร์ม ฉันจะไม่ว่าซักนิด!” ผมปล่อยมือ และด้วยแรงมหาศาล ผมก็ใช้ส้นเท้ากระทุ้งหน้าอกของหมอที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ผมมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม สะอิดสะเอียนเป็นที่สุด ก่อนจะดูศพแรก---ที่ผมฆ่าเองกับมือ ทว่าไม่มีความเสียใจหรือสำนึกผิดเกิดในใจผมเลย พวกเขาพรามผมจากพ่อแม่ ทำให้ผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์

...... ทางด้านอีวานส์ เขาดูจะกลายเป็นมัจจุราชตั้งแต่เริ่มวิ่งแล้ว เขาปล่อยคลื่นอะไรบางอย่างที่มองแทบไม่เห็น แต่ด้วยยีนส์ที่เพิ่มการพัฒนาสายตาของผม ทำให้ผมเห็นคลื่นสีม่วงจางความถื่สูง พุ่งไปในอากาศ กระทบโดนหน้าอกของแพทย์อีกคนอย่างจัง ... นี่คงจะเป็นเพนเวฟ หรือคลื่นความเจ็บปวดซึ่งอีวานส์พึ่งได้รับการตัดต่อความสามารถนี้มา พลังของมันไม่ได้น้อยไปกว่าที่อีวานส์โม้เลย ชายเบื้องหน้าอีวานส์ทรุด ลงไปกลิ้งเกลือกบนพื้น กระอักเลือด อาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระออกมาจนหมด อีวานส์ขึ้นไปยืนคร่อมเขา ใช้พลังที่มีมากยิ่งกว่าผมสี่คนรวมกัน กระชากศีรษะของนายแพทย์ร่างสูงขาดในพริบตาเดียว!

...... “โทษฐานที่ทำกับฉัน แล้วก็เพื่อนฉัน!!” เขาพูดอย่างโหดเหี้ยม นัยน์ตาเปลี่ยนจากสีดำขลับเป็นสีแดงฉานดุจพระเพลิง

...... เขาลุกขึ้น เช็ดคราบเลือดออก ดูผลงานของผม ก่อนจะยิ้ม “เจ๋งนี่เพื่อน” เขาหัวเราะเหมือนเราพึ่งไปเล่นหมากรุกมา ผมยังเหนื่อยไม่หายจากการฆ่าคนแต่อีวานส์ลากผมไปอีกฟากของทางเดิน “ไปช่วยคนอื่นๆดีกว่านะ!”

...... เมยา เรย์ซ่า กิลลิสและทิมกำลังห้ำหั่นอยู่กับหุ่นกลวง เมื่อไม่มีผู้ควบคุมมันก็ยืนนิ่ง แต่ตัวที่ทาบทับร่างของแกโรเอาไว้เป็นภาระอย่างยิ่ง แม้จะมีพละกำลังกายอย่างมหาศาลของเด็กเซคันด์สเตจที่แรงเยอะเหมือนวัวบ้าทั้งสี่คนก็
ดูเหมือนจะเอาแขนเหล็กออกไปจากตัวเพื่อนที่นอนบนเตียงไม่ได้เลย

...... “ถึงตาฉันใช้พลังบ้างแล้ว” เมยาชูแขนทั้งสองขึ้นไปในอากาศ เธอทำได้อย่างที่เธอพูดจริงๆ หุ่นยนต์ลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนขนนก เท่านั้นยังไม่สะใจเธอ ในชั่วอึดใจนั้น หุ่นกลวงๆไร้ประโยชน์นั้นก็ระเบิด---แหลกละเอียด ไม่เหลือชิ้นดี

...... “เจ๋งเลย เมยา!” กิลลิสกอดคอเมยา และเมยาทำให้ทุกคนช็อค โดยการจูบปากเขา


...... “โว้ว-โว้ว-โว้ววววว!!!” เสียงของดร.เคนทำให้สองคนนั้นแยกกันได้ หน้าเป็นสีชมพูทั้งคู่ “พวกนายเจ๋งมาก ฉันไม่เคยเห็นใครจัดการไอ้หมอเถื่อนนั่นได้ซักที”


...... “เกิดอะไรกันเนี่ย” เสียงของคนที่อยู่บนเตียงทำให้ทุกคนรีบหันไปมอง

...... “แกโร!” เรย์ซ่าร้อง

...... “ฉันไม่ได้น่าเกลียดมากใช่มั๊ย” เขาลืมตาและพูดพึมพำอย่างยากลำบาก

...... “ไม่ใช่น่าเกลียดอย่างเดียว---โคตรทุเรศเลย” อีวานส์พูด ก่อนจะหัวเราะพรืด---เขาดูเป็นเด็กซนๆวัยสิบสี่ปีนิสัยดีทีเดียว ถ้าเขาไม่เลือดร้อนและมีพละกำลังมหาศาลขนาดนี้


...... แต่ท่ามกลางความรู้สึกยินดีนี้เอง เสียงที่ดูแข็งทื่อ ก็ดังก้องไปทั่วอาคาร “ระบบป้องกันภัยที่ 05 --- ทำงาน!”


...... ในขณะที่พวกเรากำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น เพดานอิฐเหนือหัวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ปริแตก และหล่นลงมาใส่หัวของผม!






_______________________________________________________
To Be Continued




Talk With Writer

ขุนพลเรย์ซ่าช่างโหด!!! มาถึงชีก็ตบหน้าพระเอกเราเลย O0O
ความจริงตอนแรกกะให้หินพังมาทับหัวหัวใครซักคนในเซคันด์สเตจให้แบนติดดิน แต่ก็นะ... อย่าพึ่งตายเลย 555

ถ้าชอบก็กดดาว+เม้น+ติชมด้วยนะคะ








แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 3 2013, 01:05 PM
โพสต์ #6


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 4
The Escape






......ในจังหวะที่หินก้อนโตกำลังหล่นใส่กลางกระหม่อมของผม ดร.เคนก็ปล่อยลำแสงสีม่วงบางอย่างออกจากมือ ทันทีที่ลำแสงโดนเข้าตรงใจกลางของหิน มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาเป็นอดีตเซคันด์สเตจจริงๆ “รีบออกไปจากที่นี่เร็ว!” ดร.เคนตะโกน

......“แล้วเราจะเอายังไงกับแกโรดีล่ะ” กิลลิสถามอย่างร้อนรน “หามเขาไปดีไหม เข็นเตียงไปอย่างนี้ไม่ดีหรอก”

......“ไม่ต้อง!” เขาคำราม กระโดดลงจากเตียง ดูเป็นเรื่องเหลือมากที่เขาสามารถเดินได้เองทันทีหลังจากผ่าตัด เขาเอาขาที่ดูคล้ายกับขาม้าเคาะพื้นแล้วลองเดินดู “ดูนี่ซะก่อน!” เขาย่อตัวแล้วพุ่งตัวไปตามทางออก เสียงกีบท้ากระทบเสียงดังกุกกักทำให้รู้ว่าแกโรล่วงหน้าไปที่ทางออกเรียบร้อยแล้ว

......“รีบไปกันเถอะ ถ้ายังไม่อยากตาย” ทิมบอก กิลลิสอุ้มเมยาและเรย์ซ่าที่ไม่สามารถใช้พลังแวคุ่มน์สปีด หรือการวิ่งด้วยความเร็วมากๆได้ ผม อีวานส์ และทิมต้องวิ่งเอง ในขณะที่พวกเราที่วิ่งกำลังจะมาถึงทางออกนั้น หินที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเพดานและประตูทางออกหลายร้อยก้อน ก็พังทลายลงมาขวางทางออกไว้ พร้อมกันนั้น ผู้คุมอาคารทั้งที่เป็นคนมีเลือดเนื้อและหุ่นยนต์ก็ตีวงล้อมไว้แล้ว

......“ไอ้ทรยศ! ไอ้กบฏ” หนึ่งในชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบผู้คุมตะโกน ชักปืนเลเซอร์ออกมาจะทำร้ายพวกเราอย่างบ้าระห่ำ

......“เพนเวฟ!” อีวานส์ส่งกระแสความเจ็บปวดไป ‘เก็บ’ ผู้คุมที่เป็นมนุษย์ แค่สามวินาทีพวกนั้นก็นอนกระอักเลือดตายอยู่แทบเท้าอีวานส์

......“เอ๊กซ์โพลชั่น!” ส่วนเจ้าหนูทิมจัดการระเบิดหุ่นยนต์พิทักษ์ยี่สิบกว่าตัวในพริบตาเดียว

......“เจ๋งมากทิม เอา A ไปเลย” ผมหายใจหอบๆ แต่ก็อดชมทิมไม่ได้

......“แน่อยู่แล้วฮะพี่เฟย์”

......“แล้วเราจะออกไปจากที่นี่ยังไงล่ะทีนี้” อีวานส์ถามหลังจากฆ่าคนเป็นศพที่เก้าของวัน

......“ไม่ยาก ฉันมีพลังจิตนะ อย่าลืมสิ” เมยาขยิบตาให้ “เลวิเทตท์!”


......ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ หินหนักเป็นสิบๆตันที่กองอยู่เหนือซุ้มประตูพังทลายด้วยการระเบิดพลังของเมยา หินทั้งหมดลอยกลางอากาศอย่างสง่างามด้วยพลังจิต ในขณะที่พวกเราที่เหลือรีบวิ่งออกมายังลานกลางแจ้งหน้าอาคาร


......“ดูที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ!” เมยาพูด ก่อนจะบังคับหินทั้งหมดให้ลอยไปอยู่เหนืออาคารสูงยี่สิบสี่ชั้น

......“ไม่ได้อยากดูอยู่แล้ว” เรย์ซ่าตะโกนอย่างสะใจ

......“สาม...” เมยาตะโกน

......“สอง...” ผมเดาออกแล้วว่าเธอจะทำอะไร

......“หนึ่ง...!!”


......เด็กสาวผมม่วงปล่อยมือ เมื่อไม่มีพลังอะไรมาประคอง หินทั้งหมดกว่าร้อยก้อนก็หล่นลงทับอาคาร น้ำหนักของหินทั้งหมดนี้ หนักพอที่จะสร้างความเสียหายให้อาคารได้มากพอดู กระจกแตก กระเบื้องร้าว เสาเข็มที่หักลงทำให้โครงอาคารทั้งหมดพังทลาย พวกเราวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ผมแทบได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากข้างในอาคาร ผู้คนที่เป็นคนสำคัญใหญ่โตทั้งหลายมีห้องพักและสำนักงานอยู่บนชั้นบนสุดของตึกระฟ้าน
ี้ถูกพังทลายย่อยยับ ไม่แน่ พรุ่งนี้อาจจะมีข่าวออกทั่วประเทศว่า ‘นายกรัฐมนตรีเอล โดราโด้ เสียชีวิตท่ามกลางซากปรักหักพังจากแผ่นดินไหวเมื่อวานเย็น’


......แต่ผลจากการทำลายอาคารนี้คือ ระบบการเตือนภัยระดับ 5 ก็ถูกเปิดใช้งานขึ้นทันที ว่ากันว่าไม่มีใครได้เห็นการเตือนภัยระดับนี้มาก่อนในรอบยี่สิบปี

......บรรดาหุ่นยนต์ที่รอดจากการพังอาคารก็พากันกรูมายังพวกเรา ล้อมเราเอาไว้ในวงโอบ หวังจะจับเราไปโยนเข้าคุกให้ได้ เมื่อทั้งหมดเล็งปืนขึ้น หมายจะยิงพวกเราให้แหลกคาที่ พวกเรายืนหันหลังให้กัน เตรียมพร้อมจะสู้เต็มที่

......“ส่งพลังมาให้ผม ผมจะสร้างเกราะให้!” จิมที่ได้รับการตัดต่อมามากที่สุด และดูเหมือนจะมีพลังทั้งด้านร่างกายและจิตมากที่สุดพูด ก่อนจะก้าวเข้ามากลางวง

......นาทีนี้ถ้าอยากรอด ก็ต้องเชื่อในตัวของทิม ผมวาดมือไปข้างหน้า นึกถึงกระแสพลังทุกอนูในร่างกาย พยายามควบคุมให้มันมาอยู่ตรงกลางนิ้ว ความรู้สึกร้อนและปวดหนึบทำให้รู้ว่าสำเร็จ ทันทีที่ทุกคนพร้อม ผมก็ผลักมือออกไป ส่งกระแสพลังไปให้จิม

......ทิมดูเหมือนเรืองแสงท่ามกลางแสงโพล้เพล้ที่คลุ้งไปด้วยฝุ่นทันทีที่พลังของทุกคนส่งไ
ปถึงตัวของเขา ดูน่ากลัวประหลาด เขาชูแขนขึ้นเหนือหัว ใบหน้าดูบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดจากพลังงานที่มากเกินไป แต่เมื่อเขาปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบของเกราะนั้นก็ให้ผลคุ้มค่าทีเดียว แสงเลเซอร์สีแดงและม่วงนั้นแฉลบออกไป กระทบโดนผู้ที่เป็นคนยิงปืนเลเซอร์ลำนั้นออกมา พลังการสะท้อนกลับของเกราะนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้นายทหารผู้คุมทุกคนตายได้ แต่พวกนี้คงสวมเกราะที่ทำจากออปติคอล ไฟเบอร์ เลเซอร์ที่สะท้อนกลับจึงไม่สามารถสร้างความเสีหายได้เท่าไร ส่วนทิมก็ดูเหมือนจะหมดแรงแล้ว กิลลิสต้องช่วยพยุงเขาไม่ให้ล้ม


......แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจวนเจียนจะถูกยิงนี้ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าก็พุ่งตรงมา---แกโรนั่นเอง


......ดูเหมือนว่าโชคดีไม่น้อยที่พวกนักพันธุศาสาตร์สติหลุดตัดต่อผิดพลาด ถึงแม้แกโรในตอนนี้จะหน้าตาน่าเกลียด แต่ก็ทำให้เขาสามารถวิ่งได้เร็วและไกลเหมือนม้า---อาจจะเร็วกว่าม้าเยอะ เพราะสำหรับแกโรแล้ว หน้าตาไม่สำคัญเท่าไร ผมเห็นเขาส่องกระจกครั้งสดท้ายก็สี่ปีมาแล้ว


......ทันทีที่ลำแสงเลเซอร์จากปืนสงครามพุ่งตรงมายังผม อีวานส์ เรย์ซ่า ทิม กิลลิส และเมยา ทันใดนั้น แกโรก็กางแขนกว้างใหญ่ของเขาโอบพวกเราไว้ และด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและลื่นไหล เขาก็หลบลำแสงทั้งหมดที่เมื่อโดนเข้าแล้วถึงกับแขนขาดไปได้อย่างฉิวเฉียด เขาวิ่ง---หรือเรียกว่าหายตัวเลยก็ได้ ตรงไปยังยานอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกับจานแบนๆ ทันทีที่แกโรมาถึงทางลาดและขึ้นไปบนยานเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระชากประตูปิด

......“บินเลย!” เสียงดร.เคนตะโกนสั่งใครบางคนที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุม


......อากาศยานชนิดนี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่เราจะถูกกระชากขึ้นเหนือผื้นดินอย่างรวดเร็วเหมือนขึ้นลิฟต์ เพียงชั่วครู่ อาคารที่ทำการรัฐบาล---หรือซากที่เหลือของมัน ก็กลายเป็นจุดสีเทาๆเล็กๆบนกระดาษสีขาว ส่วนเลเซอร์ก็ดูเหมือนเป็นแสงไฟสีสวยๆที่พุ่งตรงมายังยานที่ผมนั่งหอบหายใจอยู่ แต่พลาดเป้าหมายไป

......“ไม่อยากเชื่อ ตอนนี้เราไม่ใช่หนูทดลองของเอล โดราโด้อีกแล้ว!” อีวานส์พยายามจะเต้น หัวเราะ แล้วก็กระโดดในเวลาเดียวกัน

...... ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าจะมีวันนี้ --- วันที่ผมเป็นอิสระในที่สุด

......“หลบได้ฉิวเฉียดมาก” ดร.เคนพูด ยกนิ้วโป้งให้

...... “แน่อยู่แล้วน่า ลุง” แกโรแสยะยิ้ม

...... “นี่คือยานอะไรหรือครับ” อีวานส์ถาม

...... “เครื่องนี้น่ะเหรอ” ดร.ตบผนังยานที่เรานั่งอยู่เบาๆ “เขาเรียกว่า ‘เมคาเนียม เซิร์จ’ อากาศยานทางไกลที่ดีที่สุดในโฮลี่โรด---อันดับสามในโลก รองจากเจ็ตคอร์กับสเปซ เดลต้า แล้วก็...”

...... “เราจะไปที่ไหนกันครับ” ผมขัดเพราะเดาว่าถ้าให้ดร.เคนพูดไปอีกสักประโยค เขาคงจะพูดไม่หยุด

...... “ห๊ะ..อ๋อ! เรากำลังจะไปศูนย์บัญชาการของวอล์เกอร์ออฟไลท์กัน” เมื่อเขาเห็นเด็กๆงงก็พูดอธิบายว่า “ก็คนที่เตรียมการปฏิวัติการปกครองของรัฐมนตรีเอล โดราโด้นะสิ ที่นั่นเป็นจุดระดมกำลังพลสำคัญเลยล่ะ เราทำงานมายี่สิบปีกว่าแล้วถึงจะรวบรวมกำลังพลและอาวุธจากนานาประเทศได้มากพอ ในกรณีหากเกิดสงคราม” เขาหยุดพูด “เดี๋ยวไปถึงที่นั่น ฉันจะอธิบายเพิ่ม ตอนนี้ ขอแนะนำคนขับเมคาเนียม เซิร์จคนสวย...เคลร่า เจน!”

...... หญิงสาวผู้มีผมสีดำสยายยาวหันมาจากแผงควบคุม เธอหันมายิ้มให้ทุกคน ก่อนจะหันมาจับจ้องที่ผมนานผิดปกติ

...... ในตอนนั้นเอง ผมก็เห็นว่าดวงตานั้นแข็งกร้าวทันที และเหมือนผมจะเห็น---แสงสีแดงบาดตาในดวงตาคู่สวยนั้น มันเป็นความรู้สึกอาฆาตพยาบาทที่ต้องชำระให้หาย ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดผิดปกติ---แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น แล้วเธอก็หันกลับไปยังแผงควบคุมยานต่อ


...... ดูเหมือนจะไม่มีใครทันสังเกตเห็นแบบที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ ทุกคนเอาแต่พูดกันอย่างดีใจ เกี่ยวกับอิสรภาพที่ได้มาสดๆร้อนๆนี้ ความรู้สึกที่ไม่ต้องคอยกลัวว่าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วจะมีเขางอกออกมาจากหัว


...... แต่ผมกลับมีลางหังหรณ์แปลกๆว่านี่พึ่งเป็นบทนำของความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมามากก
ว่า...


...... และผู้หญิงผมดำคนนั้น...เธอเป็นใครกันแน่



_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

ตอนแรกที่เขียนกะให้แกโรตาย แล้วก็พวกเซคันด์สเตจอาละวาด แต่มาคิดอีกที เก็บแกโรไว้ก่อน เดี๋ยวเรย์ซ่าเธอไม่มีคู่ 5555

ตอนที่เขียนมีปัญหาเรื่องชื่อตัวละคร "เมยา" มากที่สุดเพราะถ้าเขียนเป็นชื่ออังกฤษ (Meia) มันจะอ่านได้ทั้งเมเอีย เมอา เมอียา และเมยา =[]=
แต่เพราะว่าเมยาเป็นชื่อที่ฟังดูสอดคล้องกับพลังของแม่สาวหัวม่วงคนนี้ มาร์ก็เลยเอาชื่อว่าเมยา เนี่ยแหละดีสุดแล้ว (ปัญหาเยอะจริง)

อีกคำถามนึง "ดร.เคนเป็นเด็กเซคันด์สเตจเหรอ" จะขอบอกอย่างเต็มปากว่า "ไม่ได้เป็น เขาแค่หลอกเฟย์" แต่ทำไมถึงใช้พลังได้ เดี๋ยวรู้กัน

คำถามสุดท้าย มีคนถามว่า "นางเอกอยู่ไหน?"


ก็รออ่านไปก่อน นางเอกจะค่อยๆคลานออกมา 5555 (เหมือนจูออนมากกก =o=)








แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 5 2013, 10:44 AM
โพสต์ #7


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 5
The City Of God Eden





...... หลังจากที่นอนหลับไปในเตียงเล็กๆบนห้องผู้โดยสารในเมคาเนียม เซิร์จ ผมก็ตื่นมาอย่างสดชื่นทีเดียว วันนี้เป็นวันแรกที่อีวานส์ตื่นเป็นคนแรก เพราะเตียงข้างๆผมไม่มีคนนอนอยู่เหมือนทุกวัน


...... หลังจากจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำเรียบร้อย ผมก็มารับประทานอาหารในห้องนั่งเล่น (ในยานนี้ไม่มีห้องครัว มีแต่ตู้เก็บเสบียง) อีวานส์นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมหน้าโทรทัศน์ กำลังกินขนมปังโรยงาอยู่

...... “ว่าไง เฟย์” เขาหันมายิ้ม

...... “ทำไมวันนี้นายลุกจากเตียงได้ก่อนเจ็ดโมง ฉันเซอร์ไพรซมาก”

...... “มาดูข่าว”

...... “หา!” ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างอีวานส์จะเป็นผู้ใฝ่รู้ได้ในชั่วข้ามคืน

...... “ไม่ต้องมามองอย่างนั้นเลยนะ ฉันแค่มาดูว่าเมื่อคืนนี้มีใครตายบ้าง เผื่อจะมีอีตาแก่เอล โดราโด้ด้วย” เขาตบเบาะที่ยังว่างอยู่ “มาดูด้วยกันสิ”


...... ผมนั่งลงข้างๆอีวานส์ ภาพซากปรักหักพังของอาคารที่ทำการรัฐมนตรี ซึ่งมีชั้นใต้ถุนซึ่งใช้สำหรับการวิจัยโครงการเด็กเซคันด์สเตจโดยเฉพาะ ตอนนี้มีเชือกสีแดงๆเส้นโตล้อมไว้ รถดับเพลิง รถพยาบาล และรถตำรวจจอดกันแน่นขนัด ภาพผู้สื่อข่าวในชุดเสื้อคลุมมิดชิดมีหน้ากากกันพิษที่ดูคล้ายกับการแต่งกายของคนจาก
โรงพยาบาลบ้า

...... “ตรงตึกทื่เราถล่มไปมีพิษลอยอยู่รึไง” อีวานส์พึมพำ

...... “กันฝุ่นซะมากกว่า” ผมตอบ


...... ‘เมื่อวานเย็นนี้ได้เกิดเหตุอุกอาจ เมื่อเด็กเซคันด์สเตจ หรือเด็กที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมจำนวนเจ็ดคน และหัวหน้าผู้ทำการวิจัย เฮอร์ลี่ เคน ได้ทำร้ายเจ้าพนักงานโฮลี่โรดเสียชีวิตสิบสามนาย บาดเจ็บห้าสิบหกนาย และยังได้ทำการทำลายอาคารที่ทำการท่านรัฐมนตรี ส่วนท่านประธานาธิบดีเอล โดราโด้ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ล่าสุดนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว...’

