IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Closed TopicStart new topic
> The most of Magician., "เมื่อกี้ คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ!?"
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 5 2012, 08:14 PM
โพสต์ #1


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง







..อันสตรีผู้มาพร้อมกับ เสียงเพลง ประวัติศาสตร์จะ ซ้ำรอย ความรักคือ อุปสรรค
เธอคือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหม่ ความหวัง ของชาวเมจิกเชี่ยน!!


"เมื่อกี้ คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ!?"


----------------------------------------------------------------



~~...coming soon...~~


----------------------------------------------------------------



~~...Fantasy-Drama...~~



ชี้แจง
- ฟิคชั่นเรื่องนี้ เป็นฟิคชั่นที่รวบรวมเหตุการณ์จากวรรณกรรมหลายเรื่องที่ผู้แต่งชอบ แล้วเอามาพลิกแพลง
- ฟิคชั่นเรื่องนี้ เป็นการบรรยายในสองมุมมองคือ มุมมองของพระเอก และนางเอก
- ฟิคชั่นเรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกของผู้แต่ง หากผิดพลาดประการใด ขอให้ผู้อ่านช่วยแนะนำ ตักเตือน หรือจะให้กำลังใจได้ที่ ห้องวิจารณ์ผลงาน





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 5 2012, 08:25 PM
โพสต์ #2


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






บทนำ

ผู้คนราวๆยี่สิบคนสวมเสื้อสีดำยืนเรียงแถวเป็นระเบียบในห้องอันโออ่า ห้องกว้างขว้างถึงขนาดที่รถบรรทุกขนาดใหญ่ยังสามารถเข้ามาจอดได้ แต่พวกเขากลับยืนเบียดเสียดกัน ราวกับว่าถ้าแยกจากกันเมื่อไหร่ความตายจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา

...”เงียบ!” เสียงตวาดจากบุคคลที่นั่งหันหลังไขว่ห้างอยู่ข้างหน้าพวกเขามีอิทธิพลทำ ให้ทั่วบริเวณเงียบกริบ ไม่เว้นแต่ในห้องเท่านั้น เสียงอันทรงอำนาจส่งผลให้ทั่วทั้งปราสาทเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ ณ บริเวณแห่งนี้ ไม่กี่อึดใจ บุคคลอันเป็นที่มาของเสียงก็หมุนเก้าอี้หันมาสบตากับผู้ที่อยู่ใต้อาณัติ ดวงตาคมสีนิล ขอบตาดำหนาราวกับเอามาสคาร่ามากรีดโดยช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ผมสีดำสนิทนั้นเพิ่มความน่ากลัวให้เขา เขากวาดสายตามองไปยังพวกที่ยืนอยู่ตรงหน้า และพลันมาหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่ง

“เธอ! ก้าวออกมา” เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้น สายตาทุกคู่มองไปหาหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมาย แต่พูดคุยกันได้ไม่นานก็ต้องเงียบลง เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ตวัดสายตาอาฆาตไปให้ หญิงสาวผู้นั้นสูดหายใจลึก แล้วก้าวออกมาหนึ่งก้าว เธอแต่งกายในชุดกล้ามสีดำสวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสีดำ กางเกงยีนส์ และรองเท้าส้นสูงหนึ่งนิ้วสีดำ

“สบตาสิ!” เสียงตวาดดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดวงตาสีฟ้าแข็งกร้าว เรียวปากสีแดงสดจากสีเลือดที่อยู่ภายในร่างกายเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าที่ไร้การแต่งเติมใดๆเชิดขึ้นใส่อย่างถือดี บุคคลที่อยู่ข้างหน้าเธอแสยะยิ้ม เขาลุกขึ้นจากก้าวอี้ ส่งผลทำให้พวกที่เหลือข้างหลังถอยกรูกันจนเกือบติดฝาผนัง เขาเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวผู้นั้น ใช้มือจับคางเธอแล้วเชิดมันขึ้นอีก

“ทายาทตระกูลเวสต์สินะ” ขาพูดแค่นหัวเราะในลำคอราวกับจะเยาะเย้ย ในขณะที่พวกข้างหลังทีก็หลุดขำออกมาบ้าง นั่นไม่ได้ทำให้เขาโกรธ ออกจะชอบใจด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเห็นเธอใช้สายตารังเกียจมองมือของเขาที่จับคางเธออยู่ เขาหุบยิ้มทันทีและมองเธอด้วยสายตาลุกวาว

“มาดูกันว่าจะทนได้ซักกี่น้ำ” เขาสะบัดปลายคางเธออย่างแรง ใบหน้าเธอหันแทบหลุด เธอหันขวับขึ้นมามองเขาอย่างเอาเรื่อง
สองมือกำหมัดแน่น แต่ทำอะไรไม่ได้ เขากระตุกยิ้มให้เธอแล้วเดินออกไป เหลือทิ้งไว้แต่ความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจหญิงสาว...



----------------------------------------------------------
เรียกน้ำย่อยไปก่อนนะคะ บุ้ยๆ ^ ^





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 5 2012, 10:20 PM
โพสต์ #3


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER I

...หอนาฬิกาบิ๊กเบน หรือรู้จักกันดีในชื่อ สตีเฟน คนส่วนใหญ่นิยมเรียกมันอย่างนั้น ฉันเงยหน้ามองหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ที่อยู่สูงเสียดฟ้า เจ๋งดี นี่คือสถาปัตยกรรมล้ำค่าที่สร้างขึ้นมาเพื่อเทิดพระเกียรติเจ้าหญิงอลิซาเบ็ธ ตอนนี้ฉันอยู่อีกฝั่งของถนนตรงข้ามหอนาฬิกาสตีเฟน สายตามองดูความสวยงามของมันได้ไม่นานก็ต้องหมดอารมณ์ เมื่อเห็นคนคุ้นตายืนอยู่ที่นั่น และก็ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นฉันแล้วเช่นกัน ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนข้ามถนนไปหาเขา
“ลุงมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย” ฉันถามอลัน คนขับรถประจำตัวของฉัน เขาโค้งหัวให้ฉันอย่างเคยชิน แต่ฉันก็ต้องโค้งหัวตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว เขามีอายุมากกว่าพ่อฉันเชียวนะ จะให้เขาทำความเคารพฉันฝ่ายเดียว มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่
“คุณท่านให้ผมไปส่งคุณหนูที่โรงเรียนครับ” เขาตอบอย่างสุภาพในขณะที่ฉันถอนหายใจเบาๆ รู้สึกเอือมเล็กน้อยที่คุณพ่อไม่เคยไว้ใจให้ไปไหนต่อไปคนเดียวสักที กว่าจะขอนั่งรถไฟมาได้ เล่นเอาเหนื่อยอยู่หลายวัน..

: 3 Hour ago @ The West :
‘แน่ใจหรอว่าจะไม่ให้พ่อไปส่ง’ พ่อของฉันถามด้วยความเป็นห่วง และท่านก็พูดประโยคนี้เป็นรอบที่ร้อยของวันนี้แล้ว
‘แน่ใจค่ะพ่อ หนูไปเองได้จริงๆค่ะ’ ฉันยิ้ม และใช่ ประโยคนี้ฉันก็พูดมารอบที่ร้อยของวันนี้แล้วเช่นกัน
‘ลูกยังเด็ก’ พ่อของฉันกอดอกมองฉันที่จัดเสื้อโค้ดให้เข้าที่เข้าทาง
‘หนูสิบหกแล้วค่ะ ไม่เด็กแล้วนะ ให้หนูไปเถอะนะคะ นะคะๆ’ ฉันอ้อน แล้วเอาหัวไปหัวไหล่คุณพ่อเหมือนแมวเหมียวช่างออเซาะ
‘ก็ได้ๆ แต่มีอะไรให้โทรหาพ่อด่วนเลยนะ’ คุณพ่อตอบด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก แต่เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้หัวใจฉันโลดแล่นได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้นั่งรถไฟ แถมเป็นรถไฟยูโรสตาร์ รถไฟทัวร์ในยุโรปที่มีความเร็วสูงสุดถึงสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะเวลาจากปารีสไปลอนดอนเหลือเพียงสองชั่วโมง สิบห้านาทีเท่านั้น
‘ขอบคุณค่ะพ่อ’ ฉันเขย่งไปจุ้บแก้มคุณพ่อหนึ่งฟอดใหญ่ๆ นั่นทำให้พ่อของฉันขินแทบทำอะไรไม่ถูกแล้วล่ะ ‘ทำอะไรเป็นเด็กนะเรา’ พ่อพูดพลางลูบแก้มตัวเองอย่างเขินๆ ทำให้ฉันหัวเราะออกมากับการกระทำของท่าน..


“ฉันบอกลุงแล้วไง ว่าถ้าคุณพ่อสั่งก็ไม่ต้องมา” ฉันบอกอลัน แต่เมื่อเห็นเขายังยืนก้มหน้ากุมมืออยู่อย่างนั้น ฉันจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อลันเป็นสามีของป้ามาร์ ป้ามาร์เป็นเหมือนแม่คนที่สองของฉัน นางคอยเลี้ยงดูแลฉันทุกอย่างหลังจากคุณแม่ของฉันจากไป ทั้งลุงอลันและป้ามาร์มีนิสัยขี้เกรงใจ แต่ป้ามาร์จะมีความเด็ดขาดอยู่บ้าง เนื่องจากต้องคอยบังคับคนอย่างฉันอยู่เสมอ
“ผมไม่สามารถขัดคำสั่งคุณท่านได้ครับ” ในที่สุด เขาก็ยอมเอ่ยออกมาสักที หลังจากที่เงียบอยู่นาน
“แสดงว่าลุงกล้าขัดคำสั่งฉันงั้นสิ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอน เพื่อไม่ให้คนตรงหน้ารู้สึกว่ากำลังโดนดุ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะหงุดหงิดใจไม่น้อย
“โธ่.. คุณหนู ทั้งผมและคุณท่านเป็นห่วงคุณหนูนะครับ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนฉันต้องใจอ่อน เข้าใจหน่อยนะว่าฉันมันเป็นพวกแพ้ความอ่อนโยน
“เอาล่ะๆ ไปส่งก็ไปส่ง” สิ้นเสียงฉัน เขาก็กุลีกุจอมาเปิดประตูรถ เอากระเป๋าใส่ไว้ข้างในแล้วผายมือให้ฉัน
“เดี๋ยวนะ แต่เราจะเข้าไปยังไง.. คือ ฉันหมายความว่า ทางไหนน่ะ” ฉันที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ แต่ฉุกคิดขึ้นก่อน
“อ๋อ ตรงนั้นครับคุณหนู” เขาเดินนำฉันไปถึงผนังหอนาฬิกา แล้วชี้ให้ฉันดู
“นี่ไงครับ ทางเข้า เพียงแค่คุณหนูสัมผัสมัน” เขาบอก แล้วถอยทางให้ฉันเข้าไปดูมันใกล้ๆ เห็นเป็นตัวหนังสือ WH ที่ล้อมรอบด้วยวงกลม คล้ายตราสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง มันเป็นเหมือนรอยที่มีคนมือบอนมาขีดเขียนเอาไว้นานมากแล้ว ฉันใช้มือลูบๆดู แล้วเอามือออก ไม่ถึงอึดใจ ตราสัญลักษณ์นั้นก็เกิดรอยไฟไปตามร่องของตัวหนังสือ ไฟสีส้มอมเหลือง ตัดกับสีดำของผนัง มันทำให้เกิดความสวยงามเล็กๆขึ้นมา.. ไม่นาน อิฐแต่ละก้อนก็เริ่มขยายออกเรื่อยๆ เสียงดังกึกๆ ฉันก้าวถอยหลังออกมาพอสมควร แล้วหันหลังมองอลันที่ยืนดูอิฐขยายตัวด้วยสีหน้าธรรมดาสุดๆ บ่งบอกว่าที่เขาเห็นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ฉันละสายตาจากเขาไปยังอีกฝากฝั่งของถนน ผู้คนดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ราวกับว่าไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงจากเหตุการณ์ตรงหน้าฉัน ฉันมองภาพนั้นด้วยความมึนงงเล็กน้อย แล้วหันกลับมา พบว่าจากที่เคยเป็นผนังสีดำเกาๆ กลับกลายเป็นตรอกซอยเข้าไป ฉันไม่เห็นระยะทางใกล้ไกลของมัน เห็นแต่เพียงหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่ว ฉันกระชับเสื้อโค้ดอีกนิด แล้วหันไปมองอลัน เขายิ้ม และผายมือให้ฉันไปขึ้นรถ
“ลุงรู้จักทางหรอคะ” ฉันถาม ในขณะที่รถเคลื่อนตัวเข้าไป อลันไม่ตอบ แต่ขับรถต่อไปเงียบๆ หมอกหนาปกคลุมไปได้สักระยะหนึ่ง แล้วก็จากหายไป เผยให้เห็นสิ่งสวยงามอย่างหาที่ติไม่ได้ ฝั่งหนึ่งเป็นเนินเขาสีเขียวชอุ่ม อีกฝั่งเป็นทะเลสาบกว้างไกลสุดสายตา ฉันรู้สึกว่านี่มันสุดยอดไปเลย เหมาะสมหรับวันดีๆที่จะมาขับรถสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่แล้วก็ต้องหยุดสนใจธรรมชาติรอบกาย เมื่อสายตาพลันไปเห็นปราสาทหลังใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ฉันกระพริบตาปริบๆกับภาพที่เห็นตรงหน้า มันเหมือนดินแดนในเทพนิยายมากๆ มากจนชวนให้คิดว่านี่คือความฝัน ความฝันที่ฉันไม่อยากตื่น..


: 18:10 @ World Magic Hall :
“ประกาศ ขอให้นักเรียนเกรดสิบสองที่เป็นสตาร์ฟให้เข้ามาที่ห้องโถงเวิลด์เมจิกฮอลล์ ในเวลานี้ด้วย ขอย้ำอีกครั้ง นักเรียนเกรดสิบสองที่เป็นสตาร์ฟ ให้มาที่ห้องโถงเวิลด์เมจิกฮอลล์ในเวลานี้ด้วย ขอบคุณ”สียงประกาศที่ดังไปทั่วโรงเรียน ส่งผลให้รู้ว่าในขณะนี้เริ่มมีเด็กนักเรียนเกรดสิบทยอยเข้ามามากพอสมควรแล้ว
...ปราสาทหลังใหญ่มหึมาที่ทำด้วยอิฐแข็งแรงสีน้ำเงิน ปราสาทเก่าแก่นี้ถูกสร้างขึ้นมานานมากแล้ว เห็นได้ชัดจากตระไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามผนังด้านนอกบางส่วนของปราสาท ด้านหน้ามีนักเรียนแออัดแน่นไปหมด เนื่องจากวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรก บรรยากาศจึงคึกคักพอสมควร

“ให้ผมไปส่งข้างในไหมครับ คุณหนู”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ ฝากไปบอกคุณพ่อด้วยว่าฉันถึงปราสาทอย่างปลอดภัยแล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ ถ้ายังไม่ได้รับการบันทึกชื่อ”
“ครับ” ฉันพยักหน้าแล้วก้าวลงจากรถ สูดอาการบริสุทธิ์อย่างเต็มปอด ปราสาทนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขา มีทิวเขาสลับซับซ้อนเต็มไปหมด มีทะเลสาบรอบล้อม แลดูเหมือนเกาะขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่ เนื้อที่หลายร้อยเอเคอร์ที่ยากจะจัดสรรให้เป็นระบบระเบียบ แต่พวกเขาสามารถทำให้มันดูสวยงามและลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ สวนดอกไม้ที่ขนาดนักจัดสวนที่ดีที่สุดในปารีสยังต้องถอย ผีเสื้อสีทองบินหยอกล้อกับสายลม ผึ้งตัวน้อยดูดน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ฉันมองภาพนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ หมอกหนาที่ปกคลุมยอดเขาสีเขียวชอุ่ม ในน้ำมีเงาของทิวเขาเรียงรายสลับกันไป เป็นความสวยงามธรรมชาติที่หาดูได้ยาก และเชื่อว่ามันมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น World Magic Hall ไฮสกูลของทายาทแห่งตระกูลผู้วิเศษที่ดีที่สุด
...ฉันหยุดพรรณนาความโออ่าของไฮสกูลแห่งนี้ไว้แค่นั้น และมุ่งความสนใจไปที่ปราสาทสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า ถ้าปราสาทนี้ไปอยู่ในสถานที่อื่น ฉันคงคิดว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกของพ่อมดร้ายแล้วกระมัง เด็กสาวหัวเราะกับความคิดของตัวเอง แล้วลากกระเป๋าเดินทางสีฟ้าใบโปรดเข้าไปใกล้ตัวปราสาท...