...... “ปัดโธ่! ทำไมไม่ตาย!” อีวานส์ขว้างรีโมตที่ถืออยู่ทิ้งอย่างหัวเสีย


...... ‘…แน่นอนค่ะว่าการกระทำของเด็กกลายพันธุ์พวกนี้ เป็นการทรยศต่อผู้มีพระคุณ ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อหลักศีลธรรม ซึ่งทางด้านมิเคเอล มาสัน หัวหน้าผู้บังคับการตำรวจได้ทำการออกตามจับอาชญากรเด็กทั้งเจ็ดคนนี้ หากมีผู้พบเห็นหรือแจ้งเบาะแสการจับกุมได้ มีเงินรางวัลสูงถึงหนึ่งแสนเกเซีย’

...... จากนั้นก็มีหน้าพวกเราทั้งเจ็ดคนและดร.เคนฉายขึ้นบนหน้าจอ


...... “มันบอกว่าเราไร้มนุษยธรรม แล้วดูสิ่งที่มันทำกับเราสิ!!”อีวานส์เริ่มพาลอีกรอบ ซึ่งผมก็คงไปห้ามไม่ได้ เพราะที่เขาพูดนั้นก็ถูกอยู่

...... “แต่อย่างน้อย อีกไม่นานตาแก่เอล โดราโด้ก็จะโดนปฏิวัติแล้วล่ะ” ผมพูดเนือยๆ




________________________________________________________





...... การเดินทางใช้เวลาไม่นานเลยถ้าหากเทียบกับระยะทางทั้งหมด หลังจากนั่งยานเมคาเนียม เซิร์จไปได้ห้าชั่วโมง เคลร่าก็บอกผ่านลำโพงว่า อีกครึ่งชั่วโมงจะเตรียมลงจอด ทุกคนพากันชะโงกหน้าไปดูสภาพแวดล้อมด้านล่าง


...... “ให้ตายเหอะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่หรอก” เรย์ซ่าอุทานเบาๆเมื่อมองทัศนียภาพเบื้องล่างจากหน้าต่าง


...... ผมคิดว่าเรย์ซ่าพูดถูก ผืนป่ารกร้างผสมกับหญ้าสีเหลืองที่ดูเหมือนจะแห้งตายเพราะแสงแดดที่ร้อนจัด ต้นไม้หลายต้นยืนต้นตาย ส่วนพงหญ้าที่อยู่ไกลออกไปก็ดำเหมือนตอตะโก ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตสักอย่าง ถ้าไม่นับเชื่อร้าและแบคทีเรีย ไม่เป็นที่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย

...... “ดร.ครับ” ผมถามขณะที่จับจ้องภูมิทัศน์เบื้องล่าง “นี่คือที่ตั้งของศูนย์บัญชาการจริงๆเหรอครับ”

...... “ใช่แล้ว” ดร.เคนหันมาตอบจากเบาะหน้าอย่างชื่นมื่น

...... “ยังกะป่าช้าเลย” เรย์ซ่าสบถเบาๆให้ตัวเองได้ยิน

...... “อ๊ะ อ๊ะ! อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเธอเห็น” ดร.เคนยิ้มอย่างมีเลศนัย

...... “กรุณานั่งที่ของตัวเองด้วย เครื่องกำลังจะลงจอดในอีกสามสิบวินาที”

...... ทุกคนกลับไปนั่งประจำที่ในขณะที่ยานเบี่ยงขวาร่อนไต่ระดับลงพื้นดิน ก่อนจะค่อยๆร่อนลงจอดอย่างนุ่มนวลบนพื้นหญ้าแห้ง บันไดลาดแบบเดิมถูกทอดลงมา ผมรู้สึกดีที่ได้เดินอยู่ในที่โล่งๆไม่มีผนังกั้นอีกครั้ง


...... “ฉันขอตัวเอายานไปเก็บที่ศูนย์ก่อนนะ” เคลร่าพยักหน้าให้ทุกคนเร็วๆ ก่อนจะดึงบันไดลาดขึ้นยาน ปิดประตูเสียงดังสนั่น เปลวไฟสีน้ำเงินและขาวที่ใต้ยานทำให้รู้ว่าเธอสตาร์ทยาน ไม่ช้ายานก็ลอยขึ้นเหนือพื้น ลมเป่าให้หญ้าแห้งและแกลบพัดปลิวไปทั่วจนผมต้องยกมือป้องตา วินาทีต่อมา เมคาเนียม เซิร์จสีสดก็ลอยยขึ้นสู่ท้องฟ้า หายลับไปจากสายตา

...... ในขณะที่คนอื่นๆโบกมือลาเคลร่า เจน ผมกับรู้สึกโล่งใจที่เธอไปพ้นๆได้เสียที


...... “เอาล่ะ งั้นเข้าศูนย์บัญชาการกันเลย หน้าเดิน!” ดร.เคนเดินตรงไปยังกระต๊อบโทรมๆที่ดูเหมือนจะถูกปลวกกัดและสร้างเป็นจอมปลวกไปเรียบร
้อย พวกเรานึกข้อโต้แย้งไม่ออกจึงต้องจำใจเดินเข้าไป


...... ข้างในกะต๊อบมีเพียงลำแสงจากรอยแตกของไม้ผุๆที่เป็นผนัง ลำแสงสีขาวทำให้เห็นฝุ่นหนาคลุ้ง แมงมุมตัวโตๆชักใยมาจากหลังคาที่เป็นท่อนไม้ที่พร้อมจะหล่นใส่หัวผมได้ตลอดเวลา

...... หลังจากยืนมองหาวี่แววของศูนย์บัญชาการมาพักหนึ่ง อีวานส์ก็พูดขึ้นว่า “ไหนล่ะครับศูนย์บัญชาการ”

...... ดร.เคนส์ไม่ตอบอะไร เขาเดินตรงไปข้างหน้า ใช้มือลูบไปตามไม้ผุๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงไม้ที่มีผิวตะปุ่มตะป่ำ และเคาะแรงๆหนึ่งครั้ง

...... “กะพริบตาเร็วเข้า!” เขาบอก

...... “ทำไมต้องกะ---โอ๊ย!” กิลลิสร้องเสียงหลง


...... เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาทิ่มตาพวกเขาแรงๆจนต้องหลับตา เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่กำลังสงสัยว่าตาจะบอดหรือเปล่า ผมก็ต้องขยี้ตาแรงๆว่าไม่ได้ฝันไป เท้าของผมยังยืนอยู่บนพื้นแข็งๆ แต่ผมไม่ได้อยู่ในกระต๊อบซอมซ่ออีกแล้ว แต่กำลังยืนอยูบนหญ้ามอสนุ่มๆ ลมเย็นๆโชยผ่านผมสีเขียวขอมผมทำให้รู้สึกเย็นสบาย

...... “โอ้...แม่...เจ้า...” เรย์ซ่าถึงกับอ้าปากค้าง


...... ภาพเบื้องหน้าต่างกับกระต๊อบผุๆที่เราพึ่งยืนอยู่เมื่อครู่อย่างสุดโต่ง มหานครที่ดูเหมือนจะก่อสร้างด้วยแสงจันทร์ อาคารสูงสีขาวส่องประกายเหมือนเงินหลอมละลาย สะพานหินอ่อนทอดข้ามแม่น้ำสายกว้าง ผู้คนในชุดสวยงามเดินขวักไขว่บนทางเท้า ตามทางมีต้นโอ๊กอังกฤษและสนต้นใหญ่ๆปลูกไว้ ทำให้อากาศปลอดโปร่ง แม้ว่าเราจะพบเห็นรถยนต์จำนวนมาก แต่กลับไม่เห็นควันจากท่อไอเสียมากนัก คงเป็นเพราะพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดพลังงานโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ตอนเหนือของเมืองมีภูเขาสูงโอบล้อมเมืองเอาไว้จากผู้รุกราน ทางด้านตะวันออกเป็นป่าดงดิบและทุ่งธัญพืชที่ใช้เลี้ยงประชากรในเมืองนี้ พลอยแท่งโตสีม่วงลอยอยู่เหนือดอกไม้สีสดที่ดูเหมือนรังกา เหมืองเหล็กและบ่อโคลนอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง และที่ผมชอบมากที่สุด...มหาสมุทรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาสีครามเข้ม---เป็นสีโปรดของผม

...... ใจกลางเมืองเป็นหอคอยสูงสีทองสุกใสที่ทอแสงส่องประกายวาววับล้อแสงตะวัน มีโดมทรงกลมล้อมรอบด้วยวงแหวนอยู่ตรงยอดหอคอย เหนือโดมมีรูปปั้นของนกอินทรีที่สร้างขึ้นจากทองและทับทิม นกอินทรีทองคำตัวนี้กำลังอยู่ในท่ากางปีกเหมือนพร้อมจะโบยบินในทุกเมื่อ ในจงอยปากแหลมงุ้มคาบม้วนกระดาษเอาไว้ ตาแหลมคมทำจากทับทิมทำให้ดูราวกับว่ารูปปั้นนี้มีชีวิต
ในขณะที่กำลังยืนอึ้งตะลึงงันกับภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น เสียงของดร.เคน ก็ทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์


...... “ขอต้อนรับสู่มหานครแห่งผู้พิทักษ์...ก็อด เอเดน!”





________________________________________________________





...... ฉันทุบโต๊ะปังอย่างหัวเสียเป็นที่สุด แก้วน้ำหล่นลงไปแตกกระจายอยู่บนพื้น

...... “บ้าจริง! ฉันให้แกทรมานมันมาสิบสี่ปี แล้วก็ให้ระเบิดเพดานตอนที่พวกมันหนีออกมา ทำไมมันถึงยังไม่ตาย หา!” ฉันตะคอกใส่ชายชราผมขาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ร่างของตาแก่นั่นสั่นเหมือนโดนจับไปแช่ถังน้ำแข็งมา

...... “ให้อภัยผมด้วยเถิด ท่านลาเรน!” เอล โดราโด้คลานมาจับเท้าของฉัน “ครั้งหน้าผมจะไม่ให้พลาดอีก”

...... “ครั้งหน้าอะไร!” ฉันสะบัดเท้าที่มือเหี่ยวๆนั้นจับไว้ “พวกมันหลบเข้าไปในก็อด เอเดนแล้ว!”

...... “ปะ---เป็นไปไม่ได้!”

...... “เป็นไปแล้ว!” ฉันหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้นวมที่เหล่าบอดี้การ์ดยืนคุ้มกัน รวบผมสีเงินไปข้างหลัง ถอนหายใจแรงๆครั้งหนึ่ง “ตามจับมันมาให้ได้ โดยเฉพาะเจ้าเด็กนั่น --- เฟย์ ลูน” ฉันสบถ “แถมอาซูเรย์ ลูน ผัวของยัยมิสตร้า มันก็ยังไม่ตายด้วย! ฉันให้แกขังมันไว้ แต่เมื่อวาน ฉันไปตรวจคุก ฉันได้รับแจ้งมาว่า มันหนีไปแล้ว คงจะหนีตามลูกชายมันไป” เอล โดราโด้นั่งเงียบ “ไปตามจับพวกมันมาให้ได้!---ขอแบบเป็นๆนะ”

...... “แต่...ท่านครับ...”

...... “ฉันไม่ต้องการข้ออ้าง! ฉันต้องการผลงาน!” ฉันตวาด “ไสหัวออกไปได้แล้ว!”

...... เอล โดราโด้ไม่รอช้า วิ่งแจ้นเท่าที่คนแก่อายุหกสิบห้าปีจะวิ่งไหว


...... เมื่ออยู่ตามลำพัง ฉันก็เหม่อมองออกไปยังภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ด้านนอก

...... “แกต้องรับกรรมแทนแม่ของแก...เฟย์ ลูน!”






_______________________________________________________
To Be Continued





แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 9 2013, 01:25 PM
โพสต์ #8


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 6
The Tower





.... สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำก็คือ ถอดเสื้อคลุมและรองเท้าออก แล้วก็กระโดดลงไปเล่นน้ำในมหาสมุทรให้หนำใจ แต่ผมก็ตัดใจเดินตามทุกคนลงจากยอดเขาตรงไปยังเมืองก็อด เอเดนที่อยู่ตรงหน้า (ยกเว้นแกโรที่วิ่งควบล่วงหน้าคนอื่นๆไปด้วยกีบม้าของเขา)


.... ยิ่งเดินเข้าใกล้ เมืองนี้ก็ยิ่งดูสวย ตามทางเดินที่ทำจากหินแกรนิตและคอนกรีตประดับด้วยอัญมณีเม็ดเล็กๆซึ่งหากเอาไปขายในโ
ฮลี่โรดที่ผมเพิ่งจากมาได้วันหนึ่งคงจะทำให้ผมจัดการพาตัวเองและเพื่อนๆออกจากคุกได้ส
บายๆ และถ้าเอาเพชรพลอยที่เป็นเครื่องประดับของผู้คนที่อาศัยอยู่ในก็อด อีเดนสักคนไปขาย เอล โดราโด้ อาจจะถึงขั้นให้วัคซีนฟื้นฟูพันธุกรรมมาให้เราเลยก็ได้


.... แต่ถึงผมจะมีเงินมากขนาดที่เอาไปไถ่ตัวเองได้ ผมก็ยังคิดว่าเมืองโฮลี่โรด ก็ยังน่าอยู่ไม่ถึงครึ่งของก็อด เอเดนหรอก

.... “เอาล่ะ ทางที่จะไปศูนย์บัญชาการวอลค์เกอร์ออฟไลท์น่ะอีกไกล เพราะฉะนั้น เราก็นั่งไอ้นี่ไปละกัน” เขาชี้ไปที่รถเปิดประทุนคันใหญ่สีบรอนซ์ที่แล่นเข้ามาจอดทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงริม
ถนน ขับโดยเด็กหนุ่มสวมแว่นในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินกรมท่าโก้หรู ผู้คนที่เดินผ่านมาทักทายพวกเขาอย่างสุภาพ อาจจะเป็นเพราะดร.เคนเป็นคนใหญ่คนโตของที่นี่ก็ได้

.... “ฉันไม่นั่งไอ้รถพรรค์นี้หรอก” แกโรเชิดหน้า เคาะกีบของเขาบนพื้นอย่างขัดใจ

.... “แล้วเธอจะไปที่ศูนย์บัญชาการยังไงล่ะพ่อหนุ่ม” ดร.เคนถามกึ่งเอือมกึ่งขัน

.... “ก็วิ่งไปไง”

.... “โอเค ถ้าเธอวิ่งไปถึงก่อนรถคันนี้ ฉันเลี้ยงข้าวนายสามมื้อ”

.... “ได้เลย!” แกโรตอบ และก่อนที่ใครจะลากให้เขามานั่งบนรถได้ เขาก็วิ่งห้อแบบม้าตรงไปยังหอคอยสูงที่มีโดมทันที เขาฉลาดพอที่จะวิ่งบนทางเท้าแทนถนนที่รถวิ่งอยู่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมารีบหลบทางให้เขาทันที

.... “โชคดีที่เขาวิ่งไปถูกทางนะ” ดร.เคนพูดก่อนจะเอามือลูบเคราที่ไม่ได้โกนมาสามวัน “อย่าเสียเวลาเลย เข้าไปนั่งกันเลย”


.... เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ น่าจะอายุอานามเท่าผม ผมก้าวขึ้นไปนั่งติดกับอีวานส์ เบาะหลังที่ทำจากหนังลูกวัวนุ่มเหมือนโซฟาบนยานเมคาเนียม เซิร์จ จนผมอยากจะนอนลงบนเบาะนี้แล้วหลับไปเลย แต่ก็ต้องอดใจไว้

.... ทันทีที่ทุกคนนั่งกันเรียบร้อยและปิดประตูแล้ว เด็กชายผู้เป็นโชว์เฟอร์ขับรถก็ขับรถเปิดประทุนแล่นไปบนถนน ความเร็วของรถคันนี้ทำให้พวกเราไปถึงหอคอยใจกลางเมืองได้โดยใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่า
นั้น


.... ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว รถก็แล่นมาจอดยังทางเข้าศูนย์บัญชาการวอล์คเกอร์ออฟไลท์ บันไดหลายขั้นที่ทำจากหินออบซิเดียนสีดำเป็นเงา ที่ชั้นบนสุด แกโรได้ยืนรอพวกเราอยู่เรียบร้อยแล้ว

.... “ฮะฮ่า! บอกแล้วว่าวิ่งมาเร็วกว่า”

.... “โอเค ฉันยอมแล้ว” ดร.เคนหัวเราะ


.... ในตอนที่พวกเราลงมาจากรถเรียบร้อย เด็กผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีแดงอ่อน ผมรวบเป็นมวยเรียบร้อยก่อนเดินยิ้มเผล่มาจากในอาคาร ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออกทันทีที่เธอเดินผ่าน

.... “สวัสดีค่ะท่านเฮอรี่ เคน และผู้ติดตามทุกๆท่าน” เธอพูดเร็วปรื๋อ “ท่านประธานเนธาน รอพวกคุณอยู่ที่ห้องส่วนตัวค่ะ”

.... “ขอบคุณครับ เนร่า” ดร.เคนบอก ผู้หญิงคนนั้นเดินกลับเข้าไป “ไปกัน เด็กๆ” เขาเดินเข้าไปในอาคาร พวกเราตามเขาไปด้วย


.... ห้องโถงต้อนรับของอาคารนี้ดูเหมือนจะอลังการพอๆกับโรงแรมในเมืองโทเพกา เก้าอี้นวมน่านั่งจำนวนมากวางไว้ทั่วห้อง มีโต๊ะทำจากไม้อีโบนี สมาชิกกลุ่มผู้บัญชาการหลายคนนั่งเป็นกลุ่มๆ บ้างก็คุยกัน บ้างก็กินของว่างที่นำมาจากคาเฟ่เล็กๆตรงมุมขวาของห้องโถง กลางห้องเป็นน้ำพุที่ดูเหมือนจะไม่มีน้ำพุ่งเลย มีปุ่มหมายเลข 2-32 อยู่รอบๆอ่างน้ำพุ

.... “สวัสดี คุณเคน” เสียงห้าวๆของผู้ชายที่นั่งอยู่ใกล้น้ำพุเอ่ยทักทาย

.... “สวัสดีครับ... เชน... ใช่ไหม” ดร.เคนหันไปหาชายวัยกลางคนที่ไว้เคราสีทอง

.... “ความจำดีพอตัวนี่ ไม่เจอกันตั้งสิบปี ตั้งแต่สมัยที่เรายังถูกขังอยู่ในโฮลี่โรด” เขายิ้มให้เห็นฟันหลอ “พวกเธอเป็นเด็กเซคันด์สเตจใช่ไหม” เชนถาม

.... “ครับ” อีวานส์ตอบ

.... “อื้ม... ดีใจที่ได้เจอรุ่นน้อง พวกเธอรีบไปเถอะ ท่านประธานกำลังรอพวกเธออยู่ที่ชั้นสามสิบ”

.... “ขอตัวนะครับ” ดร.เคนพูด ก่อนจะเดินนำพวกเราไป

.... ผมนึกสงสัยว่าผมจะเป็นรุ่นน้องของชายผู้อยู่เบื้องหน้าผมได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เคย
รู้จักอะไรกันมาก่อน แต่ผมก็เปลี่ยนคำถามในหัวทันทีเมื่อดร.เคนพาพวกเราเดินไปยังน้ำพุ

.... “เราจะไปไหนกันครับ” ผมถาม

.... “ไปหาท่านประธานเนธานไง” ดร.เคนตอบ

.... “แล้วเราจะขึ้นไปยังไงฮะ ไม่เห็นมีบันได หรือลิฟต์ หรืออะไรที่จะพาเราขึ้นไปสักอย่างนี่ครับ” ทิมที่เงียบมาตลอดถาม

.... “ไอ้นั่นไง” ดร.เคนชี้ไปยังน้ำพุที่พ่นน้ำต่ำๆตลอดเวลา เขาอ่านสีหน้าของพวกเราออกได้ไม่ยากเพราะเขาพูดต่อว่า “เอาน่า เดี๋ยวทำให้ดู”

.... ดร.เคนเดินตรงไปยังน้ำพุ กดบนปุ่มหมายเลข 32 หลังจากนั้นก็กดปุ่มหมายเลข 8 ทันใดนั้นเอง ก็ดูเหมือนมีน้ำหยดโตๆหยดนึ่งกระเซ็นขึ้นมาจากน้ำพุทันที แล้วหยดน้ำนี้ก็ขยายตัวเองจนดูเหมือนจานกระจกวงกลมใสๆที่สามารถรองรับพวกเราทั้งแปดค
นได้สบายๆ มีราวจับสีเงินโอบไว้โดยรอบ เหลือพื้นที่กว้างพอให้เราขึ้นไปยืน

.... “โอ้โห” เมยาอุทานเสียงเบาๆ

.... “ขึ้นไปเลย อย่าลืมจับราวไว้ด้วยนะ ไม่งั้นถ้าคอหักฉันไม่ฝังศพให้หรอกนะ จะบอกให้”

.... ผมทำตาม ขึ้นไปยืนติดกับราวเงินและจับไว้แน่น นึกสงสัยว่ากระจกอันนี้จะพาเราขึ้นไปยังชั้นอื่นๆได้อย่างไร

.... “เตรียมตัวนะ ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง!”


.... ดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นในทันทีที่ดร.เคนนับถึงเลขหนึ่ง น้ำแรงดันสูงพุ่งกระทบท้องของแผ่นกระจกบางๆ ดันให้กระจกที่ผมยืนอยู่พุ่งขึ้นไปอย่างทันทีทันใด ถ้าผมไม่จับราวเหล็กไว้ มีหวังได้หน้ากระแทกกับหัวของทิมจนฟันหน้าหักทั้งแถบแน่นอน

.... “น—นี่ คุณเปลี่ยนสปีดไม่ได้รึไง!” เรย์ซ่าตะโกนขณะที่เกาะบ่าของกิลลิสไว้สุดชีวิต

.... “ไม่ได้ ยกเว้นแต่เธอจะอยากเดินขึ้นไปสามสิบสองชั้น!” ดร.เคนหัวเราะ

.... “ไม่ใช่ เราจะชนเพดานนั่นต่างหาก!” เรย์ซ่าชี้นิ้วไปที่เพดานโค้งที่ตันๆแข็งๆ

.... “นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบสามนะ แม่หนู”

.... “ดูนั่นสิ เพดานตรงนั้นเปิดเป็นช่องกลมๆให้เราเข้าไปด้วยล่ะ!” กิลลิสชี้ไปตรงรูโหว่กลมๆที่เลื่อนเปิดออกเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เพดานโค้งนั้น ผมล่ะทึ่ง

.... ผมไม่ทันได้สังเกตว่าแต่ละชั้นที่เราผ่านไปนั้นมีอะไรบ้าง พวกเราก็มาถึงโดมสีทองที่เห็นเป็นทรงกลมบนยอดหอคอย น้ำส่งแรงดันเท่าเดิมนานพอที่จะให้พวกเราทุกคนเดินออกมาจากแท่นกระจกนี้ได้ ทันทีที่กิลลิสก้าวออกมาเป็นคนสุดท้าย แผ่นกระจกมหาประลัยนี้ก็ถูกกระชากกลับไปยังชั้นหนึ่งใหม่ทันที พื้นไม้ใต้เท้าของผมเลื่อนปิดเหมือนไม่เคยมีช่องอะไรอยู่เลย

.... “ให้ตายเหอะ ถ้ามันจะหวาดเสียวขนาดนี้ รู้อย่างนี้ฉันวิ่งขึ้นมายังดีกว่า” แกโรพูดอย่างหัวเสีย

.... “น้ำของเราแรงไปรึเปล่า คุณแกโร” เสียงน่าฟังดังมาจากสุดมุมห้องดังขึ้น

.... “ป...เปล่าครับ” แกโรสะดุ้งโหยง

.... “ผมไม่น่ากลัวหรอกครับ” เสียงนั้นพูด เก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่หันมาประจันหน้ากับพวกเขา ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

.... ทันทีที่เขาหันมาประจันหน้ากับพวกเรา ผมก็ถึงกับพูดไม่ออก

.... “อะไรกัน! ท่านประธานเนธาน --- เป็นเด็กที่ขับรถเมื่อกี้หรอกเหรอ!” อีวานส์ตะโกนลั่นห้อง

.... “ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชาลส์ เนธาน---เรียกว่าชาลส์ก็ได้ครับ” เด็กชายอายุราวสิบสามปีผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินเข้มพูดยิ้มๆ ทุกคนถึงกับอึ้งกับเรื่องที่หักมุมได้ขนาดนี้ (ยกเว้นดร.เคน คนเดียวที่ดูเหมือนจะแปลกใจกับเรื่องทำนองนี้เลย)





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

เน็ตค้าง 3 วัน อดลง T.T ตอนแรกเริ่มท้อกับฟิคเรื่องนี้เพราะว่า เรื่องมันซับซ้อนเหลือเกิน 5555
เกือบจะถึงครึ่งเรื่องแล้ว ดีใจมาก เป็นเรื่องแรกในรอบห้าปี

ถ้าชอบก็วิจารณ์ กดดาว และเป็นกำลังใจให้เรื่องนี้จบตลอดรอดฝั่งนะคะ ><



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 11 2013, 02:47 PM
โพสต์ #9


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 7
The History





...... ในตอนนี้ พวกเรานั่งบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาโต๊ะที่ทำจากไม้โอ๊กขัดมัน ดร.เคนนั่งที่ปลายโต๊ะด้านหนึ่ง ส่วนชาลส์ เนธาน นั่งเป็นประธานตรงหัวโต๊ะ

...... “เริ่มกันเลยนะครับ” ชาลส์พูด เขากดรีโมทไปยังกระจกที่เปิดโล่งให้เห็นเมืองก็อด เอเดนทั้งเมือง หน้าจอโปรเจคเตอร์ปรากฏขึ้นกลางอากาศที่ว่างเปล่า

...... “ในช่วงยี่สิบปีนี้มานี้ องค์การมืด ที่ใช้นามแฝงว่า เพอร์เฟคต์ คาสเคต นำโดยนายผลหญิง เคจ ลาเรน ได้ทำการยึดอำนาจมาจากเมืองโฮลี่โรด ใช้ที่นั่นเป็นศูนย์บัญชาการในการรวบรวมประเทศต่างๆ ให้อยู่ในกำมือ โดยสร้างเรื่องบังหน้าโดยใช้โครงการความร่วมมือนานาชาติ อ้างว่า จะสร้างโครงการที่เอื้อผลประโยชน์ทางการเงินให้แก่ประเทศที่เข้าร่วม เมืองโฮลี่โรดที่มีเอล โดราโด้ --- มือขวาของเคจ ลาเรนเป็นแกนนำ โฮลี่โรดค่อยๆเข้าแทรกแทรงประเทศเหล่านั้นทีละน้อยโดยไม่ให้เป็นที่สงสัย --- ในที่สุด อำนาจในการจัดการประเทศเหล่านั้นก็อยู่ในกำมือของเอล โดราโด้ในที่สุด (ซึ่งก็ไม่ยากเลยเพราะตั้งแต่วิกฤติมนุษย์ล้างโลกในศตวรรษที่ 22 โลกของเราก็เหลือประเทศอยู่แค่เจ็ดประเทศ แต่ละประเทศมีเมืองใหญ่ๆแค่เมืองเดียวเท่านั้นเอง ดังนั้น เมืองกับประเทศก็ไม่ต่างกันหรอกเพราะแต่ละประเทศมีเมืองเดียว ) โดยที่ประเทศเหล่านั้นแทบไม่รู้ตัวเลยว่าโดนเอล โดราโด้หลอกใช้อยู่”

...... “แล้วทำไมก็อด เอเดน ถึงไม่โดนเอล โดราโด้รวบไปด้วยล่ะ” อีวานส์ถามอย่างไร้มารยาทเหมือนเดิม

...... “คุณต้องเข้าใจก่อนว่า โฮลี่โรดและก็อด เอเดน เป็นเมืองที่เป็นปรปักษ์กันมานาน ทั้งด้านแนวคิด ความขัดแย้งของผู้นำ และเรื่องอื่นๆอีกเยอะครับ ทำให้ก็อด อีเดนไม่ยอมคล้อยตามข้อเสนอของโฮลี่โรดที่นำโดยเอล โดราโด้” ชาลส์หยุดพูดเหมือนจะให้เราคิดตามสิ่งที่เขาพูดให้ทัน

...... “ต่อจากนั้นไม่กี่ปี่ต่อมา ก็อด เอเดน ได้ประกาศสงครามอย่างจริงจังกับโฮลี่โรด โดยมีผู้นำเป็นกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า วอล์กเกอร์ออฟไลท์ ทว่าในตอนนั้น กองกำลังผู้ที่สนับสนุนก็อด เอเดนมีจำนวนน้อยมากเพราะประเทศส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายโฮลี่โรดกันเกือบหมด สงครามครั้งนั้นจบลงด้วยการที่เราแพ้ แกนนำคนสำคัญถูกฆ่าตายเกือบหมด เคจ ลาเรนที่มานำกองทัพโฮลี่โรดด้วยตนเอง จับเด็กๆที่เป็นลูกของแกนนำ ไปตัดต่อพันธุกรรมจนผิดมนุษย์มนา --- ซึ่งเด็กๆพวกนั้นก็คือ พวกคุณครับ”


...... เหมือนมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางตัวของผม มันเป็นความรู้สึกที่ด้านชา เจ็บปวด และโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน ผมรู้สึกเกลียดเคจ ลาเรน คนนั้นขึ้นมาทันทีแม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าเธอเลยก็ตาม


...... ...เอล โดราโด้ปั้นน้ำเป็นตัวได้แนบเนียนมาก เขาใช้โครงการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ในการขู่ผู้ที่จะทำการปฏิวัติ --- เขาฆ่าพ่อแม่ของผม --- เพียงเพราะต้องการอำนาจเท่านั้น


...... “มันจะทำอย่างนี้กับพวกเราทำไม!” อีวานส์คำราม ใช้กำปั้นทุบโต๊ะ แต่ครั้งนี้ผมไม่คิดว่ามันเป็นการเสียมารยาทแม้แต่น้อย ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาและทุกคนในตอนนี้ดี

...... “ผมคิดว่าที่เธอทำอย่างนั้นเพราะเธอต้องการกำจัดผู้ที่คิดกระด้างกระเดื่องกับเธอให้
หมดโลกไป จากการสันนิษฐานของผม ผมคิดว่าเคจ ลาเรนป่วยด้วยโรคทางจิตบางอย่าง ทำให้ความคิดของเธอโหดร้ายทารุณ”

...... “โง่เหลือเกินยัยลาเรน” ดร.เคนพูดพึมพำ

...... “หลังจากที่เขาจับพวกคุณไปขังเรียบร้อยแล้ว เอล โดราโด้ กลัวว่าจะมีผู้คิดแข็งข้อในประเทศอื่นๆอีก เขาจึงให้คนไปสืบดู เมื่อผู้ใดต้องสงสัยว่ากระด้างกระเดื่องกับโฮลี่โรด สายของเอล โดราโด้ก็จะลงมือฆ่าผู้นั้นทันที ที่ร้ายกว่าก็คือ ถ้าเขามีลูก เด็กๆพวกนั้นก็จะถูกจับไปดัดแปลงพันธุกรรม ใช้เป็นอาวุธหากมีสงคราม เพื่อป้องกันผู้ต่อต้านการกระทำนี้ เอล โดราโด้จึงได้เขียนกฏหมายมาตรา 312 ว่า “การตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องถูกกฎหมาย” ด้วยวิธีนี้ เขาจึงไม่ถูกผลักออกจากเก้าอี้ และด้วยเหตุนี้ จึงมีเด็กเซคันด์สเตจทั่วโลก --- ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น คุณลุงของผมเป็นผู้ริเริ่มวอล์กเกอร์ออฟไลท์ ท่านถูกสังหารหลังจากสงคราม ผมรับช่วงมาจากคุณพ่อที่เสียชีวิตหลังจากคุณลุงเสียครับ

...... “แต่เมื่อเร็วๆนี้ เราสามารถรวบรวมเด็กเซคันด์สเตจที่สามารถหนีออกมาจากคุก และพวกเขาได้เข้าร่วมกับเรา เพื่อทำการปฏิวัติเอล โดราโด้ และเคจ ลาเรนครับ”


...... ชาลส์ตบมือสองหน เด็กวัยรุ่นเจ็คคนเดินออกมาจากประตูที่อยู่ด้านหลัง

...... “ขอแนะนำเด็กเซคันด์สเตจจากทุกประเทศ --- จริงๆแล้วมีแค่ประเทศละคนเท่านั้น (มีแค่โฮลี่โรดเท่านั้นที่มีเด็กเซคันด์สเตจมากกว่าหนึ่งคน) นี่เอมาริลจากเวคซัส” เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงยิ้ม “รอยล์จากไทเดส” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยาวหน้าตาบึ้งตึงพยักหน้าเบื่อๆ “แฮร์ริงตันจากโอห์ม” เด็กชายสูงเหมือนเสาโทรเลขยิ้มให้แหยๆ “เคลฟจากซับเทียร่า” เด็กผู้ชายที่มีแต่กล้ามเป็นมัดๆและรอยสักตามตัวมองพวกเราตาไม่กระพริบ “ซินจากซีนิทท์” เด็กหญิงผมสีชมพูแปร๊ดออกแนวพังค์ยิ้มแยกเขี้ยว เผยให้เห็นฟันคมกริบทั้งแถว “โคแนนจากอาโนมเลย์” เด็กหนุ่มตัวเตี้ยผมดำสวมแว่นหน้าตาคล้ายๆกับทิมยักไหล่ผอมบางให้

...... “และนี่กาเลเทียจากกรีก” เด็กสาวผมสีบลอนด์ยาว ดวงตาสีน้ำเงินยิ้มให้ทุกคน


...... ทันทีที่ผมสบตากาเลเทีย ตับ ไต ไส้ พุงของผมก็เหมือนกับลุกขึ้นมาเต้นระบำแทงโก้ทันที นี่แหละ สเป็คผมชัดๆ!