...“โอ๊ะ!” ฉันอุทานด้วยความตกใจเมื่อมีร่างสูงชนฉันจนแทบกระเด็น
“ขอโทษที สาวน้อย” เขาหันหลังมาตะโกนบอกฉัน แต่ว่าอะไรไม่ได้หรอก เขาคงรีบจริงๆ ฉันเลิกสนใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ และเดินไปที่หน้าประตูของตัวปราสาท แล้วก็ยิ้มได้ เมื่อเห็นใครบางคนอยู่ตรงนั้น ฉันเดินไปต่อแถวบันทึกรายชื่อนักเรียน
“เธอชื่ออะไรน่ะ” เขาคนนั้นถามผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าฉัน
“เรเซลล่า โรลเชอร์ เซิร์ท”
“อ่า โอเค ทายาทตระกูลเซิร์ทนี่เอง ยินดีต้อนรับครับ ขอให้สนุก” เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม แล้วก้มลงไปเช็คอะไรบ้างอย่างในสมุดรายชื่อสีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา
“เอ้า คนต่อมา เร็วๆหน่อย” เขาพูดแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“โซเฟียล่า นาสซ์ตี้ เวสต์ ค่ะ” สิ้นเสียงฉัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันทันที แล้วก็ค้างไป ฉันหัวเราะคิกคักกับท่าทีของเขา
“อ้าว ค้างไปเลย” ฉันพูดกลั้วขำ ที่จริงก็ไม่อยากแกล้งเขาหรอกนะ แต่เห็นแบบนั้นก็อดแกล้งไม่ได้
“โซเฟียส ดีใจจริงๆที่ได้เจอคุณ ผมคิดว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว รอตั้งนานแหน่ะ”
“โอ้ คุณรอฉันงั้นหรอ ปลื้มใจจัง”
ฉันพูดพร้อมแล้วอมยิ้ม ดูสิ เขายิ้มไม่หุบเลย ก้มหน้างุดๆ แถมหน้าแดงแป๊ดไปถึงหูอีก “ตกลง คุณจะไม่ลงรายชื่อให้ฉันหรอคะ ก้มนานเชียว” ฉันแซว เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันพร้อมกับหน้าที่แดงเข้าไปอีก จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เขาน่ะชอบฉัน ชอบมากๆเลยด้วย เขาคือ โรบิน เอลฟ์ฝึกหัดที่หน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง เขาชอบฉันมาตั้งแต่อยู่เกรดเก้าแล้วล่ะ ความจริงเขาอายุได้แค่ 5 ขวบเท่านั้น แต่ระดับพัฒนาการทางสมองของเอลฟ์นั้นเร็วยิ่งกว่าของคนเราหลายเท่าตัวนัก ถ้าเทียบๆกัน เขาเหมือนผู้ชายอายุราวๆสิบห้าสิบหกเลยล่ะ
“อ่อ คะ ครับ” เขาตอบรับอย่างเก้อเขิน
“เรียบร้อยแล้วครับ ขอให้สนุกนะครับ” เขาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เขิน นั่นทำให้ฉันหัวเราะออกมา โรบินทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ
“ขอบคุณนะ” ฉันตอบรับเขา แล้วลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในตัวปราสาท และตรงยังป้ายรถ เพื่อจะกลับปราสาทของตระกูลในโรงเรียน ซึ่งตระกูลในโรงเรียนก็จะแบ่งตามลักษณะนิสัยและความสามารถของนักเรียนแต่ละคน แบ่งออกเป็นสามตระกูล ได้แก่ ซากาเซียส ตระกูลแห่งผู้มีไหวพริบ ไมท์ติเนส ตระกูลแห่งผู้มีอำนาจและความยิ่งใหญ่ สุดท้าย ดีเฟนเดอร์ ตระกูลแห่งผู้ที่มีความสามารถในการปกป้องบุคคลหรือสถานที่ หรือใครๆก็เรียกว่า ตระกูลแห่งผู้พิทักษ์.. และแน่นอน ตระกูลที่ฉันได้รับคัดเลือกให้อยู่มาตลอดสามปีคือ ซากาเซียส.. โรงเรียนนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เรียกว่า S Magic Hall ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนเกรดเจ็ดถึงเก้า ส่วนที่สองที่ฉันยืนอยู่นี้ เรียกว่า World Magic Hall เป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนเกรดสิบถึงสิบสอง ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่คอยให้ให้ความรู้ การเอาตัวรอด การรู้จักใช้และควบคุมพลังของตนเอง
เพื่อที่จะเป็นผู้วิเศษที่มีประสิทธิภาพในอนาคต..


...คอยรถอยู่นาน แต่แล้วรถม้าสีขาววิ่งผ่านหมอกหนาที่ปกคลุมเข้ามา รถม้ามีป้ายสีแดงติดอยู่ ‘Sagacoius’ เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงไม่รอช้า ลากกระเป๋าขึ้นไปนังบนรถทันที ภายในรถตกแต่งด้วยผ้าม่านสีขาว ภายในมีตะเกียงสีทองเหมือนตะเกียงในอาลาดิน ฉันหยิบมันขึ้นมาถูๆด้วยความนึกสนุก ถ้ามียักษ์สีขาวลอยออกมาจากตะเกียง คงจะตลกน่าดู ฉันหัวเราะคิกคักกับความคิดของตัวเอง และเริ่มถูมันแรงขึ้น แต่แล้วก็มีแสงสว่างวาบสีขาวแสบตาออกมาจากตะเกียงนั่น
“สวัสดีครับ สาวน้อย” เสียงนั่นดังมาจากอะไรบางอย่างที่ลอยออกมาจากตะเกียง แต่เขาไม่เป็นสีขาว เขาโปร่งแสง สามารถมองทะลุผ่านตัวได้
“อะเอ่อ คุณ..” ฉันพูดตะกุกตะกัก เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เขาคือยักษ์จินนี่หรือใช่ไหม แล้วเขาอันตรายหรือเปล่า ฉันเริ่มกลัวกับความคิดของตัวเอง
“ใจเย็นๆ ฉันไม่ใช่ยักษ์ในตะเกียงอาลาดินหรอกนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแง่งอน
“แล้ว.. คุณ??”
“ฉัน โทมัส ภูตประจำตระกูลซากาเซียส”
เขากอดอกแนะนำตัวเอง ในใจฉันนึกขำกับท่าทีที่เขาทำ
“อ้อ สวัสดีค่ะโทมัส ฉันโซเฟียล่า นาสซ์ตี้ เวสต์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันกล่าวแนะนำตัวเอง พร้อมกับเอียงคอเพราะรู้สึกจักกะจี้ เมื่อโทมัสลอยเข้ามาวนเวียนอยู่บริเวณคอ เขาตัวเล็กมาก ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเห็นจะได้ เขาแต่งกายเหมือนเทพอีรอส เพียงแต่ไม่มีธนูเท่านั้น ผมของเขาหยักเป็นคลื่น ยาวเลยติ่งหูมานิดหน่อย
“อ่าห้ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ตีตี้” โทมัสเรียกฉันด้วยชื่อที่เขาตั้งขึ้นเอง อาจจะแปลกไปหน่อย แต่มันก็น่ารักดี
“แล้ว ทำไมคุณถึงมาอยู่ในตะเกียงล่ะ”
“ฉันชอบมันน่ะ มันเหมือนบ้านของฉัน”
ว่าแล้วเขาก็ลอยไปที่ตะเกียงแล้วหันหน้ามาหาฉัน
“ตะเกียงทุกอันเลยหรอ”
“ไม่หรอก เฉพาะตะเกียงสีทองของซากาเซียสเท่านั้น ย้ำ ซากาเซียส และสีทองเท่านั้น”
เขาเอ่ยพร้อมกับกอดอกแล้วเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง แต่ฉันกลับคิดว่า มันดูน่ารัก
“อ่า แล้วคุณจะออกมาเมื่อมีคนถูตะเกียงเหมือนในนิทานรึเปล่า โทมัส” ฉันถาม และเริ่มรู้สึกถูกชะตากับเขายังไงก็ไม่รู้
“เปล่าหรอก ฉันจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อคนในตระกูลซากาเซียสสัมผัสตะเกียง แค่สัมผัส แต่ขึ้นอยู่กับว่า ฉันจะออกมาไหม แค่นั้นล่ะ เวลาอยู่ในตะเกียง ฉันน่ะสามารถมองทะลุออกไปได้อย่างชัดเจน ยิ่งกว่ามองผ่านกระจกซะอีก”
“เฉพาะตะเกียงนี้ งั้นหรอ”
“ทุกตะเกียงของซากาเซียสที่เป็นสีทอง”