...... “ผมขอถามคำถามสุดท้ายนะ” อีวานส์ลุกขึ้นยืน “พวกคุณมีวัคซีนที่จะทำให้เราอยู่ได้แบบคนปกติไหม”

...... “แน่นอนครับ” ชาลส์พูดก่อนจะขยับแว่น “หากคุณต้องการ ผมก็จะให้เจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีนให้เลยครับ”

...... “ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง” แกโรลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนล้มหงายหลังไป กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ ผมและเรย์ซ่าก็ต้องช่วยกันฉุดเพราะขาม้าของเขาเป็นภาระมาก

...... “ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมมาครับ” เขาลุกจากเก้าอี้ทำงาน เดินไปที่ริมห้อง พื้นแยกออกอีกครั้ง “อ้อ พรุ่งนี้ขอเชิญพบกันที่นี่ เวลาเดิมนะครับ” ชาลส์หันไปบอกเด็กเซคันด์สเตจอีกเจ็ดคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

...... “ไปที่ห้องแล็บ ชั้นสิบสามกันเลยครับ” เขาขึ้นไปยืนบนแผ่นกระจกรูปวงกลมอีกครั้ง

......“ให้ตายเถอะ ฉันเกลียดลิฟต์แบบนี้มากๆเลย!” เรย์ซ่าบ่น แต่ก็ยอมขึ้นไปยืนบนแผ่นกระจกโดยดี






________________________________________________________







...... ผมเอานิ้วคลำที่ต้นแขนซ้ายที่ยังระบมอยู่ ผมไม่เคยเจอการฉีดวัคซีนที่ห่างไกลจากใช้เข็มฉีดยามากเท่านี้มาก่อน การ “ฉีดวัคซีน” ต้านดีเอ็นเอพาหะ หรือ โฮสต์ ที่บั่นทอนชีวิตของผม ความจริงแล้ว มันเป็นการยิงเลเซอร์เข้าที่ต้นแขนซ้าย คลื่นความร้อนจะส่งผลต่อดีเอ็นเอของพวกเรา --- ความจริงผมก็ไม่แน่ใจกลไกการทำงานของมันนักหรอก

...... “แผลจากเลเซอร์จะแสบไปประมาณสองสามวัน นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พันธุกรรมของพวกคุณไม่เกิดอาการต่อต้านและทำลายตัวมันเอง
” ชาลส์พูดหลังจากที่พวกเราถูกเลเซอร์มหาประลัยยิงเจาะต้นแขนเรียบร้อย

...... “นายเคยเป็นเด็กเซคันด์สเตจมาก่อนเหรอ” อีวานส์ถาม

...... “ครับ จากเวคซัส” เขาตอบ “ผมเป็นเด็กคนแรกที่หนีออกมาได้ ผมพาเอมาริล เพื่อนจากประเทศเดียวกันกลับมาด้วย พอผมกลับมาถึงก็อด เอเดน พวกเราก็ช่วยกันวิจัยจนสามารถสร้างอุปกรณ์ที่จะทำลายดีเอ็นเอส่วนที่ส่งผลเสียต่อชีว
ิตของเรา ส่วนคุณพ่อของผม --- ตอนนั้นท่านเป็นประธานของวอล์กเกอร์ออฟไลท์ ผมกลับมาช่วยท่านก่อการปฏิวัติเอล โดราโด้ได้สองปี ท่านก็เสียครับ ผมจึงมารับช่วงต่อจากท่านแทน”

...... “เสียใจด้วยนะ” เมยาตบบ่าของชาลส์เบาๆ กิลลิสที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแล็บมองทั้งคู่ด้วยสายตาอันตราย

...... ในตอนนั้นเอง เสียงคล้ายนาฬิกาปลุกก็ดังมาจากเสื้อสูทแขนยาวของชาลส์ เขาเลิกแขนเสื้อสีดำขึ้น เผยให้เห็นกำไลข้อมือสีเงินอันโตประดับด้วยทับทิมเม็ดโต เขากดปุ่มบนทับทิมสีแดงที่มีแสงไฟกระพริบอยู่ ทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสโดนปุ่มนั้น มันก็เรืองแสงขึ้นมา ภาพศีรษะของชายในเครื่องแบบผู้พิทักษ์ของก็อด เอเดนฉายขึ้นเหนือกำไลคล้ายๆกับภาพในจอโปรเจคเตอร์

...... “เกิดอะไรขึ้นครับ คุณแกมม่า” เขาพูดกับชายที่มีผมชี้โด่เด่ในลำแสงสีแดงบนข้อมือของเขา

...... “ขณะนี้โฮลี่โรดกำลังเริ่มต้นก่อสงครามครับ สายของเรารายงานมาว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เอล โดราโด้ประชุมวางแผนการบุกประชิดก็อด เอเดนครับ”

...... “แล้วตอนนี้กองกำลังของโฮลี่โรดมีอยู่เท่าไรกัน”

...... “เขารวมกองกำลังจากทั่วโลกที่เขาครอบครองอยู่ รวมๆแล้วก็ประมาณสี่หมื่นหน่วย คาดว่าเขาจะใช้อาวุธเชื้อโรคและระเบิดนิวเคลียร์ด้วยครับ”

...... “ขอบคุณครับ แกมม่า” ชาลส์กดปุ่มอีกครั้ง หน้าของหน่วยสอดแนมผู้มีนามว่าแกมม่าก็หายไปด้วย

...... “ชาลส์ เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม

...... “เราต้องรีบแล้วครับ ผมคาดว่าเคจ ลาเรน คงจะทราบแล้วว่าพวกคุณหลบหนีจากโฮลี่โรด และตอนนี้อยู่ในก็อด เอเดน พวกเขาคงทำทุกทางเพื่อบีบให้พวกเราต้องออกมาสู้และกำจัดพวกเราให้หมด” เขาพูดหน้าเครียด

...... “แล้วจะเอาไงดีล่ะทีนี้” เรย์ซ่ากุมขมับ

...... “เราต้องคิดแผนก่อนล่วงหน้าพวกเขาหนึ่งก้าวครับ --- เราต้องใช้แผนนกต่อ”





_______________________________________________________
To Be Continued







Talk With Writer

เป็นตอนที่อืด มาก!!! แต่ถ้าไม่เขียนตอนนี้เราก็จะไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติโฮลี่โรด ก็เลยต้องเขียน 5555
นางเอกเราโผล่มาแล้ว ช่างเป็นแม่นางที่จืดชืดเหลือเกิน TwT
ยอมรับว่าเขียนบทรักไม่เป็น เขียนได้แต่นิยายไร้สาระอย่างเดี่ยว 5555

พอดีว่าคิดไม่ออกว่าทำไมเคจ ลาเรนถึงบ้าเลือดขนาดนี้ ก็เลยให้เธอเป็นผู้ป่วยทางจิตซะเลย ง่ายดี -.-

มีคนรีคอมเมนต์มาว่า อยากเห็นฉากเทลาะตบตีกัน เดี๋ยวตอนที่ 8 จะจัดให้เต็มๆ นะจ๊ะ ><



[i]ps. ช่วงนี้จะมาลง 2 วันต่อ 1 ตอนนะคะ





แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ Apr 21 2013, 08:47 PM
โพสต์ #10


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 8
The Revenge





....แทนที่จะได้ไปนอนหลับสักงีบหนึ่ง เด็กเซคันด์สเตจทุกคน ถ้าหากรวมชาลส์ด้วยนับเป็นสิบห้าคน ก็ต้องกลับเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของชาลส์ เนธานบนยอดโดมทองคำ จอภาพปรากฏบนกระจกที่เปิดโล่งอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่แสดงบนจอโปรเจคเตอร์เป็นแผนผังของเมืองโฮลี่โรดทั้งเมือง


....ชาลส์เริ่มอธิบายถึงจุดยุทธศาสตร์ต่างๆในเมืองโฮลี่โรด ตรงใจกลางเมืองคือที่ทำการคณะรัฐมนตรี รอบๆอาคารที่ทำการคือบ้านเรือนของชาวเมือง ถนน ทางหลวง และร้านรวงต่างๆ บ้านและอาคารแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันหนึ่งช่วงถนน ชั้นบนสุดของอาคารที่ทำการคณะรัฐมนตรีเป็นจุดระดมกำลังพลกองทัพอากาศ ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เป็นจุดระดมกำลังพลทหารราบ รอบๆเมืองโอบด้วยเขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจะใช้กักเก็บน้ำแล้ว ยังมีบ่อน้ำมันดินด้วย ถ้าหากมองจากด้านบน เราจะเห็นอ่างเก็บน้ำสลับกับอ่างกักน้ำมันดิน ห่างจากเขื่อนที่เป็นเหมือนปราการชั้นในสุดแล้ว เป็นภูเขาหัวโล้น มีป้อมปืนซึ่งประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง


....ข้อได้เปรียบโฮลี่โรดคือทำเลที่ตั้ง ทั้งการที่มีป้อมปืนบนภูเขา การที่กองกำลังอากาศอยู่ตรงกึ่งกลางเมือง ซึ่งทำให้สามารถจู่โจมได้รอบทิศทาง การที่มีจุดระดมกำลังพลเดินเท้าอยู่ในวงโอบ ทำให้สามารถล้อมศัตรูได้ การสร้างบ้านเป็นแนวบล็อกซึ่งเว้นระยะให้กองกำลังเดินเท้าทำการรบได้สะดวกยิ่งขึ้นโด
ยที่ตัวบ้านไม่เสียหาย แถมยังมีเขื่อนซึ่งไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีอ่างกักน้ำมันดินอ
ยู่ในเขื่อนด้วย


....หากดูแบบภาพรวมแล้ว หากจะโจมตีด้วยกองทัพที่เดินดินธรรมดาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทางเข้าเมืองโฮลี่โรดนั้นมีเพียงทางเดียว หากจะเดินเท้าเข้าไป นั่นคือ เข้าไปยังที่ว่างระหว่างเขื่อนที่เป็นประตูใหญ่ แต่ตรงประตูทางเข้าเมือง ก็จะมีผู้รักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธรบไฮเทคเฝ้าอยู่ทั้งวัน หากจะโจมตีโดยกองทัพอากาศ จุดอ่อนของผู้บุกรุกคือ ป้อมปืนที่อยู่บนยอดเขาก็จะทำงานทันที หากเราจัดการป้อมปืนได้ กองทัพอากาศยานของโฮลี่โรดก็คงไม่ปล่อยให้เราเอาปืนไปจ่อหัวตาแก่เอล โดราโด้ได้ง่ายๆ


....“แผนของเราก็คือ เราจะใช้นกต่อครับ” ชาลส์พูดก่อนจะกดปุ่มอีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นรายละเอียดของกองทัพและฐานทัพต่างๆในเ
มืองโฮลี่โรด “เราจะหันเหความนใจของกองทัพส่วนใหญ่ โดยการที่เราจะโจมตีจุดสำคัญของเมือง เช่น อาคารรัฐมนตรี ซึ่งสามารถหันเหความสนใจ และทำให้กองทัพของเอล โดราโด้มุ่งเป้าหมายไปเพียงที่เดียวครับ


....“เราจะส่งกองกำลังที่จะทำหน้าที่เป็นนกต่อ ล่อกองทัพของเอล โดราโด้ให้มุ่งจู่โจมเพียงแห่งเดียวตรงใจกลางเมือง การป้องกันของโฮลี่โรดก็จะลดลงครับ หลังจากนั้น เราจะส่งกองทัพหลักไปทำลายแนวป้องกันเช่น ป้อมปืน และจุดระดมกำลังพลทหารราบปีกซ้าย --- ถึงตอนนั้นพวกเราก็น่าจะบุกได้ง่ายขึ้นแล้วเพราะไม่ค่อยมีทหารมาขวางเราอีก”


....“แล้วพวกคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างชาวเมืองโฮลี่โรดล่ะ” กิลลิสถาม


....“ชาวเมืองจะอพยพออกนอกเมืองทันทีที่เกิดภาวะสงคราม ดังนั้น จะมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตน้อยมากครับ” ชาลส์ตอบ


....“แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้บุกทันทีนะ” เกลาเทียพูดขัดขึ้น อวัยวะภายในของผมตีลังกากลับหลังทันที “เพราะตามกฎของการริเริ่มสงครามนั้น เราจะต้องทำการส่งทูตไปเจรจาประนีประนอมก่อน ถ้าหากว่าพวกเอล โดราโด้ไม่ยอมรับข้อตกลงจริงๆ ถึงตอนนั้นเราค่อยบุก ไม่ดีกว่าหรือ”


....“ไม่ต้องเสียเวลาไปคุยกับพวกรัฐบาลงี่เง่านั่นหรอก” รอยล์จากเมืองไทเดสพูดเสียงยานคาง ทุกคนหันไปมองทางเขา “มันดูโง่มากเลยนะที่จะคุยกับคนประเภทนั้น”


....“ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบอีตารอยล์เลย” ซินพูดเสียงดังพอให้ทุกคนได้ยินกันทั้งห้อง


....“เป้าหมายของเราไม่ใช่ทำลาย แต่เพื่ออิสรภาพต่างหากล่ะ” เกลาเทียลุกขึ้นยืน


....“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ!” รอยล์ลุกขึ้นอย่างแรงจนเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ล้มฟาดพื้นดังโครม “คิดแง่บวกไปหรือเปล่า คุณกาเลเทีย อย่าบอกนะ ว่าลืมไปแล้วว่าพวกมันทำกับเรายังไง”


....“ฉันไม่ลืมหรอก” กาเลเทียพูด “แต่เราทำสงครามครั้งนี้เพื่อยุติความคิดชั่วๆของเอล โดราโด้ ไม่ใช่ทำลายโฮลี่โรด”


.... “ตอแหล!” รอยล์พูดเสียงเข้มขึ้น “มองโลกด้านดีเกินไปหรือเปล่า คุณกาเลเทีย”


....“หยุดว่ากาเลเทียได้แล้ว” ผมรู้สึกฉุนกึกที่รอยล์พูดแย้งกาเลเทียอย่างไม่ลืมหูลืมตา


....“อย่าแส่ไม่เข้าเรื่องเลย ไอ้หัวเขียว!” รอยล์หันมาตะคอกก่อนจะผลักผมไปด้านหลังจนเซ เขามีพละกำลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ


....“นี่ โทษทีเถอะ” คราวนี้เมยาผู้ซึ่งปกติแล้วเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากๆลุกขึ้นยืน “หัดใช้วิจารณญาณหน่อยไม่ได้หรือไง ที่นายทำกับเฟย์กับกาเลเทียน่ะ ไม่เกินไปหน่อยรึไง”


....“เฮอะ!” รอยล์สบถ “อย่างเธอน่ะมันก็ดีแต่มองโลกสดใสเป็นฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นแหละ!”


....รอยล์ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปที่สุดมุมห้องทันที ทุกคนรีบหันไปมองที่ต้นเหตุ เมยาใช้พลังจิตของเธอทุ่มรอยล์ไปไกลสองเมตรกว่าๆ มือของเธอยังคงชี้ไปในตำแหน่งที่เธอเขวี้ยงรอยล์ออกไปเหมือนตุ๊กตาผ้า


....“ฝีมือไม่เบานี่” รอยล์พยายามยันตัวขึ้น


....“คุณทำให้ฉันไม่มีทางเลือก” เมยาพูดในขณะที่ยังกดรอยล์ให้ติดพื้นอยู่


....“แต่แค่นี้น่ะ ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!”


....รอยล์สะบัดตัวเองออกจากกระแสพลังจิตที่เมยาพันธนาการเขาเอาไว้ ก่อนจะวิ่งรี่ตรงมายังเมยา เด็กสาวผมม่วงขว้างไซบอล หรือลูกบอลพลังจิตใส่รอยล์เพื่อสกัดการโจมตี แต่รอยล์เร็วกว่ามาก ทันทีที่เขาประชิดตัวเธอ เมยาจึงทำได้เพียงใช้ชีลด์ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกรอยล์ชกจนเละ แต่สงครามย่อมๆครั้งนี้ก็จบลงทันทีที่ชาลส์เดินข้ามโต๊ะไปยืนขั้นกลางทั้งคู่


....“อย่าเทลาะกันเลยครับ พวกเดียวกันแท้ๆ” ด้วยแรงมหาศาล เขาก็ดันทั้งคู่ให้อยู่ห่างกันได้สามเมตร ทุกคนในห้องนิ่งเงียบ


....“ต...แต่ว่า---”


....“คุณรอยล์” ชาลส์หันไปจ้องหน้าของเขาตรงๆ


....ในที่สุด ความนิ่งของชาลส์ก็สยบความบ้าของรอยล์ได้


....“ก็ได้ ฉันผิด!” เขาพูดอย่างสะบัดสะบิ้ง ทั้งเขาและเมยากลับไปนั่งที่ แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตให้กันอยู่ ผมนึกดีใจที่เมยาออกรับตัวแทนกาเลเทีย เพราะขนาดเมยาที่มีพลังจิตมาก ยังแทบจะโดนต่อยจนปากแตกอยู่ร่อมร่อ


....“ครับ ผมเห็นด้วยกับคุณกาเลเทียที่ควรจะส่งผู้แทนไปเจรจากันก่อน” ชาลส์พูด(พร่ำ)ต่อไป “แต่ระหว่างนี้เราก็ไม่ควรนิ่งนอนใจไป เพราะผมคิดว่าเอล โดราโด้ ยังไงเขาก็คงไม่ยอมใช้วิธีสันติภาพแน่นอน เราควรจะฝึกใช้พลังที่เรามีให้เกิดประโยชน์ที่สุด”


....ทุกคนในห้องเงียบ อาจจะเป็นเพราะเราตามแผนของชาลส์ไม่ทัน


....“ผมหมายความว่า เราจะฝึกพวกคุณให้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญในสงครามให้ได้ครับ”


....เกิดเสียงพึมพำไปทั่วห้องทรงโดม ชาลส์มองทุกคนอย่างไม่แน่ใจ


....“ถ้าพวกคุณไม่ต้องการร่วมสงครามครั้งนี้---ผมเข้าใจครับ”


....เงียบกันไปชั่วขณะ ก่อนที่อีวานส์จะลุกขึ้น


....“ชาลส์ ฉันจะสู้ข้างนาย” อีวานส์พูดท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน “พวกนายล่ะ จะเอาไง”


....“งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ” ผมพูด อีวานส์ดูช็อคที่ผมพูดอย่างนั้น ความจริงแล้วผมก็แค่ตังใจจะแหย่เขาเท่านั้น “ถ้านายคิดจะสู้ ฉันจะสู้ข้างนาย”


....อีวานส์ดูโล่งอก เขาเดินมาตบบ่าผม คนอื่นๆในห้องก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วย หน้าของชาลส์ดูเหมือนได้รางวัลล็อตเตอรี่ที่หนึ่งเลยทีเดียว


....“ถ้าอย่างนั้น เชิญทุกคนไปพักผ่อน เชิญพบกันที่นี่เวลาสิบโมงเช้าที่นี่นะครับ ส่วนผมจะจัดการเรื่องผู้เจรจาให้เรียบร้อย”




________________________________________________________





....ผมเดินออกมาจากห้องประชุมอย่างเหนื่อยๆ การฟังชาลส์ เนธานบรรยายเรื่องยุทธศาสตร์การรบไม่ใช่รสนิยมของผม ผิดกับเจ้าหนูทิมที่นั่งฟังตาแป๋ว ในขณะที่ผมตาเกือบจะปิดอยู่แล้ว


....“นี่ นาย---เฟย์ใช่ไหม” เสียงใสๆเรียกชื่อผมจากด้านหลัง ผมหันไปมอง แล้วก็รู้สึกเหมือนในท้องมีนกฮัมมิ่งเบิร์ดทั้งฝูงบินอยู่ทันที


....“ค..ครับ” ผมหันไปตอบตะกุกตะกักกับกาเลเทีย


....“ขอบใจนะ” เธอยิ้ม


....“เรื่องไหนหรือครับ” ผมถาม พยายามไม่ให้หน้าแดง


....“ที่พูดกับรอยล์ไปอย่างนั้นน่ะ” กาเลเทียบอก เธอคงหมายถึงตอนที่ผมบอกกับเด็กหนุ่มผิวสีเข้มคนนั้นไปว่า ‘หยุดว่ากาเลเทียได้แล้ว’


....“อ๋อ---ทำตามหน้าที่ลูกผู้ชายน่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ เอามือเกาผมอย่าเลิ่กลั่ก


....“คงได้เจอกันอีกนะพรุ่งนี้”


....“ครับ”


....ผมโบกมือให้เธอก่อนจะเดินออกไปทางแผ่นกระจกที่จะพาไปยังชั้นอื่นๆ รู้สึกซาบซ่านดีเหลือเกินที่ได้คุยกับกาเลเทีย ไม่เคยมีใครคุยกับผมแบบเปิดอกมานานแล้ว


....ตอนที่ผมจะขึ้นแผ่นกระจกไปสมทบกับคนอื่น ผมก็พบอีวานส์ยืนโก้ขวางทางเข้าแผ่นกระจกอยู่


....ตัวขวางความเจริญจริงๆ ผมคิด


....“หลบไป” ผมออกคำสั่งกับเพื่อนตัวแสบ


....“ไม่” เขายักคิ้วให้ “จนกว่านายจะบอกฉันว่านายคุยอะไรกับคุณกาเลเทียเมื่อกี๊”


....“อย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมบอก”


....“ไม่อย่างนั้น ไอ้นี่ถึงตาทุกคนแน่” อีวานส์ชูสิ่งที่ดูคล้ายๆกับปากกาสีเงิน ผมถึงกับช็อค มันคือกล้องมินิเคม หรือกล้องพกพาซึ่งใช้อัดวิดีโอได้ เพียงแค่กดปุ่มแล้วหันตัวกล้องไปยังเหตุการณ์ที่ต้องการถ่าย มันก็จะบันทึกวิดีโอให้เรา หากต้องการฉายวิดีโอ แค่หมุนฝาที่ดูเหมือนที่ครอบออก ภาพเหตุการณ์ที่บันทึกล่าสุดก็จะฉายขึ้นกลางอากาศ คล้ายกับกำไลสื่อสารของชาลส์ที่ใช้ติดต่อกับเจ้าพนักงานก็อด เอเดนคนอื่นๆ


....“นายได้ไอ้นั่นมาจากไหนน่ะ” ผมพยักพเยิดไปทางกล้องมินิเคมอันจิ๋วที่อีวานส์ถืออยู่


....“ขโมยมา” เขาตอบหน้าตาเฉย “จะบอกหรือไม่บอกว่าคุยอะไรกัน”


....“ไม่”


....“งั้น ก็เตรียมเป็นพระเอกหนังโรแมนติกได้เลย พ่อหนุ่มนักรัก”