“งั้นหรอ.. คุณคงเหงาสินะ” ฉันเท้าคางพูดกับเขาอย่างจริงจัง
“มันก็มีบ้าง แต่เวลาที่ฉันเหงาฉันจะส่งจิตไปหาเชสต์ เขาจะสัมผัสที่ตะเกียง ทำให้ฉันออกมาหาอะไรสนุกๆทำข้างนอกได้” เขาพูดถึงเซ็ทริค เชสต์ ซากาเซียส รุ่นพี่เกรดสิบสอง ทายาทสายตรงของตระกูลซากาเซียสคนปัจจุบัน
“อ๋อ..” ฉันลากเสียงยาว สายตาพลันมองไปข้างนอกรถม้า “อ๊ะ! ถึงแล้วนี่”
“มันถึงตั้งแต่ตอนเธอถามว่าทำไมฉันถึงอยู่ในตะเกียงแล้วล่ะ รีบไปเถอะ มันจวนจะมืดแล้ว เดี๋ยวจะโดนดุเอา”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะมาคุยด้วยบ่อยๆนะ บายค่ะ โทมัส”
ฉันบอกก่อนจะก้าวลงมาจากรถม้า แล้วมองไปยังคฤหาสน์คุ้นตาตรงหน้า คฤหาสน์สีฟ้าคริสตัล ทางเข้ารายล้อมไปด้วยธงสีขาวรูปนกแก้วสีแดง ล้อมรอบด้วยเครือของต้นควีนโรส สัญลักษณ์แห่งซากาเซียส สัญลักษณ์แห่งความรู้ ไหวพริบและปฏิภาณ
ฉันสูดหายใจลึกๆ แล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เสาโรมันสีขาวเรียงราย หุ่นนักรบแห่งซากาเซียสยืนเป็นระเบียบ ตรงกลางมีน้ำพุสีฟ้าใสที่สาดเป็นสายไปยังรูปหล่อนกแก้วที่อยู่ตรงกลาง รอบๆเป็นพุ่มดอกกุหลาบสีแดงสด เกสรเป็นทองระยิบระยับ หรือที่เรียกว่า ควีนโรส.. ราชินีแห่งดอกกุหลาบ สัญลักษณ์อันสื่อถึงความปราดเปรื่อง.. ฉันเฝ้าดูความสวยงามของมันมาตลอดเป็นปีๆ ไม่เคยเบื่อมันเลยสักครั้ง ตรงข้ากัน มันกลับเพิ่มความเพลิดเพลินและหลงใหลไม่รู้จบ แต่ตอนนี้ฉันควรพอได้แล้ว มีเวลามาทักทายพวกมันอีกเยอะแยะ ตอนนี้เป็นเวลาเอาของไปเก็บ พร้อมกับอาบน้ำและนอนพัก เพื่องานเลี้ยงต้อนรับของวันพรุ่งนี้
ฉันเดินไปจนถึงลิฟต์ที่ข้างหน้าเป็นรูปนกแก้ว ใส่รหัสผ่าน เดินเข้าไปในลิฟต์ กดเลข 12 ชั้นห้องพักของฉัน แต่ละชั้น จะมี 3 ห้องพัก ถือว่าเป็นห้องที่กว้างขว้างราวๆกับห้องนอนที่คฤหาสน์ตระกูลเวสต์เลยทีเดียว.. ฉันเดินเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงคิงไซส์ทันที ฉันหลับตาสักพัก แล้วตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ
...ฉันมองตัวเองในกระจก ร่างบางที่สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงซับในขาสั้น ผิวขาวแทบจะอมชมพู ผมสีน้ำตาลที่ปล่อยยาวสยายถึงกลางหลังถูกรวบขึ้นไปข้างบน เผยให้เห็นถึงซอกคอขาวเนียน นัยต์ตาสีฟ้าสดใสและดวงตากลมโตที่ใครต่อใครชมว่าสวยอยู่ภายใต้ขนตายาวงอนเป็นแพ คิ้วโก่งสวยได้รูป ริมฝีปากสีแดงสดจิ้มลิ้ม ฉันยักไหล่ให้กับภาพของตัวเองในกระจก แล้วเดินไปเปิดน้ำจากฝักบัวชโลมร่างกาย..



: 19:50 @ Sagacious | Zofiala’s room :
“มาถึงแล้วๆ พึ่งอาบน้ำเสร็จ” ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ที่แนบกับหู ในขณะที่อีกสองมือเช็ดผมอยู่
“แหม มาถึงวันแรกก็เพลินเชียวนะ” ปลายเสียงเหน็บแหนมอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นทำให้ฉันยิ้มออกมา
“แหงล่ะ ใครจะไปติดพี่ชายเหมือนเธอกันล่ะ ว่าแต่ เธอมาถึงเมื่อไหร่” ได้ทีฉันก็เหน็บคืนบ้างแต่ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเพื่อนตัวแสบต้องเหน็บฉันต่อแน่ๆ
“มาถึงเมื่อวานน่ะ นี่ เห็นเชนบ้างไหม เขาหายไปเลย” เสียงหงอยๆของเพื่อนสาวทำให้ฉันรู้ทันทีว่าเธอกับแฟนหนุ่มกำลังมีปัญหากันอยู่
“ไม่นะ แต่พรุ่งนี้เราคงได้เจอเขาแหละ” ฉันพูดให้กำลังใจเธอ แต่ในใจก็รู้สึกแปลกใจอยู่ลึกๆ พักหลังเชนเปลี่ยนไป มันมีช่องว่าง ฉันอยากใช้คำว่า เหินห่าง เพราะความหมายของการกระทำก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก
“ฉันหวังว่านะ โซเฟียส”
“อย่าคิดมากสิ แมรี่ ช่วงนี้เธอจิตตกบ่อยไปแล้วนะ ไม่สมกับเธอเลย”
ฉันพูดตามที่รู้สึก แมรี่ เดล ไมท์ติเนส ทายาทสายที่สองของตระกูลไมท์ติเนส เธอเป็นคนกระปี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา สดใส ร่าเริงเสมอ เหมือนกับไม่มีใครในโลกนี้จะมาทำให้เธอเศร้าได้ ฉันคบกับเธอมาสามปีเต็มๆ พึ่งจะเจอก็ ดริฟเฟอร์ เชน แดรกโกเวนส์ คนนี้นี่แหละ
“อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูดก็ได้ ฉันอาจจะจิตตกไปเอง”
“นอนซะนะ พักสมองซะ แล้วจะดีขึ้น” ฉันบอกเธอ แมรี่ตอบรับเสียงอือออมา แต่เชื่อเถอะ เธอคงนอนไม่หลับทั้งคืน ฉันวางโทรศัพท์ไว้ แล้วคลานขึ้นเตียง ปิดไฟทุกดวงในห้อง มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
ดูน่ากลัว..แต่เหมือนแฝงไปด้วยพลัง ฉันหลับตาลง ไม่นานก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา...



..ความฝัน..
'เจเนสซ่า' มีเสียงหนึ่งตะโกนจากข้างหลังฉัน เสียงนั้นมาจากชายคนนึง เขามีผมดวงตาคมสีน้ำตาล
ใบหน้าหวานๆนั้น มันรับกับทรงผมสีน้ำตาลของเขาได้เป็นอย่างดี [/color]
'เจเนสซ่า! นั่นเธอใช่ไหม? ใช่เธอหรือเปล่า?' ฉันไม่แน่ใจว่าเขามองมาที่ฉันรึเปล่า แต่เขาเดินมาทางนี้
'เอ่อ..คุณ เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ!?' ฉันถามออกไป ในนี้มีแค่ฉันกับเขา เขาน่าจะเรียกฉันแต่ชื่อนั่น ไม่ใช่ชื่อฉัน
'ใช่ เจเนสซ่า ใช่เธอจริงๆด้วย' เขาพูดออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับเขย่าตัวฉัน
'นี่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้ชื่อเจเนสซ่าของคุณนะ' ฉันเผลอตะคอกใส่เขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจ
'เจเนสซ่า พี่คิดถึงเธอ คิดถึงมาก' แล้วเขาก็คว้าตัวฉันมากอดเอาไว้
'นี่ ฉันบอกแล้วไงว่า..' ฉันพยายามจะบอกเขาว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่คำพูดนั้นกลับกลืนหายไปในลำคอ ความอบอุ่นที่แทรกผ่านเข้ามาทำให้ฉันนิ่ง อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกว่าอ้อมกอดนี้อบอุ่น คุ้นเคยและปลอดภัย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันกอดตอบเขา ส่งผลให้เขากอดฉันแน่นเข้าไปอีก ราวกับว่าเขากำลังกลัวว่าฉันจะจากเขาไป ราวกับว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่พรากฉันไปจากเขา..

..สายลมหนาวเย็นกระทบผิวกาย ทำให้ขนแขนลุกซู่ ฉันกอดตัวเองไว้ หวังว่าจะทำให้อุ่นขึ้น แต่เปล่าประโยชน์ จริงอย่างที่ใครเขาว่าไว้ กอดตัวเองไปจนตาย ยังไงก็ไม่อุ่น...
ฉันกวาดตามองรอบๆบริเวณ มันเป็นทุ่งดอกไม้สีขาว เกสรของมันเป็นสีทองระยิบระยับ ฉันก้มลงกำลังจะเด็ดมัน แต่มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นก่อน
'สวัสดีเด็กน้อย เธอคงไม่คิดจะพรากดอกไม้ไปจากครอบครัวของมันหรอกนะ' ชายชราคนนั้นพูด
'คะ? คือ ฉันเห็นว่ามันสวยดี ก็เลย..' ฉันจะพูดออกมาว่าคิดจะเด็ดมันได้อย่างไร ในเมื่อเขาพูดขนาดนั้น
'ปล่อยมันให้อยู่แบบนั้นเถอะ มันคงไม่ปลื้มเท่าไหร่ ถ้าเธอเด็ดมันมา' เขาพูด ฉันพยักหน้าเห็นด้วย ฉันพยายามมองชายชราคนนั้นดีๆ แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อนึกออกว่าเขาคือใคร
'คุณ คุณคือ มะ เมอร์ริสัน' ฉันพูดตะกุกตะกัก เขาคือ เมอร์ริสัน เวสต์ ผู้ก่อตั้งตระกูลของฉัน
'จำได้แล้วล่ะสิ ไม่ต้องตกใจหรอก ฉันเป็นเพียงแค่ความคิดที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง ก่อนที่ฉันจะตาย' เขาบอก
'เพื่ออะไรคะ'
'เพื่อเธอ เพื่อมามอบสิ่งนี้ให้เธอ'
ว่าแล้วเขาก็วาดมือบนอากาศ
'เก็บมันไว้ให้ดี' เขาพูดพลางชี้มาที่คอของฉัน ก่อนจะหายไป ฉันก้มดูที่คอของตัวเอง เห็นสร้อยประจำตระกูลของฉัน สร้อยเงิน จี้เป็นรูปตัว W ฝังเพชรเม็ดเล็กๆไว้ ล้อมรอบด้วยวงกลมสลักชื่อ
'Jenesza Naszty West’

ฉันตื่นขึ้นมากระพริบตาปริบๆ แต่แล้วก็ต้องหลับตาอีกครั้ง เมื่อแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทำให้ฉันรู้สึกแสบตา ฉันลุกขึ้นมาแล้วสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความมึนงงและสับสนจากความฝันออกไปจากสมอง จากนั้นก็ก้มดูสร้อยของตัวเอง มันยังอยู่ แสดงให้เห็นว่าความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องที่หัวสมองฉันอุปโหลกขึ้นมาเอง..





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 8 2012, 09:18 PM
โพสต์ #4


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER II


: 19:00 @Building 3 | Govern Zone :
ฉันเดินออกมาสูดอากาศข้างนอก เนื่องจากสิ่งที่ฉันได้รับรู้เมื่อคืน มันทำให้ปวดหัวไม่น้อย การนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตในห้องทั้งวัน มันก็ช่วยได้ไม่มากเท่าไหร่ ฉันออกมาในชุดเสื้อยืดสีสาวแขนสั้น กับกางเกงขาสั้น และกำลังเดินท่อมๆที่ระเบียงตึกสาม คงไม่เป็นอะไรถ้าอาจารย์ไม่มาเห็น แต่ถ้าเห็น.. ก็คงแย่หน่อย อาจจะโดนหักคะแนน กักบริเวณ โชคดีอาจจะแค่ตักเตือน แต่ไม่ให้มาเห็นเลยน่าจะดีที่สุด
"อ๊ะ ขอโทษค่ะ" ฉันกล่าวขอโทษคนตรงหน้า เมื่อกี้ฉันมัวเหม่อและเดินชนเขาเต็มๆ ฉันส่ายหัวกับความเด๋อด๋าของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา.. แต่แล้วก็ต้องรีบก้มหน้าลงหลบสายตาคู่นั้น ดวงตาสีแดงเพลิงดูน่ากลัวในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย ฉันสะบัดสองสามทีกับความคิดของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วก็พบว่าสายตาคู่นั้นมองฉันอยู่ก่อนแล้ว..