...."ไม่ๆๆ อย่าเชียวนะ!” ผมตะโกนลั่นและพยายามแย่งกล้องมาจากอีวานส์


....ในที่สุดผมก็ต้องยอมเล่าเรื่องที่คุยกับกาเลเทียให้อีวานส์ฟังจนหมดเปลือก ความจริงมันก็ไม่ค่อยมีสาระอะไรหรอก แต่ทันทีที่เล่าจบอีวานส์ก็หัวเราะจนตัวงอ เขาหายใจหอบ พยายามเกาะราวเงินบนแท่นกระจก้พื่อพยุงตัวในขณะที่เขากำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แต่แล้วมือของเขาก็ไปโดนปุ่มหมายเลข 1 เข้า ทำให้กระจกอันนั้นกระชากตัวเองไปตามคำสั่งบนแผงควบคุม กระชากอีวานส์จากชั้นสามสิบสองไปยังชั้นหนึ่งทันที


....“สมน้ำหน้า!” ผมตะโกนไล่หลังเขาไป




________________________________________________________





....ในที่สุด อีวานส์ก็ยอมลบวิดีโอตามคำสั่งของผม และพาผมไปยังห้องพักโดยดี เขายังพะอืดพะอมอยู่หลังจากที่เกือบจะหลังหักจากการขึ้นลิฟต์มหาโหดตัวนั้น


....ห้องพักของผมอยู่ที่ชั้นสิบห้า เป็นห้องชุดรวมซึ่งนอนรวมกันได้สิบคน ผมใช้นิ้วมือแตะตรงรอยเลื่อนของประตู มันเลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติทันที


....ห้องชุดนี้ดูเหมือนจะใหญ่เท่าห้องพักเดิมที่โฮลี่โรดแปดห้องมารวมกัน ห้องแรกที่มาถึงคือห้องนั่งเล่น มีโซฟาสีเขียวตัวยาวที่นั่งได้หลายๆคน โต๊ะแก้วซึ่งวางรีโมตคอนโทรลสีขาวสามอันและแจกันใส่ดอกไม้สีแดง หน้าห้องเป็นผนังว่างซึ่งทำหน้าที่เป็นโทรทัศน์ทันทีที่เปิดโปรเจคเตอร์ เพื่อนๆของผม---รวมทั้งดร.เคน นอนเหมือนตายอยู่บนโซฟา คงจะเหนื่อยกันมาก ทางด้านอีวานส์ทันทีที่มาถึงเก้าอี้ยาว เขาก็เอนตัวแล้วก็นอนหลับไปทันทีเหมือนตายไปแล้ว ด้านขวาของห้องเป็นกระจกทั้งบ้าน มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวแขวนบังแดดเอาไว้ ที่พื้นปูด้วยพรมทำจากขนสัตว์สีดำ พื้นส่วนที่ไม่ถูกปูทับด้วยพรมเป็นกระเบื้องสีขาว
ที่มุมห้องมีประตูอัตโนมัติอยู่ ผมเดินเข้าไปสำรวจดูว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็พบว่ามีห้องนอนแปดห้องตั้งอยู่เป็นวงกลม มีกระดาษลายมือดร.เคนแปะไว้เหนือประตูว่าห้องไหนเป็นของใคร ผมไล่อ่านชื่อ --- ทิม, แกโร,เมยา,กิลลิส,เรย์ซ่า,เฮอร์ลี่,อีวานส์ และ เฟย์ ผมเดินผ่านประตูเลื่อนไปยังห้องมุมสุดซึ่งเป็นห้องของผม


....ห้องของผมประกอบด้วยห้องนอน ห้องแต่งตัวและห้องน้ำ มีประตูเชื่อมแต่ละห้อง ในห้องนอนมีเตียงสไตล์โมเดิร์นที่มีแผงควบคุมแบบในโฮลี่โรด เพียงแต่ว่าสบายกว่ามาก ที่มุมห้องมีนาฬิกาข้อมือสื่อสาร สลักชื่อรอบๆแถบเงินไว้ว่า ‘FEI’ แถบเงินด้านขวามีปุ่มสีดำเล็กๆ ผมลองกดดูก็พบว่าเป็นแป้นตัวอักษรที่ติดตั้งไว้เพื่อเลือกคนที่เราต้องการจะคุยด้วย


....ในห้องแต่งตัวของผมมีกระจกบานยาวที่เห็นตั้งแต่หัวจรดเท้า ในตู้เสื้อผ้าเล็กๆมีเสื้อมากมายที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งแต่เด็ก ผมก็ใส่แต่ชุดหมีสีขาวของเด็กเซคันด์สเตจเท่านั้น ทุกๆวัน ทำให้รู้สึกเบื่ออย่างมาก


....ส่วนในห้องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึงความวินิสมาหราของมัน ตู้อาบน้ำที่มีกระจกเป็นแนวโค้ง บนหน้าปัดมีคำสั่งอยู่เป็นร้อยอย่างจนผมแน่ใจว่าต้องใช้เวลาแปดเดือนกว่าจะกดทุกปุ่ม
ได้ ด้านข้างเป็นอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีขาวพร้อมด้วยก๊อกอัตโนมัติ ตรงเพดานมีหลอดไฟซึ่งทอแสงสีทองไปทั่วห้อง ไม่เหมือนห้องน้ำที่โฮลี่โรด ที่นั่นมีแค่ตู้เล็กๆที่มีน้ำเย็นเฉียบ โถส้วม และหลอดไฟที่มีแมงมุมชักใยอยู่เท่านั้น
เนื่องจากเพื่อนๆของผมยังนอนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมจึงลองเข้าไปสำรวจและพบว่าห้องนอนของแต่ละคนแตกต่างกันออกไปตามรสนิยมของคนที่พักอ
ยู่ ของดร.เคนดูเหมือนเป็นห้องสมุดที่มีเตียงนอนอยู่กลางห้อง ห้องของอีวานส์ดูเหมือนอยู่ในนรกเพราะทุกอย่างในห้องรวมทั้งแสงไฟเป็นสีแดงแสบตา ห้องของเรย์ซ่าเหมือนอยู่ในเรือนกระจก เถาไอวี่พันรอบเตียงทรงกลม ห้องของกิลลิสดูคล้ายคลึงกับห้องของผมมากที่สุด ต่างกันแค่ตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่อยู่ในห้อง ห้องซึ่งดูไม่ใช่ห้องของแกโร ดูเหมือนกับจะเป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีทะเลสาบเล็กๆ คงเป็นเพราะว่าเขามีอุปนิสัยเหมือนม้าตั้งแต่การตัดต่อพันธุกรรมที่ผิดพลาดครั้งก่อน และสิ่งที่ทำให้ผมรีบวิ่งกลับไปยังห้องนั่งเล่น คือเมื่อผมเกือบจะสำลักตายเมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำของเมยา ซึ่งเป็นอ่างหินบรรจุน้ำไว้เต็มซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆกับสระว่ายน้ำ สิ่งที่ผมไม่สามารถอธิบายได้คือ ทำไมตามมุมของห้องต้องมีโถกำยานที่ปล่อยควันหนาเตอะกลิ่นหอมเอียนๆจนเหม็นทำให้มองอะ
ไรไม่เห็นไปชั่วขณะ


....ผมเดินโซซัดโซเซออกมา ก่อนจะทิ้งตัวบนโซฟาสีเขียวข้างๆอีวานส์ ก่อนจะนอนหลับไปหลังจากวันที่ยาวนาน ความคิดสุดท้ายของผมคือ ดีแค่ไหนที่หนีออกมาจากเงื้อมมือของเอล โดราโด้ได้


....คงอีกไม่นานแล้วล่ะ ที่ผมจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้เสียที





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

กลับมาจากการสาดน้ำสงกรานต์ พึ่งมาลง ตอนนี้เขียนยาวเหยียด (ชดเชย)
เป็นฉากที่สองที่มีการบู้ แต่อันนี้ทำนองมีนิ ฮ่าๆ
จะลงอีกที่เมื่อไหร่ยังไม่ได้คิดเลย แต่ก็คงเร็วๆนี้แหละ

ช่วยกันเม้นแอนด์กดดาวด้วยนะคะ ^^


ps. มีรูปเมยาสู้กับรอยล์ให้ดูด้วย ><













แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 3 2013, 10:30 AM
โพสต์ #11


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 9
The Training






....ผมถ่มเลือดผสมน้ำลายลงบนพื้นปูนหลังจากที่โดนแท๊กส์ มิเกล ครูฝึก --- หรือคู่ซ้อม อัดจนสะบักสะบอมเป็นรอบที่สิบห้าของวัน

....“ตั้งใจหน่อยสิ เฟย์ ลูน” เขาพูดเสียงหนักแน่น

....“ค..ครับ” ผมยันตัวขึ้นยืนอีกครั้ง ใช้มือนวดชายโครง

....“ลองใหม่ นายยังเร็วไม่พอ”

....“ครับ!”


....ผมกับเด็กเซคันด์สเตจคนอื่นๆเข้ารับการฝึก เพื่อเข้าร่วมกองกำลังของก็อด เอเดน ผมไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือไม่ เพราะแค่วันแรกของการฝึกก็เล่นเอาผมเกือบตายก่อนจะเข้าสงครามอีก
การฝึกไม่ได้หนักอะไรเลย --- เริ่มวอร์มตอนตีสี่ครึ่ง – วิ่งรอบเมืองก็อด เอเดนสองรอบ โดยห้ามใช้พลังแวคุ่มน์สปีด ต่อด้วยยืดเส้นยืดสายตอนหกโมงตรง – ทำท่ายิมนาสติกทั้งหลายที่ผมเกลียดเข้ากระดูก หลังจากวอร์มเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งกินเวลาไปสี่ชั่วโมง) ก็จะเริ่มการฝึกรวม ทั้งวิดพื้น ลุกนั่ง ซิดอัพ ยกน้ำหนัก กระโดดข้ามรั้ว ทุ่มน้ำหนัก จนถึงเวลาเก้าโมงเช้า ก็จะเป็นการฝึกการต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธซึ่งผมฝึกอยู่ตอนนี้


....แท๊กส์ลงความเห็นว่าความสามารถในการต่อสู้มือเปล่าของผม “ชีช้ำกะหล่ำปลี” เพราะทุกครั้งที่ผมพยายามจะเหวี่ยงหมัดใส่หน้าของเขา เขาก็สามารถสวนหัดอัพเปอร์คัตใส่ท้องของผม และก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ผมก็ลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว


....“อย่าใช้แต่มือ! ใช้ขากับเท้าด้วย!” แท๊กส์ตะโกน


....ผมพยามใช้เท้าเตะเข้าก้านคอขอแท๊กส์ --- ผลที่ตามมาก็คือ เขาคว้าขาของผมเอาไว้ และบิดเกลียวสว่านและทุ่มผมลงไปบนพื้นเป็นรอบที่สิบหก

....“ไปซ้อมมา พรุ่งนี้นายต้องทำให้ฉันช้ำให้ได้เป็นอย่างน้อย!” เขาสั่ง ก่อนจะเดินออกไป


....สัญญาณออดบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที --- พักกลางวัน --- เวลาที่ผมรอคอยที่สุด ผมรีบถอดนวม สนับเข่า และรีบรุดไปยังโรงอาหารทันที


....ผมเดินผ่านโต๊ะยาวหลายแถว ไปยังโต๊ะอาหารหมายเลข 7 แล้วนั่งรอบนม้ายาวสีขาว นึกกลัวว่าต้องนั่งกับรอยล์หรือใครบางคนที่ไม่เป็นมิตร เพราะผมไม่รู้ว่าตอนที่ได้รับหมายเลขโต๊ะอาหาร ใครได้รับหมายเลขอะไรมาก และผมก็ไม่ผิดหวัง เพียงแค่ห้านาทีต่อมา คนอื่นๆก็ตามมานั่งจนเต็มโต๊ะอาหาร ยกเว้นเมยากับกิลลิส


....“สองตัวนั่นไปไหนน่ะ” ผมถามหาเมยาและกิลลิส


....เรย์ซ่า --- ซึ่งตอนนี้หน้าดูบวมเป่งยับเยินอย่างไม่น่าเชื่อ พยักเพยิดไปทางข้างหลัง --- โต๊ะหมายเลข 15


....กิลลิสและเมยาทำตัวเหมือนคู่แต่งงานที่มาฮันนีมูนกัน โดยไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย


....“อีกสามวันคงประกาศหมั้นกัน” แกโรเกาหัว เขามีรอยช้ำใหญ่ๆตรงหน้าอก และตาข้างซ้ายเหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้าได้ตลอดเวลา



....เมื่อโต๊ะตัวยาวเต็มแล้ว พื้นกลางโต๊ะก็เปิดออก และเลื่อนโต๊ะด้านล่างขึ้นมา อาหารทุกชนิด โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และข้าวกองสูงเป็นภูเขาย่อมๆจนผมแน่ใจว่าต้องใช้เวลาหกชั่วโมงกว่
าจะรับประทานอาหารพวกนี้หมด
“สวรรค์ชัดๆ” อีวานส์คว้าน่องไก่แล้วสวาปามอย่างรวดเร็ว


....ผมลองเล็มๆเนื้อของสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อกลืนคำแรกลงท้อง ความรู้สึกอบอุ่นและกำลังวังชาก็ไหลเข้าสู่เส้นเลือดเหมือนสายน้ำเกลือ ดังนั้น ผมจึงเขมือบทุกอย่างบนโต๊ะแบบไม่เลือกหน้า ความเจ็บปวดที่มาจากการฝึกซ้อมแบบวิบากดูเหมือนจะลดทอนลงไปด้วย

....“กินไปให้หมดนี่ละ ตอนบ่ายต้องฝึกภาคสนามต่อ” แกโรพูดอย่างหดหู่


....การ “ฝึกภาคบ่าย” เริ่มหลังจากมื้อกลางวันหนึ่งชั่วโมง เป็นการฝึกกลางแจ้ง ทั้งการฝึกใช้อาวุธ การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมไปถึงการจำลองสถานการณ์รบ ซึ่งแค่ฐานประกอบปืนไรเฟิลก็เล่นเอาผมน่วมแล้ว กฎเหล็กของที่นี่คือ


1.ห้ามใช้พลังจิต หรือความสามมารถพิเศษที่ได้จากการตัดต่อพันธุกรรมทุกชนิด
2.หากเข้าร่วมการฝึกแล้ว ไม่สามารถถอนตัวได้กลางคัน
3.ห้ามทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมฝึกในโครงการท่านอื่น หรือเจ้าหน้าที่
4.หากเสียชีวิตระหว่างการฝึก จะส่งศพกลับตามที่อยู่ซึ่งระบุไว้ในแบบฟอร์มลงสมัครเป็นทหาร



....กฎข้อที่ 4 เป็นกฎที่สยองขวัญที่สุดสำหรับผม แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังอยู่ในคุกที่เมืองโฮลี่โรด ผมพร้อมจะตายทันทีและจะยินดีมาก แต่ในตอนนี้ เมื่อผมมีเสรีเต็มที่ ความรักตัวกลัวตายก็ดูเหมือนจะเข้ามามีอิทธิพลทันที


....ในตอนนั้นเอง ผมก็นึกอยากกระทืบอีวานส์ให้ตายเพราะแค่การฝึกวันแรกก็ทำเอาซี่โครงของผมเดาะไปสองซี
่เป็นที่เรียบร้อย


....ผมพยายามปัดเรื่องที่เคยมีคนตายระหว่างการฝึกเข้าร่วมเป็นทหารออกไปจากหัว พยายามตั้งสมาธิอยู่กับตึกบล็อกจำลองเมืองโฮลี่โรด เบื้องหลังตึกอาจจะเป็นไปได้ทั้งกองโจรที่ลอบซุ่ม หรืออุปกรณ์จู่โจมอัตโนมัติที่อยู่เหนือหัว คนข้างๆที่ต้องเข้าฝึกฐานเดียวกับผมก็คงจะคิดแบบเดียวกับผมคือ อยากให้การฝึกจบไปเร็วๆ เพราะผมแทบได้ยินหัวใจของเพื่อนที่เข้าร่วมฝึกฐานเดียวกันเต้นรัวๆและเสียงหายใจหนัก
กระชั้น


....“มาแล้ว!” เสียงของนายพลคริงเกิล หัวหน้าประจำหน่วยกองผล 3.0 ตะโกนบอก ทุกคนเล็งปืน หันหลังชนกัน


....แหตาข่ายผืนใหญ่เท่าอ่างอาบน้ำของเมยาทื้งตัวลงจากเบื้องบน บังคับให้ทุกคนต้องรีบผละออกจากกัน และวิ่งหลบเข้าไปในช่องอาคาร ผมรีบวิ่งต่อไปแม้จะรู้สึกเจ็บเสียดตรงชายโครง


....“คำสั่งร่วม 03!” เสียงของคริงเกิลดังมาจากอาคารที่อยู่ห่างไปสองช่วงอาคาร


....ในการออกคำสั่ง เพื่อไม่ให้ข้าศึกรู้ได้ว่าคำสั่งนั้นจะนำไปสู่กระบวนท่าอะไร จึงมีการใช้รหัสแทนคำสั่งต่างๆ เช่น คำสั่งร่วม 03 คือการออกคำสั่งให้ทุกคนในหน่วยกลับมารวมกันยังจุดเดิม หรือคำสั่งรัว 02 คือการสั่งแยกกองชั่วคราวในกรณีถูกตีวงโอบ

....“หนูตาบอดเต้นรำ!”

....ผมรีบทำตาม คือยิงรัว ทำลายเครื่องจู่โจมอัตโนมัติในอาณาบริเวณจนหมด บางครั้งคำสั่งก็เป็นคำตลกๆ เช่น น่ารัก หรือ พุ่มน้ำตาล แต่ก็ทำให้รู้สึกดีที่อย่างน้อยนายพลอย่างคริงเกิลก็ยังมีอารมณ์ขันคิดหารหัสแปลกๆพว
กนี้ได้

....“คำสั่งพุ่ง 07”

....พวกเราวิ่งเกาะกลุ่มเป็นรูปสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน กระบวนท่านี้เรียกว่า โอเมก้าแอทแทค เป็นการรวมทหารที่เก่งๆไว้ตรงกลางและให้คนที่วิ่งเร็วถืออาวุธคุ้มกันอยู่ด้านนอก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะทำไม ผมถึงต้องเป็นผู้คุ้มกัน --- แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้มีเรื่องให้คิดมากกว่านั้น เพราะหุ่นยนต์ยักษ์แบบเดียวกับที่ผมเคยเห็นในโฮลี่โรด ซึ่งปรากฏตัวตอนไหนก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆตอนนี้คือ พวกเราถูกจับไว้ในวงล้อมแล้ว

....“โซนขยายเขต!”

....คนที่อยู่ในวงรีบวิ่งวนกันอย่างรวดเร็ว เซนเซอร์ของหุ่นยนต์ไม่เร็วพอที่จะจับตายิงพวกเราได้ทุกคนทัน เป็นโชคดีที่หุ่นยนต์แบบนี้ยังพัฒนาได้ดีไม่เท่าของก็อด อีเดน

....“ตอนนี้แหละ!”

....ท่ามกลางความโกลาหลอลหม่านนั้น ทหารคนสำคัญซึ่งเมื่อครู้อยู่ท่ามกลางวงล้อมรีบพุ่งตัวออกมา ตอนนี้กระบวนทัพเป็นเหมือนวงกลมสามวงซ้อนกัน วงนอกคือทหารแนวหน้า วงกลางคือหุ่นยนต์ วงในสุดคือทหารที่มาฝึกใหม่อย่างผม พวกเราได้ทำการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี จุดอ่อนของหุ่นยยนต์กองทหารราบของโฮลี่โรดคือด้านหลัง นั่นเป็นจุดที่ปลอดเซนเซอร์ ทำให้พวกเราได้เปรียบ และในชั่วพริบตาเราก็ผ่านการป้องกันทหารเกราะกลวงไปได้ --- ถ้าหากว่าโฮลี่โรดไม่ได้ดัดแปลงหุ่นยนต์พิเศษที่มีเซนเซอร์สามร้อยหกสิบองศา แผนกระบวนท่าโซนขยายเขตจะได้ผลดีมาก

....“คำสั่งพุ่ง 07” พวกเรากลับเข้าสู่กระบวนท่าเดิม

....เราเลี้ยวที่หัวมุมอีกครั้ง เจอกับดักแผ่นดินแยก แต่เราข้ามมาได้ทันก่อนจึงไม่มีอะไรเสียหาย

....“คอยระวังด้วย” คริงเกิลตะโกนสั่ง


....ในตอนนั้นเองที่เกิดไฟคล้ายเพลิงปีศาจลุกโหมเข้ามาจากถนนทุกด้าน ใจของผมตกลงไปที่ตาตุ่ม นึกถึงกฎข้อที่ 4 กลั้นใจรับความร้อนที่จะมาถึงตัวในอีกสามวินาที ---


....โลกเหมือนจะพลิกตะแคง และพวกเราทุกคนก็ร่วงลงมากองอยู่บนพื้น ผมหอบฮั่ก เอามือกุมซี่โครงที่ปวดระบม คนอื่นๆดูเหมือนจะมีสภาพไม่ต่างกัน

....“พรุ่งนี้เราจะซ้อมกันใหม่” นายพลคริงเกิลประกาศ “ฉันได้ส่งลิ้งค์รายการฝึกซ้อมวันพรุ่งนี้ไปให้ในข้อมือสื่อสารของพวกเธอแล้ว เลิกได้!”

....พวกเรายืนวันทยาวุธ ถอดหมวกเกราะและปืนกลคืนที่ ก่อนจะแยกย้ายกลับห้องพัก


....นี่ถ้าวันแรกยังเป็นขนาดนี้นะ!





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

ทั้งอาทิตย์นี้ไม่ว่างเลย เรียนอย่างเดียว เพิ่งจะได้มาลงวันนี้แหละ TT
ตอนนี้มีเนื้อหาบางส่วนได้ไอเดียมาจาก The Hunger Games ; Mockingjay ตอนที่แคตนิสฝึก
มีคนถามว่าตอนที่ 10 (The Result) จะลงเมื่อไหร่ก็ขอประกาศ ณ ที่นี้นะคะ

จะมาลงเมื่อว่างค่า ไม่ได้ดองนะเจ้าค่า ><






แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 4 2013, 12:13 PM
โพสต์ #12


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 10
The Results






....สิ่งอัศจรรย์ค่อยๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของผมตั้งแต่ที่เริ่มฝึกเป็นหน่วยจู่โจมมาได้เป็นเวลาสามวัน --- เหมือนเป็นสิ่งที่8omujoujเรียกว่า “การพัฒนาการ”


....มันเริ่มขึ้นช้าๆ --- ก่อนจะเริ่มปรากฏตัวเป็นรูปร่างให้เห็นวันต่อมา --- ผมวิ่งได้ไกลขึ้นทุกวัน ต่อสู้ด้วยมือเปล่าจนสามารถล้มแท็กส์ได้ ฝึกการใช้อาวุธต่างๆจนชำนาญ ประกอบปืนไรเฟิลเสร็จในยี่สิบวินาที และปฏิบัติภารกิจจำลองสำเร็จเป็นครั้งแรกในสัปดาห์


....ในเช้าของสัปดาห์ที่สองที่ผมมาอยู่ที่ก็อด อีเดน ข่าวการเจรจาสันติภาพก็มาถึง ผลเป็นไปตามที่ทุกคนคาด --- เอล โดราโด้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะยังคงตั้งตัวเป็นศัตรูกับก็อด อีเดน เหมือนเดิม ชาลส์ได้ถ่ายทอดผลการเจรจาในห้องอาหารเช้า --- ทุกคนต้องดู

....“...แถมสายสืบของเราที่อยู่ในกองทัพของโฮลี่โรดยังถูกจับได้ ตอนนี้ยังถูกทรมาณอยู่เลยครับ” หัวหน้าคณะผู้เจรจาสันติภาพกล่าวรายงานให้ชาลส์ เนธานฟัง

....“นั่นเป็นข่าวร้าย...” เนธานพึมพำ

....“ทุกท่านครับ” เขาหันมาทางจอที่ถ่ายทอดมายังห้องอาหาร “ถึงตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะออมมือกันแล้ว --- เพราะฉะนั้น ขอให้นายพลทุกท่าน จัดการตามแผนทริปเปิลแดช เดี๋ยวนี้เลยครับ” หน้าจอเลือนหายไป

....ในห้องอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์

....“ทริปเปิลแดชงั้นเหรอ”

....“อะไรเนี่ย”

....“สงสัยคงจะเป็นแผนบุกสามต่อมั๊ง”



....ท่ามกลางเสียงคุยฟังไม่ได้ศัพท์นั้น หน้าจอแอนดรอยด์ก็ปรากฏขึ้นมาบนเพดานที่ส่ว่างไสวของห้องอาหารอีกครั้ง พลเอกคริงเกิล หัวหน้าหน่วยทหารจู่โจมก็ประกาศท่ามกลางความงุนงงของทุกคน

....“พลทหารฝึกหัดทุกคน” เขาพูดด้วยเสียงสุขุมฟังชัดเหมือนปกติ “เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ฉันจะทำการแบ่งสายงานของพวกเธอเป็นสามหน่วยใหญ่ คือ อัลฟา เบต้า และแกมม่า --- โปรดอยู่ในความสงบ!” เขาตะโกนเมื่องคนในห้องอาหารเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง “ฉันได้ส่งข้อมูลหน่วยที่พวกนายทุกคนจะต้องเข้าร่วมสังกัดด้วยไว้ในข้อมือสื่อสารแล้ว --- หน่วยอัลฟา ให้ไปรายงานตัว ณ ห้องใต้ดิน --- หน่วยเบต้า ไปรายงานตัวที่ลานกลางแจ้ง --- และหน่วยแกมม่า ไปพบกันบนหอสังเกตการณ์ก็อด อีเดน”
หน้าจอเลือนหายไปอีกครั้ง ทุกคนรีบก้มดูข้อมือสื่อสารทันที มีแสงกระพริบบนกำไลข้อมือสื่อสารของผม ผมจึงกดเปิด หน้าจอฉายขึ้นเหนือข้อมือ


FEI LUNE

GAMMA


[ASSIGMENT POINT AT SKY TOWER]



....“ฉันอยู่หน่วยแกมม่าล่ะ” ผมปิดข้อมือสื่อสาร ก่อนจะหันไปดูหน่วยสังกัดของแต่ละคน

....แกโรและทิมอยู่หน่วยอัลฟา เมยา กิลลิสและเรย์ซ่าอยู่หน่วยเบต้า ผมใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่ออีวานส์อยู่หน่วยแกมม่าเหมือนกัน

....“แล้วเจอกันนะ” ผมและอีวานส์ลุกออกจากโต๊ะ มุ่งหน้าไปยังหอสังเกตการณ์ก็อด อีเดน




________________________________________________________




....ฉันเดินช้าๆไปตามอุโมงค์ใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน --- จะเจรจายังไงก็ไม่เป็นผลหรอก ก็อด อีเดนหน้าโง่ทั้งหลาย

....ประตูกลเลื่อนออกทันทีที่ฉันก้าวมาถึง นี่คืออาวุธที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ของโฮลี่โรด... ไม่สิ ของฉันต่างหาก

....“วันทยาวุธให้ท่านเคจ ลาเรน!” หัวหน้าช่างกลตะโกน หุ่นยนต์รับใช้และเจ้าหน้าที่หน่วยอาวุธค้อมตัวจนหัวแทบแตะพื้น

....“เหลวไหล พอได้แล้ว” ฉันพูดอย่างเบื่อหน่าย

....“ขออภัย กระผมแค่ต้องการให้ท่านรู้ว่าเรายินดีช่วยท่านทุกเมื่อ...”

....“พอเถอะ” ฉันพูดอย่างนึกรำคาญ


....ในห้องแล็บลับเป็นที่แห่งเดียวซึ่งชัยชนะของฉันเป็นที่แน่นอน หน่วยไร้เทียมทานผลิตขึ้นที่นี่


....“รายงานความก้าวหน้า” ฉันพูดขณะทอดสายตาไปยังหุ่นยนต์รูปร่างเท่าชายฉกรรจ์ในครอบแก้วขนาดใหญ่ มีสายไฟหลากสีเชื่อมต่ออยู่กับปลั๊ก

....“ขณะนี้กระบวนการผลิตของเราดำเนินไปได้ 78% แล้วขอรับ ท่านลาเรน” หัวหน้าหน่วยตอบอย่างประจบประแจง สร้างความรำคาญแก่ฉันถึงขั้นเกิดความอดกลั้นของหญิงอารมณ์ร้อนอย่างฉัน

....เพี๊ยะ…!

....“ฝีมือแกมันกระจอกมากใช่ไหม! ตอบฉันมา ยิกซ์!” ฉันตวาดใส่หัวหน้าแผนกอาวุธซึ่งเอามือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยการทำงานหนักกุมใบหน้าซึ่
งฉันฟาดฝ่ามือใส่ด้วยความโมโห

....“กระผมขออภัยครับ ท่านลาเรน” เขากระเสือกระสนก้มลงแทบเท้าของฉัน

....“ทุกอย่างต้องเสร็จสมบูรณ์ในวันนี้ เข้าใจไหม” ฉันพูดอย่างวางอำนาจ

....“ท่านหมายถึง หน่วยเพอร์เฟ็คต์ คาสเคดหรือขอรับ?” เขาถามแสดงความโง่

....“ใช่ไง เจ้าทึ่ม! เพอร์เฟ็คต์ คาสเคด!” ฉันพูดอย่างมีโมโห “ไปจัดการงานของพวกแกได้แล้ว!” ฉันพูดพลางเดินออกจากห้องและบรรดาเบี้ยล่างที่หมอบอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นในแผนกผลิตอาวุธ

เพอร์เฟ็คต์ คาสเคด...แค่มีหน่วยนี้ แผนการครองโลกของข้าก็จะเสร็จสมบูรณ์




________________________________________________________




....“ถึงแล้วล่ะ” ผมและอีวานส์หอบจนแทบจะเป็นลม


....หอคอยสังเกตการ์อยู่ห่างจากอาคารหลักของก็อด อีเดนราวสามกิโลเมตร ที่นี่ไม่มีลิฟต์แบบในอาคารที่ทำการของชาลส์ เนธาน พวกเราจึงต้องวิ่งขึ้นบันไดมาราวห้าร้อยหกสิบขั้น


....ผมกวาดตามองรอบๆ หอสังเกตุการณ์เป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมืองก็อด อีเดน ชั้นบนสุดซึ่งผมยืนอยู่ตอนนี้เหมือนเป็นอาคารโล่งๆ ที่มุมลานสังเกตุการณ์มีคล้ายๆกล้องส่องทางไกลขนาดมหึมาตั้งรอใช้งานอยู่ ตรงกลางพื้นที่ก่อด้วยหินสีเหลืองอ่อนซึ่งผมไม่รู้จัก เป็นรอยแตกซึ่งผมเดาได้ไม่ยากว่านี่คือบันไดกลซึ่งจะพาเราไปยังห้องลับ --- นอกจากสองสิ่งนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว


....มีคนในสังกัดนี้น้อยมาก เพียงยี่สิบคนเท่านั้น เกือบทุกคน ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ยกเว้นแต่เด็กชายร่างสูง ผมยาว รูปร่างสันทัด มีกล้ามเป็นมัดๆซึ่งผมเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนที่เริ่มฝึกวันแรก และคนที่ผมอยากเจอหน้ามากที่สุด---กาเลเทีย เธอยิ้มมาให้ผมซึ่งส่งยิ้มเก้ๆกังๆไปให้ แต่ใจของผมก็สลายทันทีเมื่อเด็กหนุ่มร่างกำยำคนนั้นจับมือบอบบางของกาเลเทียเอาไว้

....“พี่เซธ!” กาเลเทียพูดก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

....“อย่าไปมองไอ้หัวเขียวนั่น เกล มันเหมือนจะหลีแกอยู่”

....“เซธ?ใครเหรอ” ผมพูดงงๆ

....“อ้อ นี่เซธ --- พี่ชายของฉันเอง” กาเลเทียแนะนำตัว เมื่อผมพิจรณารูปร่างหน้าตาของเขา ผมจึงเห็นความคล้ายคลึงของทั้นคู่

....เซธมีผมสีเหลืองทอง ผิวสีขาว และตาสีฟ้าใสแบบเดียวกับกาเลเทีย แต่นิสัยของเขาดูต่างสุดขั้วกับกาเลเทีย เห็นได้ชัดจากดวงตาที่จ้องมายังผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อให้ตายกันไปข้างนึง

....“แก!”

....“ครับ?”

....“อย่ามาหลีน้องของฉัน!” เขาพูดก่อนจะเดินไปอีกฟากหนึ่ง

....“พี่ชายฉันน่ะ เขาออกมาจากกรีซหลังจากที่ฉันแหกคุกออกมาได้” กาเลเทียพูดเขินๆ “ขอโทษนะ จริงๆเขาแค่ห่วงฉัน...มากเกินไปน่ะ”

....“อ๋อ...ไม่เป็นไร” ผมพูดพลางแกว่งเท้าแก่เขิน

....“ผู้สังกัดหน่วยนี้ทุกคน กรุณาตามมาทางนี้”

....“แกมม่าแน่เลย” อีวานส์พูดก่อนจะหันไปยังต้นเสียง

....ไม่ผิดแน่ เขาคือหนึ่งในตำนานทหารผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์โชกโชนที่สุดของก็อด อีเดน --- แกมม่า ผู้ที่จะพาให้ผมไปสู่การปลดแอกตนเอง หรือไม่ก็จะพาผมตายในเร็วๆวันนี้





_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

รีบลงเเบบมาราธอน กลัวไม่ทัน คอมลงไม่ได้มาอาทิตย์นึง ปั่น 24 ชม. จะทันไหมหนอ TT
โชคดีนะมันใกล้จบแล้ว ไม่งั้นตายแน่ 5555







แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 6 2013, 05:48 PM
โพสต์ #13


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 11
The Siege







....ผมได้คำตอบในเวลาต่อมาว่าเหตุใด หน่วยแกมม่าจึงมีจำนวนสมาชิกในหน่วยน้อยมาก เพราะจะว่าไป หน่วยที่ผมได้รับเลือกให้มาร่วมปฏิบัติงานด้วย จะว่าไป อาจจะเป็นงานที่ทั้งเป็นเกียรติและเฉียดตายที่สุด --- หน่วยลอบจู่โจม หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านคือ “หน่วยนกต่อ” ยิ่งมีคนอยู่หน่วยนี้น้อยเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น คนน้อยกว่า เท่ากับการเป็นที่สังเกตของศัตรูน้อยลงเช่นกัน


....หน่วยลอบจู่โจมมีหน้าที่หลักคือ ล่อหลอกให้ศัตรูวางแผนการรบผิดพลาด ถ้าหากให้อธิบายง่ายๆก็คือ การหันเหความนใจ หรือก่อจลาจล เพื่อทำให้แนวป้องกันของศัตรูน้อยลง เมื่อกำลังป้องกันเริ่มอ่อน ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยอัลฟาที่จะทำการจู่โจมด้วยกองทหารเดินเท้าและรถถัง แต่นั่นก็เป็นแผนล่อเช่นกัน การจู่โจมที่แท้จริงเป็นภารกิจของหน่วยเบต้า กองกำลังอากาศ การจู่โจมแบบนี้เรียกว่า “แบทเทิลเวฟ” หรือการจู่โจมแบบติดๆกัน ทำให้ศัตรูไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าฝ่ายตรฝข้ามจะส่งกองกำลังแบบไหนมา


....แต่ความจริงที่ทั้งอัลฟา เบต้า และแกมม่าก็ไม่รู้คือ นอกจากทั้งสามหน่วยนี้ ยังมีอีกหน่วย --- หน่วยที่ชาลส์ เนธานเป็นผู้นำด้วยตนเอง “เดอะเลอกูน”




“ทุกคนครับ” ชาลส์พูดในเวลากลางดึกของวันพุธ “ที่ผมเรียกทุกคนมากลางดึกคืนนี้ เพราะผมมีเรื่องจะขอร้องครับ


ทุกสายตามองมายังเนธานอย่างสงสัย


“ผมต้องการให้มีกองกำลังสนับสนุน --- ในกรณีที่เราจำเป็นต้องเข้าสู่ภาวะสงครามจริงๆ การจะมีกองกำลังสำรอง หากทุกหน่วยของเราแพ้ จะเป็นการฉลาดมาก ผมจึงอยากให้พวกคุณเข้าร่วมกองกำลังสำรองของผมด้วยเถอะครับ! ผมต้องการพลังพิเศษของพวกคุณ เพื่อชัยชนะครั้งนี้ครับ!” เขาก้มหัวทำนองจะขอร้องเจ้านายให้ช่วยเพิ่มค่าจ้าง


“นี่ ไม่ต้องมีพิธีมากก็ได้” เอมาริลดึงให้เขาลุกขึ้นยืน “เราอยู่ข้างนายเสมอ ถ้าไม่มีนายช่วย เราก็คงจะต้องอยู่ในคุกเน่าเหม็นของเอล โดราโด้ต่อไป ถึงเวลาที่เราจะช่วยนายบ้างแล้วล่ะ”


“ฉันเห็นด้วยเรืองกำลังสำรอง” ซินพูด เสยผมสีเข้มไปข้างหลัง “แต่เราจะเรียกตัวเองว่าหน่วยสำรองไม่ได้หรอก”


“ยังไง” ทิมทำหน้างง


“อย่าแสดงความโง่ให้มันมากสิเจ้าหนู” ซินเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากทิม “ก็ประมาณว่า มีชื่อหน่อยก็ดีนะ อย่างเช่น... หน่วยสายฟ้าแลบ หรือไม่ก็ อัลติเมท ชิลเดรนก็ได้”


“เดอะเลอกูน ดีไหม” เนธานเสนอ “ประมาณว่า หลังจากที่มรสุมจบไป... ก็เป็นทะเลไงครับ”


“ไม่คิดว่านายจะมีอารมณ์ศิลป์นะ” รอยล์พูดผ่านปากบึ้งตึง “แต่ก็ดีกว่าหน่วยสายฟ้าแลบก็แล้วกัน” เขาส่งสายตาเหยี่ยวไปให้ซิน


“ตกลง เอาชื่อหน่วยเดอะเลอกูนก็แล้วกัน”


“ขอให้เรามาพบกัน ที่นี่ เวลาเดิม ในวันพรุ่งนี้นะครับ --- เราต้องเตรียมการอีกเยอะ” เนธานพูด “และ... อย่าบอกเรื่องเดอะเลอกูนกับใครนะครับ






....นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ตั้งแต่วันนั้น พวกเราก็ประชุมแผนการรบ ตั้งแต่เที่ยงคืนยันตีสาม


.... “เฟย์ ลูน!”


....“ค...ครับ!” เสียงดังปานฟ้าผ่าของแกมม่าทำให้ผมตื่นจากภวังค์ในชั่วพริบตา


....แกมม่านิ่วหน้าอย่างไม่พอใจอยู่ชั่ววินาที ก่อนจะรีบอธิบายแผนการบุกต่อไป เสียงของเขาดังจนแทบตะโกน แต่รสนิยมของผมก็ยังไม่ใช่ผู้ใฝ่เรียนใฝ่รู้อยู่ดี ในไม่ช้าผมก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง




________________________________________________________





....บนหน้าจอขนาดใหญ่เป็นผลของสงครามของโฮลี่โรดและก็อด อีเดน...พูดให้ถูกก็คือ สงครามระหว่างฉันและเนธาน และเด็กเซคันด์สเตจโดยเฉพาะ


....เล็บยาวแหลมคมของฉันจิกลงบนหน้าจอของเครื่อง “ไทม์ไดเมนชันนอล” หรือเครื่องมือที่ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นอนาคตของตนเอง และสามารถเห็นตนเองใน “โลกคู่ขนาน” ได้แค่เครื่องแบนๆซึ่งทำงานตอบสนองกับเจตจำนงของผู้ใช้ ยิ่งฉันมีพลังจิตที่เหนือกว่าผู้อื่น นี่เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ฉันเถลิงอำนาจไปทั่วโลกนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น


....ฉันแทบคลั่งตายเมื่อเห็นตัวเองล้มบนสมรภูมิสงครามที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน
้า แทบไม่เชื่อว่าคนอย่างฉันจะมาแพ้ให้กับเด็กอายุสิบสี่ปีคนนั้น --- เฟย์ ลูน...


....ฉันไม่อยากเชื่อว่าพ่อของมัน อาซูเรย์ ลูน จะกล้าหักหลังฉัน กลับไปแต่งงานกับยัยมิสตร้า ออกลูกมาเป็นมัน แล้วก็วางแผนจะยึดอำนาจเกรียงไกรที่ฉันเกือบได้ครอบครองทั้งโลกแล้ว... และทั้งที่ฉันเป็นคนรักเก่าของเขา!


....มือของฉันกำแน่น ก่อนจะค่อยๆคลายออก ไม่ได้... ต้องจัดการตัวเองในอนาคตก่อน แม้สงครามครั้งนี้จะแพ้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่มีโอกาสแก้แค้นนี่


....ฉันไม่คิดว่าเครื่องไทม์ไดเมนชันนอลจะรายงานผลผิดพลาด เป็นความผิดของฉันที่ใช้เอล โดราโด้เป็นหุ่นเชิด ตาแก่นั่นนอกจากจะรับคำสั่งจากชาวบ้านแล้ว ก็ไม่ได้มีมันสมองมากกว่าเด็กเซคันด์สเตจพวกนั้นนักหรอก ไม่น่าแปลกใจที่ตาแก่หงำเหงือกจะปล่อยให้เด็กพวกนั้นหลุดจากคุกกันได้เป็นพรวน


....แผนการครองโลกของฉัน ไม่อาจยุติได้เพราะความตายในปัจจุบัน วิธีการหลบเลี่ยงความตายมีหลายวิธี... ง่ายที่สุดก็คือ การเข้าไปแทรกแซงอนาคต พาตัวตนในโลกความเป็นจริงหลบไปยังโลกคู่ขนาน เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปในวิถีอื่น จึงค่อยดำเนินแผนการต่อ


....“ไทม...ทราเวล”


....ในห้องเหลือเพียงความว่างเปล่า





________________________________________________________





....ทันทีที่ผมก้าวขึ้นยาน ประตูซึ่งพาดเป็นทางลาดขั้นบนไดก็ยกตัวและปิดขึ้นตามหลัง ผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อในที่สุด ก้นก็ได้แตะที่นั่งเสียที หลังจากที่ต้องสวมชุดเกราะหนาถึงสองชั้น (เครื่องแบบหน่วยแกมม่าและหน่วยเดอะเลอกูน) และติดอาวุธบนตัวอย่างน้อยสี่สิบชิ้น กินเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่า ราวกับว่าผมจะไปดาวอังคารมากกว่าจะไปรบเสียอีก ในที่สุด ผมก็ได้ออกจากอาคารวอล์กเกอร์ออฟไลท์เสียที


....ในยาน “เจตคอร์” ลำนี้คล้ายคลึงกับยานเมคาเนียม เซิร์จ ลำที่ผมนั่งจากโฮลี่โรดมายังก็อด อีเดน มาก เพียงแต่ยานลำนี้ไม่สะดวกสบายเท่า แถมติดอาวุธเต็มยาน มีปุ่มและแผงควบคุมนับพันปุ่ม และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้บังคับยานไม่ใช่คลาร่า เจน (ผมล่ะโล่งใจที่ผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แถวนี้ จริงๆเธอก็สวยดีหรอกนะ แต่น่ากลัวยิ่งกว่ารอยล์สิบคนรวมกันเสียอีก)


....“ดูอะไรน่ะ เฟย์” เสียงของกาเลเทียดังขึ้นข้างหู ผมสะดุ้งสุดตัว ทำกาแฟร้อนฉ่าหกใส่ชุดเกราะชั้นนอก


....กาเลเทียหัวเราะพรืด เธอดูดีมากแม้จะอยู่ในชุดหนาเตอะ ดูเหมือนว่ากาเลเทียจะสามารถหลบรอดสายตาของเซธ พี่ชายจอมบงการมาได้


....“เออ เกล...” ผมเริ่ม


....“ว่าไง” เธอยิ้ม


....“ถ้าหากว่า ฉันตายในสงคราม แล้วเธอรอด... ฝากบอกดร.เฮอร์ลี่ เคนด้วยนะ ว่าขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง”


....ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ผมรู้สึกผูกพันกับชายวัยกลางคนแสนดีคนนี้เหลือเกิน... ราวกับว่า ผมได้อยู่ใกล้ๆพ่อซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในชีวิต แถมเขายังช่วยชีวิตผมไว้หลายต่อหลายครั้งด้วย


....“ไม่” กาเลเทียพูดเสียงหนักแน่น “นายจะต้องมีชีวิตรอดกลับไปบอกเขาเองแน่”


....ก้อนแข็งๆเหมือนจุกอยู่ที่คอ ผมพยักหน้าให้เธอเร็วๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง นึกเสียดายที่เมื่อเช้านี้ไม่ได้ลาดร.เคนหรือเพื่อนคนอื่นเลย พวกเขาออกไปจากห้องตั้งแต่ฟ้าสางแล้ว


....“เริ่มการเดินทางได้!” คนขับยานเสียงขึ้นจมูกร้องเสียงดัง คล้ายคำสั่งว่า “คาดเข็มขัด และนั่งประจำที่”


....ยานทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปลอดเมฆ ชายผู้ทำหน้าที่บังคับยานเจตคอร์โยกคันโยกกลางแผงควบคุม รู---หรือโพรงขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยแสงสีนับพันปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้ายามอรุณรุ่งเหนือเมื
องก็อด อีเดน ผมรีบหันไปดูอาคารวอล์กเกอร์ออฟไลท์ที่ดูเหมือนจะเรืองแสงท่ามกลางดวงอาทิตย์สีส้ม


....เจตคอร์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เข้าสู่โพรงแสงนั้น เหมือนเรากำลังถูกดูดลงไปในคอห่านในชักโครกขนาดมหึมา แสงนับร้อยพุ่งผ่านยานไปอย่างรวดเร็วจนแสบตา


....“ขณะนี้เรากำลังเดินทางอยู่ใน รูหนอน ขอความกรุณาผู้โดยสารทุกท่านอย่าลุกออกจากที่... ขอบคุณครับ”


....“รูหนอน?” อีวานส์พึมพำ


....“รอยต่อระหว่างมิติและเวลา คงคล้ายๆกับหลุมดำ เพียงแต่รูหนอนจะไม่มีแรงบีบอัดจากภายใน การเดินทางในนี้จะใช้เวลาน้อยมาก เพราะนี่คืออุโมงค์เวลาที่ใช้เป็นทางลัด จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง” แกมม่าซึ่งนั่งอยู่ในแถวหน้าสุดข้างๆกับรองหัวหน้าหน่วย จาชั่น ชายหนุ่มผมเกรียนที่รักกฎระเบียบและเหมือนจะกลืนกฎระเบียบของก็อด อีเดนเป็นอาหารเย็น


....“กำลังจะออกจากรูหนอน ถึงเป้าหมายในอีกห้า... สี่... สาม... สอง...หนึ่ง...!”


....แสงสว่างจ้าบาดตาเหมือนจะส่องมาจากปลายสุดอโมงค์รูหนอน ขยายใหญ่ขึ้น...ใหญ่ขึ้น... ยานและผู้โดยสารพุ่งทะยานออกมาจากรูหนอน เหมือนเวลาผ่านไปเพียงนาทีเดียวเท่านั้น


....ผมยกมือป้องตากันแสงที่สว่างจนแสบตา ภูมิทัศน์เบื้องล่างดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด--- ไม่ผิดแน่ ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งแล้ว... และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย


....โฮลี่โรด







_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

ทำไมรู้สึกว่ายิ่งแต่งยิ่งน่าเบื่อ อืดมากกว่าจะแต่งซักตอนจบ แต่ละตอนถ้าแต่งได้ซักสี่หน้านี่ก็เก่งแล้ว TT
มาแข่งครั้งนี้ความหวังจะได้ซักรางวัลเหมือนจะหดหายกลับเข้าไปในกระป๋องโค๊กเป็นที่เ
รียบร้อยแล้ว - - 55555

อย่าลืมกดดาว+วิจารณ์ด้วยนะเจ้าคะ






แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 7 2013, 01:27 PM
โพสต์ #14


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 12
The Entry To The Hall







.... แกมม่าซ่อนยานเจตคอร์ไว้ในรูหนอน ข้อดีของการเดินทางโดยรูหนอนคือ เราสามารถเข้าเมืองโฮลี่โรดได้เลยโดยที่ไม่ต้องผ่านด่านตรวจก่อน ไม่นานนัก หน่วยแกมม่าก็สามารถหาทางเล็ดลอดเข้าสู่อาคารที่ทำการรัฐมนตรีได้อย่างไม่ยากลำบาก เพราะชาวโฮลี่โรดส่วนมากมักจะตื่นสาย


.... “เอาล่ะ ทุกกองเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจ” เขาให้คำสั่ง พร้อมขานชื่อผู้ร่วมทีมแต่ละคน “ทีม A5 --- ชีพ ไอมัช ดีมิเทรียส เรย์ จัสติน เอนดอร์ ---ไปยังจุดระดมกำลังพล ขอให้ทุกคนรับคำสั่งจากจาชั่น” พลทหารในเครื่องแบบหน่วยแกมม่าแบกปืนกลขึ้นบ่า วันทยาวุธ และวิ่งตามรองผู้บังคับการหน่วยไปทันที


....ทีม C7 --- ไซเยอร์ ยอร์ค เซธ วัลแคน ซาน สตรีค --- ไปยังฐานทัพอากาศ ผู้นำทีม รองผู้บังคับการหน่วยทีต้า” ทีม C7 วันทยาวุธ ก่อนจะวิ่งไปยังหอคอยฐานทัพอากาศ


.... “นี่แก ไอหัวเขียว” ผมได้ยินเสียงของเซธกระซิบขู่ฟ่อเหมือนงู “อย่ามาหลีน้องสาวฉันอีกนะ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆก่อนจะวิ่งตามรองผู้บังคับการออกไป


....ทีม E3 --- กาเลเทีย ฟาดัม กิแกม อีวานส์ เฟย์--- ไปยังหอคอยโฮลี่โรด ตามฉันมา!” แกมม่ากล่าวปิดท้าย และนำตัวพลทหารที่เหลือทั้งห้าตรงไปยังหอคอยโฮลี่โรด



.... ราวกับว่าพวกเราต้องเล่นเกมฝ่าด่านมรณะไปกว่าจะไปถึงหอคอยโฮลี่โรดได้ เป็นไปตามที่แกมม่าคาดกาณ์ไว้ มีกองทัพหุ่นยนต์ติดอาวุธจำนวนไม่น้อยกว่าสามสิบตัวมารอต้อนรับ


.... “คำสั่งบุก 01!”


.... ทุกคนรีบวิ่งเข้าในซอกตึก หุ่นยนต์ติดอาวุธไล่ตามพวกเราทีละคน เมื่อหุ่นยนต์อยู่แยกจากกัน ความสามารถในการตั้งรับของมันและแรงโจมตีเหมือนจะลดน้อยลงไปอย่างฮวบฮาบ


.... “เอาไปกินซะ!”


.... ผมระดมยิงกระสุนจากปืนกลเข้าไปยังหน้าอกของหุ่น ซึ่งเป็นเหมือนแผงควบคุมย่อมๆ ประกายไฟสีเหลืองจ้าแล่นไปทั่วตัวหุ่นกระป๋อง ก่อนที่มันจะถูกบั่นกลายเป็นเศษเหล็กไร้ประโยชน์ กองรวมกันอยู่ข้างตึก


.... “กรี๊ดดดด..!!”