:~ Viztrick’ Part ~:
:คฤหาสน์ชาร์ลส์:
'ลูกพร้อมรึยังสำหรับอาทิตย์หน้า' เสียงของพ่อดังเข้ามาพร้อมประตูที่เปิดออก
'ถ้าผมบอกไม่พร้อม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ' ผมพูดขึ้นน้ำเสียงประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด พ่อของผมถอนหายใจคล้ายๆเอือมระอากับผม
'ลูกก็รู้ สิ่งที่เกิดหลังจากนี้ อาจทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป'
"รู้ ผมรู้ครับพ่อ"
ผมตระหนักดีกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า สิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
'เมอร์ริกจะไปอเมริกา อาทิตย์หน้า' พ่อของผมบอกเสียงเรียบ
'อะไรนะครับ เซนส์ จะไปอเมริกา' ผมเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์มาสบตาผู้เป็นพ่อ เมอรร์ริก เซนส์ วิลโลว์ เพื่อนสนิทของผมเอง หมอนั่นเป็นลูกคุณหนู ไม่ค่อยกล้าขัดใจพ่อกับแม่สักเท่าไหร่หรอก
'ใช่ กับไอล่าน่ะ ข้อตกลงระหว่าง วิลโลว์กับอีเควสเตอร์' พ่อผมพูดถึงเด็กสาวทายาทตระกูลอีเควสเตอร์ รายนั่นก็เอาแต่ใจจนเสียนิสัยไปเลยล่ะ
'แล้วโซเฟียล่า เธอรู้รึยังครับ'
'คาดว่าจะจะรู้แล้ว หรือไม่ เดี๋ยวทางเวสต์ก็คงะบอกเอง'

'ครับ' ผมตอบสั้นๆ พ่อผมหันหลังเดินออกไปแต่เมื่อถึงประตู เขาก็หันมาพูดกับผมอีกครั้ง
'วินซ์ พ่อฝากเจเนสซ่าด้วยนะ เธออ่อนโยน และบอบบางมาก เธอคือความหวังเดียวของเมอริสัน' พ่อผมหันมามอง และบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
'ครับพ่อ ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด' ผมรับปากหนักแน่น เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วเดินออกไป
ผมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้านหาสมุดภาพในลิ้นชักออกมา และเริ่มเปิดมันไปทีละหน้า ช้าๆ
แต่ละหน้าเต็มไปด้วยภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอผู้มีดวงตาสีฟ้าสดใส และจะเปล่งประกายเมื่อเธอมีความสุข หรือความหวัง เธอผู้มีผมสีน้ำตาลยาวสยายถึงกลางหลัง เธอผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ เธอคนนั้น คนที่ผมหลงรักตั้งแต่แรกเห็น..
แต่เธอไม่รู้หรอก เธอไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าผมมีตัวตนอยู่บนโลก ผมไม่เคยโผล่หน้าให้เธอเจอเลยสักครั้ง เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมอร์ริกสนใจเธอ ทำให้ผมไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเธอ ผมเฝ้ามองเธอมาตลอด ปรารถนาที่จะดูแลเธอ ปกป้องเธอมาตลอด และตอนนี้ ผมได้รับโอกาสนั้นแล้ว โอกาสที่จะได้ดูแลและคอยปกป้องเธอ..เจเนสซ่า


"นาย.."
"นี่ นาย เป็นอะไรไหม"
เสียงใสๆนั่นทำให้ผมหลุดจากภวังค์
"เธอชื่ออะไรน่ะ" ผมถามเธอเพราะไม่แน่ใจ เธอคือเจเนสซ่าจริงๆใช่ไหม ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้เป็นเธอ ผมหวังว่าตอนนี้ผมกำลังคิดถึงเธอจนหัวสมองเบลอ เห็นใครก็เป็นเธอไปซะหมด
"โซเฟียล่า นาซส์ตี้ เวสต์ แล้วนายล่ะ" และคำตอบของเธอก็ทำให้ผมแทบทรุด มันมาถึงแล้ว ผมพยายามยื้อเวลาให้ถึงที่สุด พยายามขัดขว้างเธอไม่ให้มาเรียนที่นี่ พยายามกล่อมพ่อของเธอให้เอาเธอไปเรียนกับเมอร์ริกที่อเมริกา ถึงมันจะทำให้ผมเจ็บก็เถอะ อย่างน้อยเธอจะปลอดภัย แต่ผมทำมันไม่สำเร็จ
"นี่มันจะสามทุ่มแล้ว กลับที่พักไปซะ" ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามเธอ แต่ไล่ให้เธอกลับไปนอน
"ฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลยนะ"
"ชื่อฉัน วิซทริค วินเทจ ชาร์ลส์"
ผมบอกออกไป เธอคงคุ้นชื่อผมอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ชื่อตระกูล พ่อของผมไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเธออยู่บ่อยครั้ง
"วิซทริค วินเทจ ชาลส์ งั้นหรอ" เธอทวนชื่อผม แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้เธอถามอีก
"รู้แล้วก็กลับไปนอนซะ ดึกแล้ว อันตราย" ผมบอกท่าทีหงุดหงิด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใย แต่มันน้อยมากจนอีกฝ่ายน่าจะไม่รู้สึก
"รู้แล้วน่า ฉันไปล่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก" ว่าแล้วเธอก็หันหลังเดินกลับที่พักไป ผมมองแผ่นหลังของเธอ ผมสีน้ำตาลยาวสยายสะบัดไปมา ผมใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเอง ผมจะดูแลเธอยังไง จะปกป้องเธอยังไง ในเมื่อเจ้าตัวมีเค้าแววนิสัยดื้อรั้นอย่างนี้...


: 20:30 @Defender | Viztick’s room :
“ไง พ่อหนุ่มนักลาดตระเวน ได้เรื่องอะไรมาบ้างล่ะ” ทันทีที่ผมเข้าห้องมา เสียงของไมท์เพื่อนซี้ก็ดังขึ้น
“ได้ เรื่องใหญ่ซะด้วย” ผมพูดน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจผมแทบจะระเบิด ไมท์ขมวดคิ้วในท่าทีของผม เขารู้ทันทีว่าเรื่องใหญ่ที่ผมว่า ต้องไม่ใช่ใหญ่ธรรมดาแน่นอน ไมท์เงียบและมองหน้าผม เหมือนจะรอให้ผมพูดต่อ
“ฉันเจอเจเนสซ่า” ผมบอกเสียงเรียบ แน่นอนไมท์รู้เรื่องนี้ แล้วก็รู้ความรู้สึกของผม ผมกับไมท์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องของกันและกันเป็นอย่างดี เขาถอนหายใจแล้วเดินมาตบไหล่ผม เหมือนให้กำลังใจ
“แล้ว นายจะเอาไงต่อ” เขาถามผม แต่ผมไม่ตอบเพราะผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อไปดี ทุกอย่างมันดูยุ่งยาก ทางด้านดาร์กไฮก็ไม่มีท่าทีขยับเขยื้อนใดๆทั้งสิ้น นี่อาจจะเป็นการเตือน เหมือนกับลมสงบก่อนพายุลูกใหญ่ยังไงล่ะ
“ดาร์กไฮเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว” เสียงของไมท์พูดขึ้นมา ทำให้ผมใช้มือตบหน้าผากตัวเอง นี่ผมพึ่งคิดไปหยกๆ
“สายรายงานมาว่าพวกมันต้องการลิสต์การจัดงานและกิจกรรมทั้งหมดที่จะจัดในโรงเรียนตลอ
ดปีการศึกษานี้”
ไมท์พูดในสิ่งที่พึ่งรับรู้มาจากแล็ปท็อปของเขา ผมเดินเข้าไปหาไมท์ แล้วดูจดหมายที่สายเราส่งมา
“เห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มที่พวกมันจะโจมตีในวันจัดกิจกรรม ในกิจกรรมใดก็กิจกรรมหนึ่ง” ผมพูดขึ้นในขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่แล็ปท็อป ไมท์พิงพนักเก้าอี้ กอดอกแล้วพูดขึ้น
“ยิ่งกิจกรรมใหญ่ ยิ่งมีช่องโหว่” ไมท์แสดงความคิดเห็น ผมก็ว่างั้น แต่เรายังวางใจไม่ได้หรอก พวกนั้นเล่ห์เหลี่ยมเยอะจะตายไป
“เป็นไปได้ไหม ถ้าเกิดพวกมันเลือก.. The most of magician” คำพูดของไมท์ทำให้ผมชะงัก ใช่ นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวอยู่ลึกๆ การประลองเชิดชูเกียรติบ้าบอนั่น ผมเคยเห็นคนตายจากการประลองนี้มาแล้วครั้งนึง มันเคยจัดขึ้นตอนที่ผมอยู่เกรดเจ็ด ตลกดี ทั้งที่มีคนตายทุกครั้ง แต่ทางกระทรวง หรืออาจารย์ใหญ่ไม่คิดที่จะทำอะไรเลย ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา แต่ผมว่ามันไม่ธรรมดาเลยสักนิด พวกเขามีสิทธิ์อะไรจะมาคร่าชีวิตผุ้คนเปล่าๆแบบนี้ล่ะ งี่เง่าชะมัด และนี่คือเหตุผลที่ผมพยายามกีดกันเจเนสซ่าไม่ให้มาเรียนที่นี่..