.... เสียงกรีดร้องอย่างตกใจกลัวดังขึ้น ผมรีบหันขึ้นไปมอง จึงเห็นเด็กหญิงชาวโฮลี่โรดผู้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดจากทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบผลุบหายเข้าไปในอพาร์ตเมนท์


.... “คำสั่งร่วม 07”


.... ผมรีบกลับไปรวมกลุ่มกับทีม E3 นับว่าโชคดีมากเพราะหลังจากนั้นไม่นาน บรรดาผู้อยู่อาศัยในตึกพากันมุงดูซากหุ่นยนต์ติดอาวุธ นี่ถ้าหากว่าผมออกมาช้ากว่าสามวินาที คนทั้งเมืองคงจะรู้ว่ากองทัพก็อด อีเดนได้แอบลอบเข้ามาในโฮลี่โรดแล้ว


.... “หัวหน้า มีผู้พบเห็นเราแล้ว” ฟาดัม พลทหารร่างสูงมีแต่กล้ามรายงาน


.... “รับทราบ --- งูม้วนหาง”


.... ทุกคนค่อยๆแฝงตัวเข้าไปในตึกแถวที่อยู่ใกล้ๆอย่างไม่ให้เป็นที่สงสัย ตึกนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนอยู่ เพราะทุกอย่างในห้องโถงของตึกนี้เงียบเชียบ และดูเหมือนจะมีกลิ่นอับหน่อยๆ แต่แกมม่าก็ยังพยายามให้เราเคลื่อนที่อย่างเงียบที่สุดโดยการถอดรองเท้าบู๊ตหนักๆออกแล้วเปลี่ยนมาเดินเขย่งปลายเท้าแทน


.... “คำสั่งร่วม 03” เขาพูดแทบจะเป็นเสียงกระซิบ


.... ทุกคนต่อแถวเรียงหนึ่งรอรับคำสั่งต่อไป ในขณะที่แกมม่าป้อนรหัสบางอย่างบนแป้นตัวเลขที่ติดอยู่ข้างผนังสีขาวโพลน ใบหน้าของเขาเกร็งมาก คิ้วขมวดเข้าหากันจนดูเหมือนเป็นเครื่องหมายกากบาต


.... หลังจากที่หลายนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แกมม่าก็สามารถป้อนรหัสได้ถูกต้องในที่สุด


.... ผนังห้องจมหายไปในดิน เผยให้เห็นอุโมงค์ลาดที่ตรงดิ่งจมลงไปใต้ดิน ผมคะเนเอาว่า นี่คงเป็นทางออกใต้ดิน ซึ่งมีทางออกอยู่ที่ไหนสักแห่งที่สามารถจุคนได้เป็นจำนวนมากกรณีฉุกเฉิน --- ผมรู้ในทันทีว่าการจะเข้าไปในอาคารโฮลี่โรดโดยไม่ให้เป็นที่สงสัย ก็มีแต่การไปทางใต้ดินเท่านั้น จึงจะปลอดภัยที่สุด


.... “ตามมา”


.... อุโมงค์นี้ ดูดีๆแล้วคล้ายกับสไลเดอร์ที่ให้เด็กห้าขวบเล่นมากกว่า เพราะภายในเป็นเหมือนท่อสูบส้วมสีเทาทึบที่ดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด แกมม่าเลื่อนมือไปปิดสวิตช์หลอดไฟที่ติดส่องทางอยู่ในอุโมงค์


.... “อ้าว!” อีวานส์หลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ


.... “มืดหน่อยนะ แต่ถ้าไม่ปิดไฟเสีย เอล โดราโด้อาจจะจับการเคลื่อนไหวของพวกเราได้ --- ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกนายก็เตรียมถูกย่างสดในข้อหาบุกรุกเข้าสถานที่มาได้เลย” เขาพูดเสียงเย็นๆ คล้ายกับเป็นการบังคับให้เราไถลลงอุโมงค์ยักษ์ไปในตัว


.... “ห้ามแตกกระบวน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าฉันหรือใครก็ตามเกิดตายขึ้นมาระหว่างภารกิจ ห้ามหยุด เข้าใจไหม?!” เขาพูดอย่างจริงจัง ก่อนจะนั่งลง และไถลหายไปในความมืด


.... “คุณแกมม่า!” ฟาดัมร้องเสียงหลง ก่อนจะไถลตัวตามลงไป


.... “ปัดโธ่ ! อย่ามัวยืนบื้อกันสิ ตามลงไปเร็ว!” กิแกมพูดรัวเร็วก่อนจะลากทุกคนลงไปในอุโมงค์มืดๆนั้น


.... หวีวีวีวีวี


.... เสียงลมพัดผ่านหูของผมขณะที่ลื่นไถลลงไปในอุโมงค์ที่ดูเหมือนท่อลมยักษ์ พวกเราไม่สามารถควบคุมความเร็วได้เลย แถมยังต้องเอามือระติดกับผนังอุโมงค์ไว้เพื่อไม่ให้ตัวเสียหลัก สายตาของผมเริ่มชินกับความมืด พอให้เห็นอุโมงค์นี้ได้รางๆ ผมพยายามมองฝ่าความมืดออกไปยังปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังไม่เห็นว่าปลายของมันอยู่ตรงไหน


.... สีข้างของอีวานส์กระแทกกับหลังของผม ทันทีที่ผมหันไปมอง อีวานส์ก็เสียหลัก แรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้ตัวของเขาพุ่งไปยังด้านหน้า กระแทกใครต่อใครไปทั่ว ทำให้กระบวนแถวแตก แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ยังไถลลงไปในความมืดของอุโมงค์ต่อไป


.... “เฮ้ยยยยย!!!” เสียงตะโกนโหวกเหวกของอีวานส์ดังมาแต่ไกล ผมคาดว่าเขาคงไปกระแทกหัวของแกมม่า


.... “นั่นเสียงอะไรน่ะ” กิแกมพูดหลังจากที่เสียงโวยวายของอีวานส์เบาลง


.... ผมเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นเหมือนดังมาจากที่ๆอยู่ไกล แต่ก็ได้ยินชัดเจน


.... ฉับ...ฉับ...ฉับ...!


.... เหมือนเสียงกระไกรขนาดยักษ์ตัดผ่านอากาศดังมาแต่ไกล แต่... ใช่กรรไกรแน่หรือ


.... ฉับ...ฉับ...ฉับ...!


.... เสียงนั้นเหมือนใกล้เข้ามา สมองของผมประมวลผลอย่างรวดเร็ว --- นี่คงจะเป็นระบบป้องกันภัยกรณีมีผู้บุกรุก... อาคารนี้คงเป็นตัวล่อให้บรรดาผู้บุกรุกใช้เดินทางที่ใต้ดินเข้าสู่อาคารโฮลี่โรด และมื่อมาได้ถึงจุดหนึ่ง กับดักนี้ก็จะทำงาน ผมคาดว่ากับดักนี้คงคล้ายๆกับกรรไกรที่จะทิ้งตัวลงมาตัดร่างของผู้ที่พยายามจะผ่านไป --- ไม่ผิดแน่!


.... “ถอยเร็ว นี่มันกับดัก!” ผมตะโกน


.... “ถอยยังไงล่ะ เราเบรกไม่ได้!” กิแกมตะโกนขึ้นบ้าง


.... ฉึก...!



.... “กรี๊ดดดดด...!”


.... เสียงกรีดร้องของกาเลเทียทำให้ผมลนทันที... กับดักนั้นอาจปิดลงมาทับตัวเธอก็ได้!


.... “กาเลเทีย!” ผมตะโกน


.... “ฉันสบายดี แต่คุณแกมม่าน่ะ --- เขาเสียเลือดไปมากเลย” เสียงสั่นเครือของกาเลเทียดังขึ้นจากหัวแถว


.... “เกิดอะไรขึ้น” กิแกมร้อง


.... แต่ไม่มีใครตอบ พวกเราลื่นไถลไปในความมืด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ในหน้าอกของผม คุณแกมม่าเสียเลือดไปมาก--- หรือว่า...กับดักนั่นจะ... ---


.... ในที่สุด การลื่นไถลลงไปในอุโมงค์มืดๆก็สิ้นสุดลง ท่ออุโมงค์พุ่งดิ่งลงเป็นเส้นตรง แสงสว่าง--- ไม่ผิดแน่ๆ ส่องมาจากเบื้องล่าง ปากอุโฒงค์เข้ามา ใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น ---


.... พวกเราร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น เสียงชุดเกราะกระแทกพื้นดังเคร้ง ผมรีบดูความเสียหายบนร่างกายของตนเอง ชุดเกราะหนามากจนแทบไม่ต้องกังวลอะไร


.... “แกมม่า! คุณแกมม่า!


.... เสียงร้องของเพื่อนร่วมทีมตะโกน ผมรีบปรี่เข้าไปดูแกมม่า


.... ...ภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะวิ่งกลับก็อด อีเดนในทันที


.... ปลายแขนซ้ายของแกมม่ามีเลือดออกชุ่มโชก แม้ว่ากาเลเทียจะช่วยปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่โดยใช้ผ้าก๊อซแล้ว เลือดที่พุ่งเหมือนน้ำพุก็ยังไหลซึมออกมา มือซ้ายของเขาถูกมีดตัดจนขาด


.... “คุณแกมม่าตัดมือของตัวเอง ใส่เข้าไปในกับดัก มันถึงหยุดกระแทกแล้วปล่อยให้เราผ่านไปได้” อีวานส์ที่หน้าซีดเป็นหมั่นโถวไม่มีไส้พูดอย่างอ่อนแรง “เขาเสียเลือดไปเยอะเลย”


.... “ฉันใช้พลังเด็กเซคันด์สเตจรักษาคุณแกมม่าไม่ได้” กาเลเทียพูด พยายามอย่างไร้ผลที่จะสร้างไซบอล “เหมือนในอาคารนี้ จะมีคลื่นรบกวนอยู่”


.... ผมลองยกปืนที่วางอยู่บนพื้นให้ลอยด้วยพลังจิต แต่ปืนก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นเหมือนเดิม


.... “พลังของเราคงถูกบล็อกไว้ในอาคารนี้” อีวานส์พูด พลางกำหมัดชกกำแพงอย่างโมโห


.... “ใช่แล้ว” แกมม่าพูดขึ้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของทีม “เคจ ลาเรน ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เด็กเซคันด์สเตจใช้พลังที่เกิดจากการตัดต่อได้ที่นี่”


.... เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนไม่เจ็บปวด พลางหยิบอุปกรณ์ที่ทำจากเหล็กบางอย่างออกมาสวมติดที่มือ --- มันคือมือเทียมรุ่น G4 นั่นเอง กล่าวกันว่าของแบบนี้ราคาแพงระยับ สามารถสวมติดกับมือได้ทันทีโดยที่ร่างกายไม่เกิดอาการแอนตี้


.... “พวกเธอก็เห็นแล้วนะ ว่าอาวุธของพวกนั้นไม่ได้มีแค่หุ่นเหล็ก” เขาพูดอย่างอ่อนแรง “เพราะฉะนั้น ระวังตัวด้วย”


.... เขาลุกขึ้นกระชับปืนไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะทดลงขยับมือเทียมที่ดูแข็งทื่อนั่น


.... “คำสั่งร่วม 05”


.... เขาออกคำสั่ง พวกเรามองหน้ากันอย่างลังเล


.... “คำสั่งร่วม 05” เขาพูดดังขึ้น พวกเรายังคงยืนนิ่ง ไม่ขยับตัว


.... “คำสั่งร่วม 05!” เขาตะโกน แต่พวกเราเพียงแต่ยืนอยู่ที่เดิม


.... “เป็นอะไรไป เกิดกลัวขึ้นมางั้นหรือ!” เขาพูดอย่างโมโห


.... “คุณแกมม่า พอเถอะครับ ถ้าคุณตายขึ้นมาล่ะ” ฟาดัมพูดเสียงเบา


.... “ฉันไม่เคยกลัวตาย ความกลัวของฉันตอนนี้คือ กลัวก็อด อีเดนจะไม่ชนะ! ชีวิตของฉันมีค่าน้อยกว่าอิสรภาพของคนทั้งเมือง ต่อให้พวกเธอไม่ตามมา ฉันก็จะสู้!” เขาคำราม


.... “คำสั่งร่วม 05” เขาพูดอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินออกไปโดยไม่หันกลับมา คงจะตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติภารกิจนี้ พวกเราจึงต้องเดินตามเขาไปตามการจัดกระบวนแถวร่วม 05 โดยการนำของแกมม่า --- ชายผู้ที่ห่วงชีวิตของตนเองน้อยกว่าความปลอดภัยของก็อด อีเดน --- ผมนับถือเขาจริงๆ








_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

ไม่ดอง ไม่แช่เย็น ไม่ค้าง 5555
ตอนแรกที่เขียน บทนี้สั้นมาก ไปๆมาๆ ไหงมาห้าหน้ากว่าละเนี่ย - -
สู้ๆ จะจบแล้ว TT (คงมีคนอ่านแค่ 3 คน ;( 55555 )

ps. ทำไมเสียงลมพัดถึงเป็นเสียงหวีวีวี ล่ะ (งงกับตัวเอง -.-)






แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 8 2013, 05:01 PM
โพสต์ #15


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 13
The Fall Out







.... พวกเราเดินตามแกมม่าไปในรูปกระบวนแถว คำสั่งร่วม 05 ไปตามทางเดินที่อาศัยเพียงแสงสลัวเลือนรางจากหลอดไฟบนเพดาน แม้ว่าอากาศจะไม่ได้ร้อนมากนัก แต่ตามหลัง ขมับ สีข้างและหน้าผากของผมกลับมีเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้น(จนแทบจะอาบน้ำโดยใช้เหงื่อต่างน้ำได้) สิ่งที่ผมแปลกใจ คือในอาคารโฮลี่โรดกลับไม่มีการ์ดอยู่ยามแม้แต่คนเดียว


.... “การ์ดพวกนั้นคิดว่าพวกเราจะเข้ามาจากหน้าประตูเมือง --- แล้วเป็นไงล่ะ พวกเราเลยเข้ามาได้สบายๆ” คุณแกมม่าอธิบาย


.... ผมคิดว่า “สบายๆ” ของคุณแกมม่า คงไม่รวมกับดักกรรไกรคู่ที่ทำให้คุณแกมม่าถึงต้องกับสละมือของตัวเองเพื่อช่วยลูกน้องในทีม E3 ไม่ให้หัวขาด


.... ผมเริ่มเหนื่อยหลังจากที่เดินมากว่ายี่สิบนาทีแล้ว ตามที่คุณแกมม่าบอก เราพึ่งเดินทางมาได้เพียงหนึ่งในสองของระยะทางทั้งหมด และในตอนนั้นเองที่เริ่มมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาโจมตีเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเอล โดราโด้ได้สังเกตเราตลอดเวลา เมื่อเราเริ่มล้าจากการเดินในระยะทางไกลแล้ว เอล โดราโด้ก็ได้ส่งกองกำลังมาเพื่อ “เก็บ” เราให้หมดในช่วงที่ไม่พร้อมสำหรับการรบ


.... “นักล่าตาข่าย!” แกมม่าสั่งการ


.... ทีม E3 ทุกคนยืนหันหลังชนกันเป็นวงกลม เพื่อให้สามารถตั้งรับศัตรูได้ทุกทิศทาง



.... ทหารที่ทำหน้าที่ป้องกันภัยให้อาคารโฮลี่โรดเป็นหุ่นยนต์ เช่นเดียวกับทหารตั้วอื่นๆ ทหารกองนี้มีประมาณเจ็ดตัว ทุกตัวมีขนาดและความสูงเท่ากันหมด หุ่นยนต์พวกนี้ดูเหมือนมนุษย์มากกว่าหุ่นยนต์พิทักษ์ตัวอื่นๆ พวกมันดูเหมือนเด็กวัยรุ่น ตัดผมสั้นเกรียน ดวงตาทำจากแก้วดูแข็งทื่อไร้ชีวิต ผมคิดว่าผู้ออกแบบหุ่นยนต์พวกนี้คงจะคิดไม่ตกว่าควรจะออกแบบหุ่นอย่างไรดี จึงเอาแบบของวัยรุ่นมาทำเป็นหุ่นสงครามเสียเลย


.... แต่แล้ว เจตนาแท้จริงของผู้ออกแบบก็ปรากฏออกมาชัดแจ้ง ในที่สุด ---


.... ทันทีที่พวกมันวิ่งรี่ตรงเข้ามา มันกลับกลายร่างเป็น --- ดร.เคน?!


.... ไม่ผิดแน่... ชายวัยกลางคนร่างสูงในชุดขาว ผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้ม แว่นกรอบเหลี่ยม --- ทุกอย่าง เกือบทำให้ผมเกือบจะปล่อยปืนจากมือ


.... ดูจากสีหน้าของคนอื่นๆ พวกเขาก็ดูตกใจเช่นเดียวกับผม แสดงว่าหุ่นยนต์พวกนี้ต้องสร้างขึ้นมาตามหลักจิตวิทยา ทำให้พวกเราประสาทหลอน ไม่กล้าสู้กับคนที่รัก --- และทำให้เราตกเป็นเป้าได้ง่าย


.... ดังนั้นทันทีที่หุ่นยนต์ในคราบดร.เคนพุ่งตรงมา ผมจึงเล็งไปยังทรวงอก และระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง --- หุ่นระเบิดออก ทุกคนเหมือนจะได้สติ และรีบเล็งและระดมยิงไปยังหุ่นยนต์พวกนั้นทันที


.... เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นเศษเหล็กกองรวมกัน ชิ้นส่วนหนึ่งของหุ่นยนต์แปลงร่างได้เมื่อครู่ลอยมาตกยังแทบเท้า ผมยกขึ้นมาดู มีคำว่า PERFECT CASCADE สลักอยู่บนชิ้นส่วนนั้น


.... “เพอร์เฟ็คต์ คาสเคดเหรอ” ผมทวนชื่อนั้น


.... แต่ทันทีที่ควันจางๆซึ่งเกิดจากการระเบิดของหุ่นยนต์พวกนั้นลอยหายไป หุ่นยนต์กลับประกอบขึ้นมาใหม่ได้ --- มันลอยติดเข้ามาเป็นร่างเดียว คราวนี้ดูเหมือนอสูรกาย


.... ต่อให้เป็นมือดีขนาดคุณแกมม่า หรืออัลฟาและเบต้ารวมกันสามคนก็ไม่น่าจะต่อกรกับหุ่นยนต์ขนาดโอเวอร์ไดรฟ์ได้ มันหันหัวที่ดูคล้ายกับกระทิงมาทางพวกเรา ก่อนที่กีบเหล็กของมันจะกระทืบตรงมายังพวกเรา


.... “คำสั่งบุก 01!” แกมม่าตะโกน ก่อนจะกระโดดหลบกีบที่ฟาดตรงมายังพื้น ทิ้งรอยพื้นแยกขนาดมหึมาไว้บนพื้น


.... “คำสั่งร่วม 03!”


.... ทุกคนรีบกลับมารวมกันนะตำแหน่งเดิม แกมม่าเสี่ยงยิงกระสุนเลเซอร์รัวตรงไปยังกระบังของหุ่นยนต์กระทิงตัวนั้น แสงสีแดงเรื่อจากกระบอกปืนเพียงแค่พุ่งเฉียด และถากออกไป โดยไม่ทิ้งแม้แต่รอยขีดข่วนไว้บนพื้นผิวโลหะมันวับนั้นเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของแกมม่าขมวดเกร็งอีกครั้ง แบบตอนที่เขาป้อนรหัสเปิดอุโมงค์เพื่อเข้าสู่อาคารโฮลี่โรด และตอนที่เขานำทางพวกเราเข้าสู่ทางเดินนี้ด้วยคำสั่งร่วม 05


.... “เราต้องหนีก่อน” เขาพูด


.... แกมม่าเปลี่ยนกระสุนปืนเป็นหัวระเบิด เล็งไปยังส่วนอกของหุ่นยนต์เพอร์เฟ็คต์ คาสเคดซึ่งกลายร่างเป็นหุ่นกระทิงยักษ์ แม้ว่าลูกกระสุนหัวระเบิดจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้เซนเซอร์ตรวจจับศัตรูของหุ่นยนต์ไม่ทำงานไปชั่วครู่


.... “วิ่ง! วิ่ง! วิ่ง!”


.... แกมม่าตะโกน ก่อนที่จะตัวเองจะวิ่งไปยังทิศตรงข้ามของทางเดินอย่างไม่คิดชีวิต ผมไม่รอช้า รีบวิ่งตามไป เพื่อความปลอดภัยของอวัยวะทั้งสามสิบสองของผม


.... “หยุดนะ อย่าขยับ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนสามโหลวิ่งเข้ามาขวาง ก่อนจะระดมยิงด้วยกระสุนโมเมนตัม ชอร์ตละหนึ่งร้อยลูก


.... “กระบวนท่าปีกคู่!”

.... พวกเราแปรขบวนเป็นแถวคู่ห่างจากกันประมาณห้าเมตร หลบห่ากระสุนได้อย่างหวุดหวิด


.... “จับพวกมันให้หมด!” หนึ่งในนายทหารพิทักษ์ตะโกนขึ้น


.... “น่ารัก!” แกมม่าพูดพลางเล็งปืน


.... พวกเราหันหน้าเข้าหากันและวิ่งเข้าตีวงโอบล้อมทหารพิทักษ์ ก่อนจะระดมยิง ไม่ว่าจะมีคนเสียชีวิตสักกี่คน พวกเราก็ไม่หยุดยืนดูให้เสียเวลา วิ่งไปยังทางตีโค้งเบื้องหน้า


.... ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ ทุกอย่างอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งกับดักของเอล โดราโด้ กองทัพเพอร์เฟ็คต์ คาสเคด --- ในอีกสามนาทีข้างหน้าผมอาจจะตาย


.... แกมม่าหยิบปืนสีแดงเข้มอันหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะยิงไปยังผนังว่างเปล่าของทางเดิน ในระหว่างนั้น ดูเหมือนว่าระบบการป้องกันภัยของโฮลี่โรดเริ่มทำงานแล้ว กองทัพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพากันวิ่งกรูเข้ามายังจุดที่พวกเรายืนอยู่


.... “เปิดสิ...เร็วเข้า!” แกมม่าพูดเร่งปืนในมือของตน


.... วงกลมที่ห้อมล้อมด้วยแสงสีนับพันขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุดปรากฏบนผนัง ก่อนจะขยานใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าห่วงฮูลาฮูปขนาดย่อม


.... “เข้าไปเร็ว!” เขาพูดอย่างเร่งรีบ ก่อนจะผลักพวกเราเข้าไปในห่วงนั้น


.... นับว่าทันเวลาพอดี ทันทีที่คุณแกมม่าเข้ามาในห่วงนั้น ลูกกระสุนหัวเพลิงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล่นตรงมายังพวกเรา --- แล้วห่วงก็ปิดลง


.... ผมหอบหายใจ ก่อนจะมองรอบๆ --- พวกเราอยู่ในรูหนอน สถานที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้


.... “โชคดีนะที่ฉันแอบขโมยประตูมิติออกมาจากห้องทำงานของพลเอกคริงเกิล” แกมม่าพูดอย่างสงบ ก่อนจะจับปืนที่ใช้เปิดรูหนอนเก็บกลับเข้าในกระเป๋าเป้หนักๆบนหลังของเขา


.... “ตอนนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากขึ้น “เราควรจะหาที่ก่อจลาจลที่ใหม่”


.... “ทำไมครับ” ฟาดัมถาม


.... “ตอนนี้ทั้งเมืองรู้โจ่งแจ้งกันหมดแล้วว่าเราคือศัตรู ใครมีความคิดดีๆบ้าง” แกมม่าหาเสียงสนับสนุน


.... “ผมแนะนำว่าเราควรจะไปที่โรงไฟฟ้าครับ” อีวานส์พูดขึ้น


.... “ขอเหตุผลด้วย”


.... “เพราะการทำงานของหุ่นยนต์ต้องใช้กระแสไฟฟ้า แค่จากแบตเตอรี่ไม่พอหรอกครับ การควบคุมหุ่นยนต์จำนวนมากต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแหล่งใหญ่ --- โรงไฟฟ้าแน่นอนครับ เพราะผมไม่เห็นว่าที่หลังของพวกมันไม่มีโซลาร์เซลล์ ---นอกจากนี้ หากเราสามารถทำลายแหล่งพลังงานไฟฟ้าได้ เอล โดราโด้ก็จะไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ได้อีกครับ”


.... ผมประหลาดใจมากที่อีวานส์สามารถคิดเรื่องมีสาระได้


.... “ตามนั้น... ไปกันเถอะ”


.... แกมม่าเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง โดยที่ไม่รอให้พวกเราหายใจหายคอให้พอก่อน รูหนอนหายไป เท้าของพวกเราลงมาสัมผัสพื้นดินแข็งๆอีกครั้ง


.... เสาไฟฟ้าต้นใหญ่นับร้อยต้นตั้งเรียงกันเป็นระเบียบ กระแสไฟฟ้าสีขาวและฟ้าแล่นอยู่รอบ บนยอดบนสุดขอเสาไฟฟ้ามีคลื่นบางอย่าง แผ่ออกมาคล้ายรูปโดมขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเบื้องบน


.... โรงไฟฟ้าของโฮลี่โรดไม่มีโรงแปลงกระแสไฟฟ้า เพราะกระบวนการทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วในเสาไฟฟ้าต้นเดียว ก่อนจะส่งไปให้ตัวเมือง ด้านในสุดของแถวเป็นเสาไฟฟ้าที่สูงกว่าเสาอื่นมาก มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ชอตและกระพริบตลอดเวลา รอบๆเสาต้นกลางปริศนานี้เป็นตาข่ายเลเซอร์สีม่วงเข้มที่กระพริบเปิด-ปิดตลอดเวลา


.... “แปลกนะ ที่ไม่เคยเห็นโรงไฟฟ้ามาก่อนเลยทั้งๆที่ฉํนอยู่ในโฮลี่โรดมาตั้งสิบสี่ปี”อีวานส์ตั้
งข้อสังเกต


.... “คงเป็นเพราะไอ้นั่นไงล่ะ” กิแกมพูด พลางชี้ไปข้างบน


.... โดมใสๆที่เสาไฟฟ้าปล่อยออกมาทำให้อากาศด้านบนสั่นไหวพิกล --- คงเป็นโดมพรางตา ทำให้บุคคลภายนอกมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน นี่คือเหตุผลที่พวกผมไม่เคยเห็นโรงไฟฟ้าในโฮลี่โรดมาก่อน โรงไฟฟ้าเป็นหนึ่งในจุดที่มีการป้องกันอย่างแนบเนียน เพราะเมื่อเกิดความเสียหายแล้ว โฮลี่โรดถึงขั้นบรรลัยแน่นอน ผมนึกชื่นชมความรอบคอบของคุณแกมม่าที่นำประตูมิติมาด้วย ให้เราเข้ามาข้างในโรงไฟฟ้าสำเร็จ


.... “นั่น” คุณแกมม่าชี้ไปยังเสาไฟฟ้าต้นสูงที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงเลเซอร์ “ฉันว่านั่นคือเสาที่ควบคุมกองกำลังหุ่นยนต์เอาไว้”


.... เขาหยิบปืนกลออกมาจากกระเป๋า เลือกกระสุนหัวระเบิด เล็งเป้า และยิงไปยังเสาไฟฟ้าต้นนั้น


.... ทันทีที่มันกระทบกับรั้วเลเซอร์ หัวกระสุนก็ระเบิดออก ไม่สามารถทะลุทะลวงการป้องกันนี้ได้เลย


.... “ฉันคงต้องลองเข้าไปดู” เขาโยนกระเป๋าสัมภาระและอาวุธให้ฟาดัม ก่อนจะหยิบแต่ระเบิดพกติดตัวไป


.... เขาคอยจังหวะเปิด-ปิดของรั้วเลเซอร์ ก่อนจะกระโดดสูงข้ามรั้วไปได้ --- เขาแกะระเบิดด้วยฟันกระแทกลงพื้น และจุดชนวน ---


.... ฐานของเสาไฟฟ้าทรุดลง ไฟฟ้าที่แล่นอยู่บนตัวส่องประกายพร้อมเสียงซ่าไปทั่วบริเวณนั้น เสาไฟที่มองไม่เห็นฉีกขาด เสาอื่นถูกฉุดให้ล้มลงกระแทกลงบนพื้นด้วยแรงมหาศาล ก่อนจะระเบิดลงบนพื้นเหมือนขีปนาวุธ อีวานส์สร้างชีลด์พลังจิตมา เกือบไม่ทันตอนที่สะเก็ดไฟขนาดเท่าลูกพลัมกระดอนมายังพวกเรา --- เช่นเดียวกับคุณแกมม่าที่ถูกแรงอัดมหาประลัยซัดเต็มเปา ร่างซึ่งดูเหมือนหุ่นชักที่ถูกตัดสายของเขาถูกแรงระเบิดเหวี่ยงกระเด็นขึ้นฟ้า



.... “คุณแกมม่า!!!”







_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

เย่ แกมม่าตายแล้ว //จุดพลุ 5555
มีแต่คนถามมว่าทำไมต้องให้แกมม่าตาย ก็จะตอบตามที่หัวสมองอันน้อยนิดคิดได้
ถ้าแกมม่ายังอยู่ เราก็จะไม่เห็นศักยภาพในการรบที่แท้จริงของเฟย์ แล้วก็แกมม่าก็เป็นผู้นำที่เสียสละมากจนยอมตาย เพราะฉะนั้นก็ตายไปเลยดีกว่า 555
ใกล้จบแล้ว รีบปั่นดีกว่า คาดว่าตอนที่ 15-16 น่าจะจบ นะฮะ






แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 9 2013, 05:05 PM
โพสต์ #16


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 14
The Dam's Buster







.... แกมม่ากระแทกพื้นอย่างแรง นอนนิ่ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้อีก ทุกคนได้ยินเสียงกระดูกแก่นกลางร่างกายของเขาหักจากแรง เสียงครางอย่างเจ็บปวดหลุดออกมา


.... แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า บาดแผลบนตัวของแกมม่าร้ายแรงเกินกว่าจะเยียวยาได้ แม้ว่าจะใช้พลังจิตของกาเลเทียรักษาก็ดูเหมือนว่าไม่สามารถรักษาได้ทั้งหมด --- ร่างกายท่อนล่างเกือบทั้งหมดของแกมม่าถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตจนไหม้เกรียม กระดูกสันหลังหัก แขนซ้ายของเขาขาดหายไปจากแรงระเบิด เลือดสีคล้ำพุ่งกระฉูดออกมา กาเลเทียส่ายหน้าเบาๆเมื่อพยายามใช้ออร่าสีทองรักษารอยไหม้บนขาทั้งสองข้างของแกมม่า --- ฟาดัมถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ ซบหน้าลงบนไหลของกิแกมและสะอื้นออกมาอย่างไม่อายใคร


.... “เฟย์...” เสียงแหบพร่าของเขาดังขึ้นมา ผมรีบก้มหน้าลงไปแนบกับปากของเขา


.... “อ..เอาไป เอา...ไป” เขายัดปืนประตูมิติให้ผม


.... “ทำไมครับ”


.... “ย..อย่า ถ..ถาม” เขาพูดอย่างรีบร้อน “ระวังตัว ล..ลา เรน อ..เอา ชี วิต นาย --- เพราะ พ..พ่อ นาย น่ะ ---”


.... เขาไม่สามารถพูดประโยคสุดท้ายจนจบได้ เขาก็พ่นละอองเลือดออกมาจากปาก ชักกระตุก ก่อนจะแน่นิ่งไป


.... กาเลเทียปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่


.... ผมคุกเข่า วางสองนิ้วลงบนตาที่เบิกค้างและว่างเปล่าของเขา ก่อนจะเลื่อนมันปิด เอาอาวุธออกจากกระเป๋าจนหมด และวางเป้เปล่าไว้ใต้ศีรษะของเขาเหมือนเป็นหมอน ก่อนจะลุกขึ้น ทุกคนวันทยาวุธ “ภารกิจของเราสำเร็จแล้วนะครับ”


.... ผมกำปืนมิติในมือไว้แน่น นึกสงสัยว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรกับผมได้ --- และพ่อของผม เคจ ลาเรน มีความแค้นอะไรกับท่าน ---


.... “เฟย์” เสียงของกิแกมเรียกให้ผมหันกลับไป “จะเอาไงต่อ”


.... “นายกับฟาดัมต้องกลับไป ที่ก็อด อีเดน” ผมพูด “ช่วยเอานี่กลับไปด้วย” ผมยื่นอาวุธและข้าวของของแกมม่าให้ฟาดัม


.... ฟาดัมสั่งน้ำมูกทีหนึ่ง วันทยาวุธให้ผม ก่อนจะก้าวเข้าประตูมิติที่ผมเปิดไว้ใกล้ๆกับเสาไฟฟ้าที่หักแล้วต้นหนึ่ง


.... “โชคดีนะ” กิแกมอวยพร ประตูมิติปิดลง


.... ตอนนี้ก็เหลือผม กาเลเทีย และอีวานส์ พวกเรายังคงอยู่ในโฮลี่โรดเพื่อรอการมาถึงของชาลส์ เนธาน และเดอะเลอกูน


.... พวกเราตัดสินใจถอดเครื่องแบบของทีม E3 ออก ทิ้งไว้แถวโนเสาไฟฟ้าที่หักระเนระนาด ก่อนที่จะทำลายทิ้งด้วยพานท้ายปืนเพื่อทำลายหลักฐาน เหลือแต่ชุดเกราะของหน่วย เดอะลากูน เป็นเกราะสีฟ้าอมเขียวน้ำทะเล ทำจากออปติคอลไฟเบอร์ เช่นเดียวกับที่ใช้ทำประตูเหล็กห้องขังในโฮลี่โรด พร้อมด้วยรองเท้าบู๊ตหนังหุ้มไทเทเนียม ติดอาวุธพิเศษในเกราะ ประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องแบบทีม E3 ชนิดที่เทียบกันไม่ติด


.... เนื่องจากโดมล่องหนที่แผ่ออกมาปกคลุมโรงไฟฟ้าได้หายไปแล้วหลังจากที่แกมม่าระเบิดโรง
ไฟฟ้าจนเละไม่เป็นท่า พวกเราจึงเห็นยานสเปซชัตเติลของก็อด อีเดนลำใหญ่ลอยขึ้นมาเหนือหัว --- ประทับตาเป็นรูปดีเอ็นเอไขว้กัน --- เดอะลากูนนั่นเอง!


.... "ขึ้นมาเลยครับ!” ชาลส์ เนธานตะโกนให้พวกเราได้ยิน


.... บันไดลิงสีเงินทอดลงมา อีวานส์ก้าวขึ้นไปเกาะบันได ตามด้วยกาเลเทีย ปิดท้ายด้วยผม บันไดลิงยกขึ้น เหมือนว่าที่รองเท้าของผมและถุงมือเหล็กจะสามารถดูดติดกับบันไดเหล็กได้ บันไดลิงถูกสาวขึ้นจนถึงพื้นยานสเปซชัตเติลรุ่น S8 ใหม่ล่าสุด ดูเหมือนเป็นห้องทำงานย่อส่วนของเนธานมากกว่า ยานลำนี้มีขนาดใหญ่เท่าอ่างจาคูชีคิงไซส์ยี่สิบอ่างรวมกัน เป็นรูปทรงคล้ายจานแบนๆ ที่ผนังควบคุมมีจอแสดงภาพเมืองโฮลี่โรดแบบสามมิติแสดงอยู่ สามารถซูมเข้าซูมออกได้ กลางยานคล้ายกับห้องนั่งเล่นและห้องประชุมไปในตัว


.... “เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ” เรย์ซ่าพูด


.... “อื้อ!” อีวานส์กระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาบุนวม ส่งผลให้ทิมที่ตัวเล็กมากกระเด็นออกจากโซฟาไปหลายตลบ


.... “หน้าที่หลักของเราตอนนี้” ชาลส์พูด “คือคอยจับตาดูการสู้รบทั้งหมด --- พลทหารในหน่วย E3 รายงานว่า สามารถก่อจลาจล ณ โรงไฟฟ้าได้ และทำลายเสาไฟฟ้าที่ควบคุมกองทหารหุ่นยนต์ได้แล้ว”
ผม อีวานส์และกาเลเทียยืนเงียบ


.... “แกมม่าตายแล้ว” อีวานส์พูด


.... “ใช่ --- เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ” ชาลส์พูด สีหน้าสลด


.... สงครามได้เปิดฉากขึ้นแล้ว ด้วยกระจกที่ใหญ่เป็นพิเศษทำให้เราเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้อย่างละเอียด


.... กองกำลังทหารของก็อด อีเดนดูได้เปรียบมากกว่า หลังจากที่กองกำลังบางส่วนของโฮลี่โรดถูกจู่โจมหลอกเมื่อสองชั่วโมงก่อน บรรดาชาวเมืองต่างพากันอพยพออกจากเมืองโดยเส้นทางใต้ดินที่ผมเพิ่งออกมาสดๆร้อนๆ


.... ยานเดลต้า GT1360 ของก็อด อีเดนยิงถล่มยานเจตคอร์รุ่นเก่าของโฮลี่โรดนับร้อยยานจนปีกหัก บางลำระเบิดกลางอากาศ เปลวเพลิงและควันไฟโหมขึ้นทุกที่ ทุกตารางเมตรจะต้องเห็นฉากต่อสู้ทั้งภาคพื้นดินและกองทัพอากาศ


.... “เราต้องชนะแน่!” แกโรตะโกน


.... แต่ในไม่ช้า เหตุการณ์ก็พลิกผันไป---


.... พื้นดินของโฮลี่โรดแยกออก ทันทีที่หน่วยจู่โมภาคพื้นทวีปโดนระเบิดเราท์คราฟท์เข้าไปกลางวง เศษเนื้อปลิวว่อน แต่ทันทีที่พื้นดินแยกออก อสูรกายยักษ์ร่างกระทิงตัวสูงนับร้อยตัวก็ตะลุยข้ามแดนหน้าขึ้นมา เร็วกว่าที่ผมเคยเจอเจ็ดเท่า อุ้งมือเหล็กของมันกวาดไปทั่วพื้น คนที่อยู่ในอาณาบริเวณนั้นถูกคมเล็บกรีดเป็นรอยแผลยาว --- บางคนถึงกับตัวขาดเป็นสองท่อน ---


.... “เฮ้ย” กิลลิสรีบตะกุยตะกายข้ามห้องมาดูเหตุการณ์สยองที่เกิดขึ้น เมยารีบเอามือปิดตา


.... “เพอร์เฟ็คต์ คาสเคด” ผมพึมพำ


.... “เป็นไปได้ยังไงน่ะ!” อีวานส์พูดละล่ำละลัก “เราพังเสาไฟฟ้าไปหมดทั้งเมืองแล้วนี่!”


.... ชาลส์กลับยืนอย่างสุขุม เขามองผ่านกล้องส่องทางไกลไปยังหุ่นยนต์พวกนั้น


.... “เฮ้ ชาลส์ ทำอะไรหน่อยซี...” อีวานส์พูดรบเร้าอย่างร้อนใจ


.... ชาลส์ยังคงไม่สนใจฟัง กลับถอดแว่นออกและแนบตาติดกับลำกล้อง สักครู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา หน้าตาของเขาดูอิดโรยมาก


.... “เกิดอะไรขึ้น” เอมาริลถาม


.... “มีคนใช้พลังจิตควบคุมหุ่นยนต์” ชาลส์พูด เขากดรีโมตฉายภาพของหุ่นตัวนั้นให้ดูบนจอ


.... “...นี่คือหุ่นยนต์ชื่อเพอร์เฟ็คต์ คาสเคด รูปลักษณ์ในตอนแรกของมันเป็นมนุษย์ มีผลต่อด้านจิตวิทยา มันจะกลายร่างเป็นคนที่เรารักที่สุด ทำให้เราโดนหุ่นยนต์หน่วยนี้จัดการไปก่อน.. แต่หลังจากที่มันถูกทำลาย มันจะกลายร่างเป็นหุ่นอสูรกายอย่างที่เห็น” เขาชี้ไปยังแบบจำลองของเพอร์เฟ็คต์ คาสเคดบนจอโปรเจคเตอร์ “ผู้ออกแบบอาวุธชนิดนี้จงใจให้มันสามารถตอบสนองกับเจตจำนงของเจ้าของอาวุธได้ด้วย --- หุ่นยนต์ชนิดนี้เลยสามารถควบคุมได้จากทั้งกระแสไฟฟ้าและพลังจิตครับ”


.... “แต่... ไม่น่าจะมีเด็กเซคันด์สเตจคนอื่นในโลกแล้วนี่” เมยาพยายามมองหาคลื่นพลังจิต


.... “ไม่ใช่เด็กครับ” ชาลส์พูด “แต่เป็นผู้ใหญ่ --- ใครสักคนทีมีอำนาจในการสั่งการกองทัพมากๆ”


.... จะเป็นใครกันที่มีอำนาจและใช้พลังจิตได้ --- เอล โดราโด้? --- หรือที่แย่กว่า --- เคจ ลาเรน?


.... เพอร์เฟ็คต์ คาสเคดยังคงบุกเข้าฉีกร่างของบรรดากองทหารราบจนเสียหายไปกว่าสามในสี่ และในตอนนั้นเอง หุ่นกระทิงตัวหนึ่งก็ย่อเข่าที่ทำจากข้อเหล็กที่หยอดน้ำมัน จากนั้นมันก็กระโดด --- ถ้าเรียกให้ถูกคือ “บิน” ตรงมายังพวกเรา


.... “สอยมันให้ร่วง!”


.... อีวานส์(ถือวิสาสะอย่างน่าเกลียด) เลื่อนมือไปกดปุ่มห่ากระสุน ก่อนที่ร่างของหุ่นเพอร์เฟ็คต์ คาสเคดตัวนั้นจะถูกบดขยี้เป็นเศษเหล็ก


.... “สำเร็จ!”


.... แต่อีวานส์ก็ดีใจได้ไม่นานเพราะทันทีที่เศษวัสดุนั้นร่วงลงสู่พื้น มันก็ต่อติดกลับขึ้นมาเป็นตัวใหม่


.... “เฮ้ย เป็นไปได้ยังไงกันน่ะ” อีวานส์ถึงกับมือสั่น


.... “หุ่นพวกนี้สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ทันทีครับ” ชาลส์พูด น้ำเสียงสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมนึกถึงตอนที่แกมม่าบั่นมันเป็นชิ้นๆก่อนที่มันจะกลายเป็นหุ่นอสูรกาย


.... “ทำยังไงถึงจะกำจัดหุ่นเปรตนี่ได้” เคลฟพูดพลางเขม้นตามองดูกองทัพที่ถูกหุ่นยนต์กระทิงเหยียบตายทั้งเป็น


.... “ตามที่ผมคาดนะครับ” เขาพูด


.... ทุกคนรีบหันมามองเขาเป็นตาเดียว “ไม่ต้องคาดอะไรทั้งนั้น นายทำอะไรได้รีบบอกเราเลย” ซินพูดอย่างร้อนรน


.... ชาลส์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุดของเขา “เราต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้กระแสพลังจิต ส่งไปไม่ถึงหุ่นยนต์พวกนั้น”


ทุกคนมองกันอย่างงงๆ ไม่มีใครเข้าใจความหมายของเขา


.... “สมมตินะครับ” ชาลส์อ่านสีหน้าของทุกคนออก “ว่ามีใบไม้แห้งกองหนึ่งอยู่ตรงพื้น แล้วมีลมเป่า มันก็จะปลิวใช่ไหมครับ” ทุกคนพยักหน้า “ถ้าสมมติว่าเราเอากองดินมากลับใบไม้ มันก็จะไม่ปลิวอีก”


.... “อ้อ! เข้าใจแล้ว” อีวานส์พูด “ขอผมดูไอ้นั่นหน่อย” เขาชี้ไปยังกล้องส่องทางไกล


.... แต่ส่องไปได้ครู่เดียวเขาก็ละสายตาออกมา เปลี่ยนมาใช้เรดาร์อายส์ --- เรียกง่ายๆว่าความสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางได้


.... “ฉันเจอแล้ว คนที่ส่งพลังมาจากทางนั้น” เขาชี้ไปยังหอคอยโฮลี่โรด


.... อีวานส์หันมายังทุกคน “หลังจากที่ฉันจัดการแล้ว --- ให้ทุกคนไปจับตัว คนที่ปล่อยคลื่นพลังจิตออกมา มันอยู่ในอาคารโฮลี่โรด ฉันเห็นแล้วล่ะ --- เคจ ลาเรนแน่ๆ” เขาพูด กระชากประตูยานให้เปิด


.... “เฮ้ยๆๆ นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!” ผมรีบวิ่งไปฉุดตัวเขาเอาไว้


.... “ฉันจะไปพังเขื่อน” เขาตอบ


.... “เขื่อน?” ทุกคนแทบจะพูดพร้อมกัน


.... “น้ำมันดินในเขื่อนที่ล้อมรอบเมืองไง --- ฉันจะชิงพังเขื่อนก่อนพวกมัน”


.... แล้วผมก็นึกออก --- ในวันที่เราประชุมแผนการรบ --- ในแผนผังโฮลี่โรด เขื่อนที่กั้นเหมือนปราการขั้นหนึ่งของตัวเมืองน่าแปลก เขื่อนนี้ใช้บรรจุน้ำมันดิน ไม่ใช่น้ำแบบเขื่อนทั่วไป


.... ...และผมก็เข้าใจในที่สุด น้ำมันดินในนั้น ใช้ในการสงครามนั่นเอง!


.... “อย่านะ อีวานส์ ไม่อย่างนั้นนายจะตายนะ!” กิลลิสพูด


.... “ใช่ ฉันตายแน่” อีวานส์พูดยิ้มๆ "แต่ฉันก็อยากให้การของฉันเป็นประโยชน์ของก็อด อีเดนและให้การตายของฉันเป็นที่จดจำ"


.... “น..นายมันวีรบุรุษชัดๆ” ผมพูด


.... “ใช่ --- และวีรบุรุษมักจะตายง่ายเสมอ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะใช้เท้ายันประตูจนเปิด และกระโดดลงไปยังพื้นดิน ก่อนที่ใครสักคนจะมาห้ามเขาทัน


.... พวกเราเห็นเขาใช้พลังจิตเทเลพอร์ต*ทหารที่เหลือรอดทุกคนของเมืองก็อด อีเดนให้กลับไปที่วอล์กเกอร์ออฟไลท์ เห็นเขาใช้พลังทั้งหมดที่มี ด้วยพละกำลังที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ การพังเขื่อนจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเด็กเซคันด์สเตจแบบอีวานส์ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือผลที่ตามมาต่างหาก


....เศษหินและปูนระเบิดกระจุยกระจายทันที น้ำมันข้นหนืดสาดกระเซ็นขึ้นไปในอากาศเหมือนคลื่นสึนามิ มันกวาดกองทหารราบของโฮลี่โรดเหมือนคลื่นทะเลที่เกรี้ยวกราด กระแสคลื่นซัดอากาศยานรบของเอล โดราโด้ตกลงไปในทะเลน้ำมัน พวกเราเห็นเขาลอยคออยู่ในน้ำมันข้นหนืดสีข้นคล้ำนั้น เขาหันหัวมาทางเรา และเขายกมือขึ้นป้องปาก ตะโกนมาจากเบื้องล่าง


.... “ลาก่อน!”


.... ในวินาทีเดียวกันนั้น เขาชักปืนอาก้าออกจากกระบอก เล็งไปยังจุดที่อยู่ไกลที่สุด ก่อนจะระดมยิงด้วยลูกกระสุนหัวไฟ


.... ทันทีที่ลูกกระสุนไฟสัมผัสพื้นผิวน้ำมัน มันก็ติดไฟโชติช่วงยิ่งกว่าเก่า ลูกไฟลามเลียไปทั่วผิวของเหลวหนืดนั้นเหมือนไฟป่า ก่อนที่วงแหวนไฟจะแผ่ขยายไปจนทั้งเมือง เขม่าดำลอยขึ้นเหมือนควันของมังกรคลุ้ง ทันทีที่ลูกไฟสองลูกชนกระแทกกัน มันก็กลายเป็นระเบิดเพลิงลูกมโหฬาร
นี่เท่ากับอีวานส์สังเวยชีพของตนเพื่อเผาโฮลี่โรดทั้งเมือง เข่าของผมกระแทกลงบนพื้น เขาจากไปเร็วกว่าที่ผมจะทันได้ตั้งตัว


.... “อีวานส์ ไม่นะ!!!!”





________________________________________________________





.... ไฟโลกันตร์ครั้งนี้เหมือนจะเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์ ทว่าหลังจากนั้นห้าชั่วโมง ไฟก็ค่อยๆมอดดับลงในที่สุด ชาลส์จอดยานสเปซเดลต้าของเดอะเลอกูนไว้บนซากของตึกสูงที่พังถล่มลงมา พวกเราลงจากยาน แล้วก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพความเสียหายเบื้องหน้า


.... อาคารแทบทุกหลังพังทลายลงมาทันทีที่น้ำมันมหาศษลกระแทกใส่ ทุกตารางนิ้วมีควันขโมงลอยกรุ่นอยู่ บนพื้นตอนนี้ได้แปรสภาพเป็นพื้นเจลหนืดสีคล้ำ เมื่อเหยีบลงไป คราบน้ำมันก็จะติดรองเท้าเหมือนน้ำผึ้งหนืดๆ ก่อนจะกลับไปรวมตัวอยู่ที่เดิม


.... การเผาเมืองโฮลี่โรดเมืองทำให้เพอร์เฟ็คต์ คาสเคดทุกตัวถูกฝังและเผาทำลายจนไม่สามารถสั่งการได้อีก ปัญหาตอนนี้คือ “ใคร” ก็ตามที่เป็นผู้ควบคุมเพอร์เฟ็คต์ คาสเคดเสียชีวิตในกองเพลิงแล้วหรือยัง


.... ท่ามกลางกลุ่มควันและฝุ่นที่ลอยคลุ้งอยู่นั้น ร่างๆหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากชั้นน้ำมันดินใกล้กับอาคารโฮลี่โรด ก่อนจะลงมาเหยียบพื้นดินอย่าสง่างาม


.... “อีวานส์... งั้นเหรอ” ผมพึมพำ


.... แต่อีวานส์ไม่ตัวสูงขนาดนี้ เขามีกล้ามเนื้อมากกว่านี้ เขาไม่ได้มีผมยาว --- และเขาไม่ใช่ผู้หญิง ถ้าเช่นนั้น นี่คือเงาร่างของใครกัน


.... เงาของหญิงสาวคนนั้นปล่อยคลื่นบางอย่างที่มองดูคล้ายลูกไฟสีน้ำเงินจัดมายังกลางกลุ่
มกลุ่มเดอะเลอกูน พวกเรารีบวิ่งหลบโดยสัญชาตญาณ ก่อนที่มันจะระเบิดออก เป่าทุกอย่างในรัศมีห้าเมตรให้กระจุย เหวี่ยงผมกลิ้งตลับไปหลายเมตร


.... เมื่อควันจางลง ผมสำลักควันขณะที่หยีตามองผ่านฝุ่นคลุ้ง ผู้ที่มีเจตนาจะฆ่าเราเมื่อครู่เดินเข้ามา และผมก็เผชิญหน้ากับเธอเต็มสองตา



.... ...เคจ ลาเรน








_______________________________________________________
To Be Continued






Talk With Writer

อีวานส์ตายอย่างสยองมาก T.T แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเค้าจะกลับมาเอง 555
มีคนถามว่า ทำไมต้องให้อีวานส์ตายด้วย ก็จะตอบง่ายๆว่า "อีวานส์จะกลับมาภาค 2 ค่า !!!!!"

ปั่นสุดแรงเกิด กลัวดอง TT // เลิกหวังจะได้รางวัลมานานแสนนานแล้ว 5555







________________________________________
*เทเลพอร์ต (Teleport) - การเคลื่อนย้ายวัตถุหรือบุคคลในระยะทางไกล เป็นพลังจิตรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 11 2013, 01:24 PM
โพสต์ #17


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Chapter 14
The Girl In The Armor







.... ทันทีที่เธอหันหน้าอันงดงามทว่าดุร้ายมายังผมแล้วย่อเข่าลง ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่าผมเคยเจอผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ในวันที่พวกเราโหยหาอิสรภาพและสามารถหนีออกมาได้ ดวงตาแบบนี้ --- มีแต่ คลารา เจน คนขับยานเมคาเนียม เซิร์จ คนนั้นนี่เอง

.... เคจ ลาเรนกระโจนข้ามกองซากปรักหักพังด้วยพละกำลังมหาศาลตรงมายังผม ผมรีบระดมยิงใส่เธอด้วยปืนหัวระเบิดทำลายล้าง แต่ลูกกระสุนเพียงแต่แฉลบออกไป ก่อนจะระเบิดออกที่อื่น ซากอาคารที่เหลือเพียงตอตะโกกลายเป็นฝุ่นผงสีดำที่ปลิวกระจัดกระจายตามแรงลมทันทีที่มันระเบิดออก เธอต้องใส่เกราะที่ทำจากออปติคอล ไฟเบอร์ รุ่นล่าสุดที่สามารถกันกระสุนและทนทานต่ออาวุธทุกชนิดได้ในระดับสูงมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะโจมตีเธอด้วยอาวุธใดๆ


.... ผมรู้ว่าตัวเองสิ้นหนทาง เคจ ลาเรนกำลังจะมาปลิดชีพของผมด้วยลำกล้องปืนมรณะในมือของเธอ แต่ดูเหมือนว่าลาเรนไม่ได้จงใจจะฆ่าผมให้ตายด้วยปืนนัดเดียว --- เธอกำลังจะทรมานผมให้ตาย


.... เคจใช้เข่าทั้งสองข้างและมือซ้ายกดผมให้แนบติดกับพื้นในขณะที่ผมพยายามดิ้นหาทางเอาตัวรอด เธอตัวหนักมาก (คงเป็นเพราะเกราะหนาที่สวมอยู่กระมัง) และเธอก็ยึดผมไว้แน่นจนผมแทบจะขยับปลายนิ้วไว้ไม่ได้


.... “เฟย์!” เสียงของหน่วยเดอะลากูนคนใดคนหนึ่งตะโกน ก่อนจะวิ่งตรงมายังผม


.... เคจแสยะยิ้ม ก่อนจะปล่อยคลื่นพลังบางอย่างออกมา ทุกคนมองด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะฟุบลง แน่นิ่งไป


.... “เฟย์ ลูน” เธอพูด “เคยเจอกันแล้วสินะ จำฉันได้ไหม --- ฉันคือ คลารา เจน ไงละ ฉันอุตส่าห์เข้ามาสอดแนมเธอตั้งแต่ออกมาจากโฮลี่โรดเชียวนะ” เธอยักคิ้วให้อย่างท้าทาย


.... ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ คลารา เจน --- เคจ ลาเรน ผมเห็นความชาญฉลาดในการสลับชื่อทั้งสอง โดยมีแหล่งที่มาจากที่เดียว* ถ้าเช่นนั้น การคาดเดาของผมก็ถูกต้อง


.... “ก..แก เป็นเด็กเซคันด์สเตจงั้นเหรอ” ผมเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก


.... “โอ๊ะโอ... ความลับแตกเสียแล้ว” ลาเรนยิ้มอย่างยียวน “ใช่แล้ว.. ฉันก็คล้ายๆกับเด็กเซคันด์สเตจนั่นแหละ --- แต่ว่าฉันไม่กระจอกอย่างพวกแกหรอก ที่ต้องพึ่งการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อที่จะมีพลังเหนือมนุษย์ชั้นต่ำที่น่ารังเกีย --- โอ๊ะ!”