: 19:30 @ World Magic Hall |The Hall :
งานเลี้ยงต้อนรับเปิดเทอมของนักเรียนเวิลด์เมจิกฮอล์ได้เริ่มต้นขึ้น นักเรียนแต่ละตระกูลต่างทยอยเข้ามาในห้องโถงและนั่งตามโต๊ะของตนเอง เสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างทักทายกันด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดฤดูร้อน บางคนกลับบ้าน บางคนอยู่คฤหาสน์ของตระกูล
...ฉันเดินเข้ามาในห้องโถง และตรงไปที่โต๊ะซากาเซียส ระหว่างที่เดินก็มีคนทักทายไปตลอดทาง
"สวัสดีโซเฟียล่า" นั่นคือเสียงของคริสต์รุ่นพี่เกรดสิบสอง ตระกูลไมท์ติเนส
"สวัสดีค่ะพี่คริสต์" ฉันทักทายกลับ
"อ้าว โซเฟียส สวัสดี" เชลล่า ซิสนี่ ซากาเซียส ทายาทสายที่สอ ของตระกูลซากาเซียสทักขึ้น
"ดีค่ะ พี่เชล สบายดีไหมคะ"
"ก็ดี เชสต์ถามหาเธอแน่ะ เห็นเธอไม่ไปที่ซากาเซียสสักที"
เชลล่ากล่าวถึงพี่ชายของเธอ
"อ๋อ ฉันกลับปารีสน่ะ" ฉันตอบไปตามความจริง คุณพ่อบังคับให้ฉันอยู่ปารีสตลอด
"นั่นไง เชสต์มาพอดี ไปคุยกับเขาสิ" เชลล่าพูด แล้วนั่งลงที่โต๊ะ ฉันมองไปยังเชสต์ที่กำลังเดินเข้ามา ฉันถอนหายใจเบาๆก่อนเข้าไปทักทายเขา
"สวัสดีค่ะ พี่เชสต์" ฉันกล่าวทักทาย เขาคือเซ็ทริค เชสต์ ซากาเซียส ทายาทสายตรงของตระกูลคนปัจจุบัน
"สวัสดี โซเฟียส เธอไม่อยู่ที่ซากาเซียสเลยตลอดฤดูร้อน" เขาพูดเสียงเรียบ น้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย
"ขอโทษค่ะ ฉันอยู่ที่ปารีสตลอดฤดูร้อน เลยไม่ได้ไปซากาเซียส ขอโทษจริงๆนะคะ" ฉันพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็ก มันเป็นการเสียมายาทอย่างมากที่สมาชิกของตระกูลไม่โผล่หน้าไปที่คฤหาสน์เลย
"อืม ไม่เป็นไรหรอก ขอให้สนุกกับงานเลี้ยงนะ" เขาบอกแล้วเดินไปหาน้องสาวที่นั่งอยู่ เชลล่าหันมายิ้มให้ฉันยิ้มตอบ แล้วกวาดสายตาไปทั่วบริเวณงานเลี้ยง โดยเฉพาะโต๊ะดีเฟนเดอร์
"ไง" มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังฉัน
"ไมท์ กำลังมองหานายอยู่พอดี เป็นไงบ้าง สบายดีไหม"
"ก็ดี เธอล่ะ"
"ก็ดี ว่าแต่ นายไม่มาลากันเลยนะ หลังจากที่นายช่วยฉันถือหนังสือไปที่ห้องสมุด นายก็หายไปเลย"

ฉันพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ แต่อีกฝ่ายก็จับสังเกตได้ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย
"ฉันรีบน่ะ ขอโทษที ไว้คราวหน้านะ" เขาบอก
"ขอบใจ" ฉันพูดประชดพลางย่นจมูก นั่นทำให้ไมท์หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงสั่นกระดิ่งจากอาจารย์ฮัฟฟิน ทำให้ทุกคนหยุดการสนทนา
"ไว้คุยกันนะ" ไมท์บอก
"อื้ม" ฉันโบกมือบายเขา แล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ฉันมองไปยังแท่นข้างหน้า มีอาจารย์ท่านเดิมหลายท่านยังอยู่และมีบางส่วนที่มาใหม่ หลังจากการแนะนำเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ใหญ่จึงขึ้นมากล่าวเปิดงานเลี้ยง
"ยินดีต้อนรับนักเรียนเกรดเจ็ดทุกคน และขอต้อนรับนักเรียนเก่าอีกครั้ง ปีการศึกษานี้มีอะไรเพิ่มมาใหม่เยอะแยะ รับประกันได้เลยว่า ปีนี้จะต้องสนุกแน่นอน กฎเดิมและที่เพิ่มมาใหม่ ทางเรานำไปประกาศแล้ว ขอให้ทุกคนทำตาม โชคดี" พออาจารย์ใหญ่กล่าวจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นไปทั่วห้องโถง
"เริ่มงานเลี้ยงได้" สิ้นเสียงของอาจารย์ฮัฟฟิน อาหารเลิศหรูก็ปรากฎบนโต๊ะ นักเรียนปีหนึ่งทุกคนดูตื่นเต้นกับงานเลี้ยง ทุกคนต่างพูดคุยกัน บ้างเกี่ยวกับเรื่องมาตรการใหม่ บ้างเกี่ยวกับเรื่องการเรียน บ้างเกี่ยวกับเรื่องตระกูล นั่นทำให้งานเลี้ยงคึกคักทีเดียว..
...ฉันกลับกลับจากงานเลี้ยง อาบน้ำ แล้วล้มตัวนอนบนเตียง สักครู่ ก็ผล็อยหลับไป