.... คำพูดสุดท้ายของเธอขาดหายไปเพราะใครบางคนกระแทกเธอเข้าอย่างจังจากด้านหลัง


.... “ดร.เคน!”


.... “อาซูเรย์?!”



.... ดร.เคนหลบคลื่นพลังจิตลำใหญ่ที่ลาเรนปล่อยออกมาได้ก่อนจะปล่อยไซบอลลูกใหญ่กลับไป ทั้งคู่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หวังจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย


.... “อย่า-มา-ยุ่ง-กับ-ลูกชาย-ของ-ฉัน!” ดร.เคนกล่าวขณะที่พยายามต้านคลื่นพลังของเคจ ลาเรน


.... ลูกชาย...ลูกชายของดร.เคน?! ผมตะโกนอยู่ในใจ


.... “ไม่ต้องห่วง ฉันจะยุ่งกับนายก่อน --- แล้วค่อยยุ่งกับลูกชายนาย... เฟย์ใช่ไหม? --- ใช่ ฉันจะฆ่าแกก่อน แล้วค่อยจัดการมัน”


....“อย่ายุ่งกับเฟย์! เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ!” ดร.เคนตะคอกกลับไป


.... คลารา เจน นิ่งเงียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความท้าทาย


.... “หยุดบ้าเสียที!” ดร.เคนพยายามพูดเตือนสติลาเรน


.... “หุบปากแล้วถอยไป อาซูเรย์!” ลาเรนตะโกน


.... “ไม่! ฉันจะไม่ยอมให้เธอทำผิดมหันต์ไปอีกแล้ว!”


.... “เฮอะ! คนทรยศ!”


.... “ฉันยอมทรยศ ถ้าหากนั่นจะทำให้เธอหยุดทำลายโลกนี้” เขาเค้นเสียง


.... “ไม่มีวัน!”


.... ลาเรนแสยะเขี้ยวก่อนจะทุ่มดร.เคนลงบนพื้นด้วยพลังคลื่นแสงของเธอ ดร.เคนกุมท้องตรงที่ถูกคลื่นพลังอัดเข้าไปเต็มๆ


.... นาทีนั้น ผมก็เข้าใจทุกสิ่งที่ดร.เคน --- หรืออาซูเรย์ ลูน พ่อของผมพยายามทำ ทั้งการช่วยผมออกจากคุก การเอาตัวเสี่ยงอันตราย เขาคอยดูแลผมอยู่ไม่ห่าง... เพราะผมเป็น...ลูกชายของเขา..ลูกชายของเขา


.... “ม่ายยยยย!!!” ผมรวบรวมพลังจิตไว้ที่มือแล้วส่งกระแสไฟฟ้าไปยังลาเรน ซึ่งเธอหันขวับกลับมา แล้วปล่อยลำแสงออกมาได้ทันควันก่อนที่พลังของผมจะฉีกร่างของเธอเป็นชิ้นๆ


.... “โอ้.. ลูกชายตัวกะเปี๊ยกของอาซูเรย์ น่าสนใจจริง” เธอพูดพลางแยกเขี้ยว


.... “แกต้องการอะไร” ผมถาม พยายามหยีตาไม่ให้แสงสว่างจากกระแสพลังทั้งสองเข้าตาของผมมากเกินไป


.... “จริงซี ถ้าไม่เล่าอะไรเลย แกก็คงตายตาไม่หลับสินะ” เธอโคลงหัวไปมา


.... “หมายความว่ายังไง ลาเรน”


.... “ก็...เรื่องในอดีตไงเล่า เจ้าฮีโรตัวกะเปี๊ยก นึกซะว่าเป็นคาบประวัติศาสตร์ของเคจ ลาเรน กับการก่อตั้งเด็กเซคันด์สเตจ ก็แล้วกันนะ”


.... เคจ ลาเรน ทำหน้าสบายๆ ขณะที่ใช้มือข้างเดียวป้องกันพลังของผมทั้งหมดในขณะที่ส่งกระแสพลังอีกลำกลับมาด้วย


.... “เพื่อไม่ให้เสียเวลาละกัน” ลาเรนพูดพลางหาว เธอหัวเราะขณะที่ผมพยายามจะต้านทานพลังของเธอ มันช่างมหาศาลเหลือเกินจนผมกลัวว่าตัวเองจะต้านไม่ไหว


.... เคจ ลาเรนสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขัดกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น


.... “ฉันเกิดเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ในสมัยนั้น ผู้คนยังหวาดระแวงเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ พวกเขาหวาดระแวงเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างเช่น --- การที่เด็กทารกเกิดใหม่บางคน สามารถใช้พลังจิตได้ อย่างที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ เด็กพวกนี้ทุกคนเกิดในคืนที่ดวงจันทร์หายไปจากฟ้า หรือคืนจันทรคราส ผู้คนจารในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มันคือคืนต้องคำสาป --- เมื่อเด็กที่เกิดในคืนนั้นทุกคนมีพลังพิเศษเหนือกว่าชนชั้นต่ำพวกนั้น... พวกเขาถึงกับเรียกพวกเราว่า เด็กปีศาจ” เคจ ลาเรนพูดด้วยน้ำเสียงชิงชัง พลางเพิ่มกระแสพลังใส่ลำแสงจนเกือบทำให้ผมทรุด ผมพยายามเร่งพลังเข้าไป แต่ก็ต้องพยายามไม่ให้พลังจิตเกิดอาการโอเวอร์ไดรฟ์**


.... “ฉันคือหนึ่งในเด็กพวกนั้น” เคจ ลาเรนพูดต่อ น้ำเสียงสั่นน้อยๆ “พวกรัฐบาลพยายามกวาดต้อนพวกเรา แต่แน่ล่ะ --- พวกเราสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยพลังของเรา ไม่นานต่อจากนั้น ฉันก็ได้เจออาซูเรย์” เธอทำหน้าเหมือนรำลึกถึงความทรงจำแสนหวานในอดีต “เขาถูกไล่กวดหลังจากที่พวกผู้พิทักษ์เจอเขา ฉันช่วยเขาไว้ เราเริ่มรวมตัวบรรดาเด็กที่มีอำนาจพิเศษ เพื่อเรียกร้องสิทธิของเรา --- ในที่สุด เราก็เป็นฝ่ายชนะ” ลาเรนเอาลิ้นเลียริมฝีปาก


.... “ฉันกับอาซูเรย์เป็นคู่รักกันในตอนนั้น” คิ้วของลาเรนขมวดมุ่น มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย “แต่ทันทีที่เราได้สิทธิของเรากลับมาแล้ว ฉันก็คิดว่า เราควรจะได้ปกครองคนที่ต่ำต้อยกว่า แย่กว่า ด้อยกว่า แต่อาซูเรย์ไม่เห็นด้วย เราเทลาะกันอย่างรุนแรง ในที่สุด เขาก็ไป --- ก็ดีเหมือนกัน” เสียงของเธอเจือด้วยความขมขื่น “หลังจากนั้น มันก็ไปร่วมกับกลุ่มกับพวกวอล์กเกอร์ออฟไลท์ ... ชนชั้นต่ำที่พยายามจะขัดขวางแผนการของฉัน ด้วยกองกำลังแค่หยิบมือนั่นน่ะแหละ แล้วก็ไปพบรักกับยัยมิสตร้า แล้วก็มีแกออกมายังไงล่ะ” เคจ ลาเรนหันไปมองอาซูเรย์ ลูนด้วยสีหน้าจงเกลียดจงชัง


.... “แต่ในที่สุด พวกมันก็แพ้ ฉันฆ่ามิสร้า จับอาซูเรย์ขังคุกพร้อมกับบรรดาแม่ทัพของพวกมัน จับลูกของพวกมัน รวมทั้งแก มาดัดแปลงพันธุกรรม --- เป็นการทรมานตามสิ่งที่ฉันเป็น และก็ได้ทั้งโลกมาอยู่ในกำมือ”


.... “และตอนนี้ ฉันก็จะทำลายแก พร้อมกับคุณพ่อแสนดีของแกไงล่ะ!”


.... ดูเหมือนลาเรนจะเอาจริง และถ้าหากเธอเอาจริง ผมก็จะไม่มีทางรอด


.... ผมพยายามเค้นสมองหาวิธีเอาตัวรอด คิดสิ..คิดสิ..คิดสิ


.... ในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงสิ่งสุดท้ายที่คุณแกมม่าให้ผมไว้ได้ --- ปืนมิติที่ใช้เปิดรู้หนอนไงล่ะ


.... ผมรีบดึงปืนมิติออกมา จังหวะเดียวกับที่เคจ ลาเรนระเบิดพลังสุดท้ายออกมา เธอโอเวอร์ไดรฟ์แล้ว


.... “ไปเลย!”


.... ผมเหนี่ยวไก เปิดรูหนอนขนาดใหญ่ ดูดพลังงานมหาศาลทั้งหมดที่มาจากผมและลาเรน เนื่องจากรูหนอนเป็นทางเชื่อมมิติเวลาทั้งหลายเข้าด้วยกัน ผมจึงดูดกลืนรังสีทั้งหมดเข้ารูหนอนไปได้ทั้งหมด


.... “ยังไม่จบหรอกนะ” ผมยิ้มให้กับหน้าที่ดูตกตะลึงของเคจ ลาเรน ก่อนจะเลื่อนปุ่ม “PAST TIME RE-RELESE” หรือปุ่มที่จะพาสิ่งที่ถูกบรรจุในลำกล้องกลับไปยังที่เดิมที่มันถูกดูดมา


.... ทันทีที่ผมกดปุ่มนี้ รูหนอนอีกอันก็ถูกสร้างขึ้น ด้านหลังเคจ ลาเรน --- บริเวณต้นคอที่ไร้การปกป้องจากออปติคอลไฟเบอร์


.... ลำแสงนับร้อยระเบิดออก เผาร่างของลาเรนในชุดเกราะจนหลอมละลาย ส่วนที่หักเหออกจากเสื้อเกราะสีเงินสะท้อนไปต้องซากปรักหักพังระเบิดกระจุยกระจายไม่
ต่างจากกรงใยแสงที่ส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่ากลางวัน...


.... และแล้ว มันก็สิ้นสุดลง ร่างของคลารา เจน ผู้ที่ปรารถนาจะครอบครองโลกมาครั้งหนึ่ง สิ้นสุดอย่างปถุชนธรรมดาที่ไร้อำนาจพิเศษ สิ่งที่คงเหลือคือประวัติศาสตร์โลกที่ผู้คนจะกล่าวขานต่อไปถึงความเหี้ยมโหดของนักรบ
หญิงในเสื้อเกราะผู้ทะเยอทะยานแลหลงผิดคนนี้ --- นี่คงเป็นบทสุดท้ายของ เคจ ลาเรน


.... ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงลมพัดเบาๆเท่านั้น










_______________________________________________________
To Be Continued







Talk With Writer

ถ้าตามเทคนิคแล้ว อันนี้เป็นตอนจบ เย้! ><
แต่ถ้าตามความคิดมาร์แล้ว ขอลงบทท้ายอีกซักบท เพื่อความมันส์ส่วนบุคคล ขออีกซักบท

อ้อ แล้วสำหรับคนที่ถามมาตอนแรกนะคะ ตอนแรกไม่ตอบเพราะกะให้อ่านบทนี้ก่อน
1.ดร.เคน ชื่อจริงคือ อาซูเรย์ ลูน เป็นพ่อของเฟย์ค่า
2.ดร.เคนไม่ใช่เด็กเซคันด์สเตจ แต่ใช้ความสามารถแบบเด็กเซคันด์สเตจได้เพราะเป็นความสามารถตั้งแต่เกิด
3.คนที่เฟย์กับพรรคพวกเจอตอนไปถึงก็อด อีเดนตอนแรกแล้วบอกว่าเฟย์เป็นรุ่นน้อง ความจริงแล้วเป็นรุ่นน้องคนที่แหกคุกมาด้วยกันค่ะ


ตอนต่อไปจะเป็นตอนสุดท้ายนะคะ แล้วก็จะอวสานภาคแรกแล้ว เย้ เย้ เย้ ไม่ดอง :')









________________________________________
*ชื่อของคลารา เจน มาจากคำว่า เคจ ลาเรน นำมาเรียงตัวอักษรใหม่
**โอเวอร์ไดรฟ์ (Overdrive) คือสภาวะที่พลังไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 14 2013, 11:11 AM
โพสต์ #18


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Conclutions
The Last Superior







.... “เฟย์!”


.... เสียงเรียกของดร.เคนเรียกชื่อของผม ผมรีบหันไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งใจนึกกลัวว่าจะเป็นลูกไม้ของคลารา เจนที่จะหลอกฆ่าผมทันทีที่หันไป ผมนึกกลัวจับใจว่าลาเรนจะยังไม่ตาย ซึ่งหมายถึงหายนะของผม


.... แต่ที่เห็นอยู่ ไม่ใช่หญิงสาวผมสีเงินคนนั้น กลับเป็นชายที่ผมคุ้นเคยดี ดร.เคน --- เขาจับผมสีดำเข้มของตัวเองและดึงมันไปข้างหลัง พร้อมกับถอดแว่นออกจากตา --- ผมสีดำถูกแทนที่ด้วยสีเขียวอ่อน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อนเหมือนท้องฟ้ายามเช้า ทุกอย่างบนตัวของเขาดูเหมือนผมทั้งหมด ทั้งสีผม สีตา หน้าตา... เขาคือพ่อของผมจริงๆ


.... ผมวิ่งห้อเต็มฝีเท้า ตรงรี่เข้าไปหาเขา และกระโดดกอด พ่ออุ้มผมขึ้น ผมพยายามกอดพ่อให้แน่นที่สุด กลัวว่าจะถูกพรากไปจากท่านอีก


.... “เฟย์ ... เฟย์ พ่อขอโทษ” พ่อพูดด้วยเสียงสั่นเครือ


.... “เรื่อง... ขอโทษอะไรครับ”


.... “พ่อปล่อยให้แม่ตาย ในวันนั้น” ท่านถอนหายใจเบาๆ “พวกเราบุกเมืองโฮลี่โรด แต่เคจ --- เธอช่างร้ายกาจ --- พ่อไม่กล้าเผชิญหน้ามัน ล..แล้วมันก็ฆ่ามิสตร้า แม่ของลูก แล้วมันก็ชิงตัวลูกไปได้ ทำให้ลูกกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่ผิดจากธรรมชาติ พ...พ่อขอโทษ” อาซูเรย์ปล่อยน้ำตาสองสายให้ไหลลงมาขณะที่ซุกหน้าลงในเรือนผมสีเขียวอ่อนของผม


.... “ช่างเรื่องอดีตเถอะครับ” ผมบอก พลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของพ่อออกจากหน้า “ถึงผมจะไม่มีวันได้เห็นหน้าของแม่ แต่ผมก็รู้ว่าท่านรักผมมากแค่ไหน”


.... พ่อปล่อยผมลงจากพื้น พวกเรายอมแยกออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกปื๊ดๆ ดังมาจากข้างหลัง --- เสียงของเมยาสะอื้นนั่นเอง


.... “ไม่ใช่ดราม่ากลางแปลงนะ” ผมพยายามพูดให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น..แบบที่อีวานส์เคยทำ


.... เมยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าของกิลลิส


.... ตอนนี้ผมเห็นทุกคนในเดอะเลอกูนได้เต็มสองตา ทุกคนดูไม่จืดเสียทีเดียว ตามเนื้อตัวเลอะเทอะไม่ด้วยฝุ่น เขม่าควัน และเด็กผู้หญิงบางคนอย่างกาเลเทียและเมยา ดูเหมือนว่าผมของทั้งคู่จะถูกไฟไหม้ไปเจ็ดนิ้วเป็นอย่างน้อย


.... “เราตรวจดูทั่วทั้งอาคารโฮลี่โรดแล้ว เราเจอตาแก่เอล โดราโด้ นอนขดอยู่ในห้องบรรชาการ เขากลัวเราเหมือนลูกหนูเลย” แกโรพูด “ฉันกับเรย์ซ่าก็เลยจัดการกระทืบมันจนตายคาที่เลย” แกโรเอามือโอบบ่าเรย์ซ่า ส่วนเจ้าตัวก็ปัดมือของเพื่อนครึ่งคนครึ่งม้าออกอย่างเขินๆ


.... “ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสงครามจะสงบแล้ว ผมจัดการส่งคนไปช่วยดูแลประเทศที่เคยตกอยู่ในอำนาจของโฮลี่โรดเรียบร้อยแล้ว” เนธานพูด พลางปิดข้อมือสื่อสาร “ส่วนชาวเมืองโฮลี่โรด เมื่อยี่สิบสามนาทีที่แล้ว ผมออกไปเจรจากบพวกเขา และพวกนั้นก็ยินดีที่จะไปอาศัยชั่วคราวที่ก็อด อีเดน --- เรายังมีอาคารว่างๆอีกหลายที่เลย ในระหว่างที่เราฟื้นฟูโฮลี่โรดขึ้นมาใหม่ แต่ตอนนี้ คงต้องเป็นเวลาที่พวกเราจะหันมาร่วมแรงร่วมใจ สร้างโลกใหม่ ที่นี่ ผมจะวางนโยบายใหม่ ไม่ให้องค์กรใดใช้ระบบเผด็จการได้อีก ประชาชนจะสามารถตัดสินใจและมีชีวิตได้อย่างอิสระ”


.... สันติภาพจะกลับคืนมา ผมบอกกับตัวเองอย่างนี้ และค่อนข้างจะแน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ยุคของเคจ ลาเรนและเอล โดราโด้สินสุดไปแล้ว





________________________________________________________






.... สี่เดือนหลังจากสงคราม ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทางขึ้น --- ชาลส์ เนธาน ได้เป็นประธานาธิบดีชั่วคราวของโฮลี่โรด และถาวรในเมืองก็อด อีเดน คนทั่วโลกยังชื่นชมและยกย่องให้เขาเป็น “อัจฉริยะสมองกล” ตัวจิ๋วอีกด้วย --- โฮลี่โรดได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ ประชากรเดิมส่วนใหญ่ย้ายกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน แต่บางส่วนก็ยังอยู่ที่ก็อด อีเดน (พวกเขาบางคนบอกว่า “ชอบระบบจาคูชี่ในอ่างอาบน้ำของที่นี่มาก”)


.... มีการมอบเหรียญกล้าหาญให้กับทหารทุกหน่วยที่เข้าร่วมสงครามเมื่อสี่เดือนก่อน --- ที่ล่าช้าเพราะบางคนที่ถูกเพอร์เฟ็ต์ คาสเคดฟาด แต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังคงมึนๆว่าที่นี่คือที่ไหน เดือนอะไร และชื่อของพวกเขาคืออะไร กว่าที่เนธานจะหาวิธีเรียกความจำของพวกนั้นกลับมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อย (“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ก็ผมร่างกฎใหม่ว่า ประชาชนจะได้รับสวัสดิการในการรักษาพยาบาลฟรี” ชาลส์พูดหลังจากที่ผมเห็นเขาวุ่นวายอยู่ในแผนกในโรงพยาบาลทั้งวัน)


.... แม้ว่าศพของทหารบางนายจะไม่สามารถหามาได้ แต่เราก็มีหลุมศพที่ดูอลังการมากให้พวกเขา เป็นหอใหญ่หอหนึ่งที่จารึกชื่อ คุณงามความดีของพวกเขาเหล่านั้นไว้ละเอียดยิบ


.... แต่สำหรับผม ผมรู้ดีว่าอีวานส์และคุณแกมม่าไม่ต้องการความหรูหราฟู่ฟ่าเหล่านี้แม้แต่น้อย พวกเขาต้องการให้การตายนั้นมีค่าและเป็นที่จดจำเท่านั้น



.... “มาอยู่ในห้องนี้อีกแล้วเหรอ เฟย์”


.... ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่เผลอนั่งหลับอยู่หน้ารูปของอีวานส์ในหอเกียรติยศแห่งผู้ล่วงล
ับ --- กาเลเทียนั่นเอง


.... “โทษที เกล” ผมพูดอ่อย ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว


.... “ยังทำใจไม่ได้เหรอ”


.... “อื้อ...” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะกลับไปนั่งเอาหัวซุกในหว่างขาอีกครั้ง


.... “นี่ ไอ้หัวเขียว ทำตัวให้เหมือนลูกผู้ชายหน่อย!” เสียงพูดหนักๆดังขึ้นข้างหัว


.... “เซธ?” ผมรีบลุก กลัวว่าเขาจะมาต่อยผมเข้าที่ตา


.... “ทำตัวอย่างนี้ เดี๋ยวฉันก็ไม่ไว้ใจให้ดูแลเกลหรอก” เขาพูดอย่างเหนื่อยหน่าย


.... “ห๊ะ..” ผมพูดอย่างไม่เชื่อหู


.... “ฉัน-ให้-นาย-ดูแล-เกล --- เข้าใจไหม” เซธพูดสบายๆ แต่น้ำเสียงเจือด้วยความขบขันเล็กน้อย


.... “ทำไมครับ” ผมหยิกขาตัวเองแรงๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป


.... “ก็ฉันต้องไปเป็นทหารประจำกองในกรีก --- ตอนแรกฉันกะจะพากาเลเทียไปด้วย แต่ที่นั่นเขาไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าไปร่วม ฉันก็เลยต้องปล่อยเกลไว้ที่นี่” เขาพูด


.... “จริงหรือครับ” ผมพูด แทบจะกระโดด


.... “ก็เออน่ะสิ” เซธตอบอย่างเหนื่อยหน่าย


.... เซธเซไปเล็กน้อยเมื่อกาเลเทียพุ่งเข้าหาอย่างแรง ก่อนจะรัดแขนไว้รอบคอของพี่ชาย


.... “หนูรักพี่นะคะ” กาเลเทียพูด ก่อนจะหอมแก้มเขาทีหนึ่ง ทำให้เซธแทบจะเป็นลมทั้งยืน


.... “ฉันต้องไปแล้ว” เซธบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกไปยังทางออกของหอเกียรติยศ


.... “เซธ” ผมเรียกชื่อของเขา เซธหันกลับมาในวินาทีสุดท้าย หันมาจ้องหน้าผม


.... “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ”


.... เซธยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้ม ทำให้ใบหน้าของเขาดูหนุ่มขึ้นห้าปี


.... “เฟย์ ลูน” เขาบอก “ฉันเชื่อว่านายจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกอนาคตแน่ๆ --- เชื่อฉันสิ”












_______________________________________________________
.THE END.



(To be continued at The Human's Revolution II : The New World Children)







แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post
Mariona Rinorean
โพสต์ May 14 2013, 03:11 PM
โพสต์ #19


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 1

****




กลุ่ม : นักเรียนฮอกวอตส์
โพสต์ : 520
เข้าร่วม : 30-January 11
จาก : Solari
หมายเลขสมาชิก : 12,385
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

สัตว์เลี้ยง





Long Talk With The Owlet


จบแล้วจ้าพี่น้อง ตอนนี้ก็มาเม้ามอยกันดีกว่า

ไม่น่าเชื่อ นี่คือฟิคเรื่องแรกที่แต่ง จบ!!!! O0O ตบมือให้ตัวเอง ฮ่าๆๆ

ไม่รู้ว่าตอนสมัครฟิคคอนเอาอะไรมาคิดให้แต่งไซไฟ อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นกำลังบ้าอินาสึมะโครโนสโตน

ตอนแต่งก็มีเพื่อนแสนดีคนหนึ่งและน้องชายจอมกวนมาช่วยติ แนะนำให้เปลี่ยนพลอต
ทำให้ฟิคเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างไม่ค่อยล้นหลาม 555 (เจ้าตัวไม่ขอออกนาม ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน) ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง บุญคุณนี้จะไม่ลืมเลย TT

ถามว่าตอนเขียนเรื่องนี้ เครียดไหม ตอบว่า เครียดมากกก TT เพราะว่าเป็นไซไฟเรื่องแรกที่เคยเขียน + ขาดความรู้มาก (ฟิคจะไม่เป็นไซไฟทันทีที่ไม่มีเรื่องการตัดต่อพันธุกรรม)
กว่าจะเขียนบทแรกออกมาได้แต่ละหน้า ต้องแลกมาด้วยค่าไฟ (ไฟโน๊ตบุ๊ค) และหยาดเหงื่อมหาศาล (แอร์เสีย ไม่มีพัดลม // เศร้า) แถมตอนนั้นยังใกล้สอบด้วย
ก็เลย หยุดเขียนไปพักนึง สอบติดแล้วก็มาเขียนต่อ (ช่างเป็นเด็กขยันเรียนอะไรอย่างนี้ - -)

ในตอนที่กำลังจะถอดใจ (ตอนประมาณบทที่ 7) เจ้าน้องตัวกวนก็บอกว่า “พี่ ไปดูพี่มากกัน” ตอบไปว่า “เห้ย ยังเขียนไม่เสร็จ”
แต่ไหนๆมันบอกว่าจะเลี้ยงปอปคอร์นก็เลยยอมไปดู พอเข้าโรง ดูพี่มาก กลับมา หายเครียด ปั่นตอจนเสร็จ เลยต้องไปกราบขอพระคุณไอน้องที่ทำให้สามารถเขียนต่อได้

ตอนนี้ มาดูฟิคคนอื่น ก็รู้สึกว่า “ฟิคตูอึนเหลือเกิน” ก็เลย เลิกหวังแล้วว่าจะได้รางวัลจากฟิคคอนครั้งนี้แล้ว


ดังนั้น!


ขอแค่เขียนจบก็บุญแล้ว มาร์เอ๋ย =[]=;;;




...นกฮูกมาร์...
(Mar the Owlet)


ปล.โตๆ อย่าลืมไปอ่านฟิค “จองจำในสุวรรณนคร” + “The Human’s Revolution II” ด้วยจ้า
อีกซัก ปล. ฟิคคอนคราวหน้าคงจะเขียนแนวอิงประวัติศาสตร์เหมือนเรื่องจองจำ ถ้าแข่งนะ (ไซไฟไม่ไหวละ O0O ;;;)



แค่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แค่เพียงการตัดสินใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
แค่ความหลงผิดก็ทำให้ชีวิตของใครบางคนไม่มีทางหวนคืน

...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ดวงตะะวันคล้อยลับขอบฟ้าไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านนิยาย When the sun goes downคลิกเพื่อวาร์ป
Go to the top of the page
+Quote Post

Closed TopicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 22nd May 2024 - 05:41 PM