..ในความฝัน..
ฉันมองไปรอบๆตัว มันแตกต่างกับความฝันครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เป็นเหมือนสวนอะไรสักอย่าง สำรวจดีๆมันเป็นเหมือนวิมาร หรือแดนเนรมิต ฉันอดขำไม่ได้กับความคิดของตนเอง ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่นี่เต็มไปด้วยน้ำไม้ สายน้ำ มีเสียงเพลงคลอเบาๆ ผสมผสานกับเสียงนก เสียงน้ำที่ตกกระทบหิน ทำให้เพลงฟังดูเพราะขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
...ตรงกลางมีเปียโนสีขาวหลังใหญ่ตั้งอยู่ ฉันเดินไปใกล้ๆและสัมผัสมัน เปียโนลายเมโลดี้สีขาว เปียโนประจำตระกูลของฉัน ตระกูลเวสต์.. ฉันไล่นิ้วไปตามตัวโน๊ต เริ่มบรรเลงเพลงที่เธอชอบ ท่วงทำนองสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมรอบกาย ใบไม้พลิ้วไหวตามเสียงเพลง ผีเสื้อหลากสีบินวนเวียนอยู่รอบๆ จนกระทั่งเพลงจบ ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผีเสื้อบินกลับไปเคล้าคลอกับดอกไม้ฉันเดินเข้าไปใกล้มันอีกนิด เอื้อมมือไปใกล้ผีเสื้อตัวหนึ่ง แต่มีเสียงขัดขึ้นก่อน..
“ว๊าว! เจ๋งแหะ” เสียงนั่นทำให้ฉันหันขวับไปมองเขา
“เอ่อ..คุณ” เป็นอีกครั้งที่ฉันพูดติดๆขัดในความฝันแบบนี้
“จำฉันไม่ได้รึไง สาวน้อย” เขาพูดขึ้น น้ำเสียงมีเค้าความน้อยใจแฝงอยู่
“ได้ค่ะ คุณคือปีเตอร์ ปีเตอร์ เวสต์ ปู่ของฉัน” ฉันเริ่มชินแล้วกับการที่มีบรรพบุรุษมาเข้าฝันเกือบทุกคืนแบบนี้
“อ่าห้ะ มีคำถามไหม” เขาถาม และในเมื่อเขาเปิดโอกาส ฉันจึงไม่รอช้า รีบถามคำถามทันที
“ใครคือเจเนสซ่า เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ผู้ชายคนนั้นคือใคร สร้อยนี่..” ฉันยิงคำถามแบบรัวจนทำให้ ปีเตอร์ขัดขึ้น
“โว้ว! ไม่เอาน่า เข้าประเด็นเลยหรอ มันจะทำให้เธอปวดหัวนะ” เขายิ้ม
“ฉัน อยาก รู้” ฉันพูดชัดถ้อยชัดคำและเน้นย้ำทีละพยางค์ นั่นทำให้ปีเตอร์จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เด็ดเดี่ยว เฉียบขาด สิ่งที่เธอเหมือนี่สาวไม่มีผิดเพี้ยน เธอสามารถสยบใครต่อใครได้และแน่นอนว่าไม่ใช่ฉัน แต่นั่นแหละเยี่ยม” ฉันไม่ใส่ใจฟังเท่าไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งในประโยคที่ทำให้สะดุด
“ว่าไงนะ พี่สาว? คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ” ถ้าหูไม่เพี้ยนไป ในประโยคเขามีคำว่าพี่สาว
“พี่สาวเธอ ใช่ เธอยังไม่รู้สินะ” เขายิ้ม “เธอ มี พี่ สาว” เขาพูดชัดๆช้าๆ ทีละพยางค์
“ฉันไม่เชื่อ พิสูจน์สิ!” ฉันขึ้นขึ้นเสียงใส่ปีเตอร์ ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ความฝันบ้าๆนี่มันทำให้อารมณ์ฉันขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา
“เธอพร้อมแล้วงั้นหรอ เธอพร้อมจะรับรู้แล้วจริงๆหรอ”
“ใช่ ฉันพร้อม ฉันทนที่จะฝันบ้าๆแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว” ฉันพูดอย่างหนักแน่น พยายามเก็บความกลัวเอาไว้ แม้ว่าบางครั้ง ฉันจะเก็บไว้ไม่มิดก็ตาม
“หลับตาซะ”
สิ้นเสียงเขา ฉันก็หลับตาลง สักพักฉันรู้สึกว่าโลกหมุนอย่างรวดเร็วแล้วก็สงบลง ฉันลืมตาขึ้นมาแล้วสะบัดหัวเบาๆไล่ความมึนออกไป พอมองดีๆก็รู้ว่าตอนนี้มาอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ของตัวเอง..

‘แม่คะ!’ เสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆคฤหาสน์ นั่นคือสวนดอกไม้ของฉัน
‘เจเนสซ่า นี่มันดึกแล้วอากาศข้างนอกเย็น ลูกไม่ควรออกมานะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา’ ผู้หญิงคนหนึ่งพูด เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลเฉกเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าผู้หญิงคนนั้นคือ เกรซ แม่ของฉันเอง
‘พ่อบอกว่าแม่จะกลับมา แล้วแม่ก็กลับมาจริงๆด้วย นาสซ์ทำคัพเค้กไว้ เราไปกินกันเถอะค่ะ!’ เด็กหญิงบอกแม่ของเธอด้วยน้ำเสียงร่าเริง เด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนฉันไม่มีผิดเพี้ยน แต่ทำไมถึงแม่ฉันถึงเรียกเด็กคนนั้นว่าเจเนสซ่าล่ะ
‘เกรซ ผมมั่นใจว่าคุณต้องมา’ ฉันหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเค และแน่นอน ชายคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือมอสสัน มิดเดิล เวสต์ พ่อของฉันนั่นแหละ พ่อเดินทะลุผ่านตัวฉันไปกอดแม่เอาไว้
‘ฉันคิดถึงคุณค่ะ มอสสัน แต่ตอนนี้เราคงต้องไปกินคัพเค้กที่แม่มดตัวน้อยทำไว้ก่อน’ เกรซพูดพลางยิ้มให้เด็กผู้หญิงคนนั้น
'ไปกันเถอะค่ะ!’ เธอเกาะแขนพ่อและแม่ของเธอเข้าไปในคฤหาสน์
‘พี่โซเฟียส เข้าบ้านกันเถอะ อยู่ข้างนอกมันหนาวนะ’ ระหว่างที่เดินไป เธอก็เอ่ยกับใครคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเธอ ฉันมองไปยังเด็กสาวอีกคน แต่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนฉันเช่นกัน เพียงแต่ดวงตาของเด็กคนนั้นดูแข็งกร้าวกว่า ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน นี่เป็นภาพในอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมฉันไม่คุ้น ทำไมฉันจำไม่ได้ จริงๆแล้ว ฉันเป็นใคร ระหว่างเจเนสซ่าที่เหมือนฉันทุกอย่าง กับโซเฟียล่า เด็กสาวที่มีดวงตาแข็งกร้าว ไม่เป็นมิตร..
ฉันตัดสินใจเดินตามทั้งสี่คนไป พวกเขาเดินไปยังห้องอาหาร และเห็นเจเนสซ่ายกถาดขนมออกมา
‘มันเยี่ยมไปเลย ลูกรัก’ แม่ฉันเอ่ยชมเธอ
‘นาสซ์ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ ป้ามาร์ช่วยเกือบทุกอย่างเลย’ เจเนสซ่าพูดพลางเกาจมูกแก้เขิน ในขณะที่หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆก้มหัวลงเล็กน้อย นั่นคือป้ามาร์ของฉันแน่ๆ แต่ป้ามาร์ดูไม่แก่เท่าตอนนี้ นี่เป็นอีกหนึ่งตัวชี้ชัดว่าฉันกำลังเห็นภาพในอดีตของตัวเอง
‘แค่นี้พ่อกับแม่ก็ภูมิใจแล้วล่ะ’ พ่อฉันพูดขึ้น ส่งผลทำให้เจเนสซ่ายิ้มแก้มปริ เธอหันไปมองพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เอาแต่เงียบ
‘พี่โซเฟียส ไม่ชอบคัพเค้กหรอคะ’ เด็กน้อยถาม
‘.......’ เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากจากผู้เป็นพี่ ฉันที่ยืนอยู่รับรู้ถึงสัญาณอันตรายจากเด็กสาวที่ชื่อเหมือนฉัน
‘ถ้าพี่ไม่ชอบรสนี้ เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนให้ก็ได้’ ว่าแล้วเธอก็ถือจานลุกออกจากที่ไป สักพักเธอกลับมาพร้อมคัพเค้กรสใหม่ เธอยื่นในพี่สาวแต่โซเฟียล่าไม่รับ เอาแต่จ้องหน้าคนเป็นน้อง
‘เอามันไปเก็บซะ’ โซเฟียล่าเอ่ย ในณะที่ยังจ้องหน้าเจเนสซ่าด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
‘แต่ พี่คะ’
‘ฉันบอกให้เอาไปเก็บ ฉันไม่ชอบ ไม่ชอบทุกอย่างที่เธอทำ’ โซเฟียล่าขึ้นเสียงใส่น้องสาว
‘ทำ..ทำไมล่ะ ก็..’ เจเนสซ่าพูดตะกุกตะกักเพราะความตกใจ
‘เพราะฉันเกลียดเธอไง ได้ยินไหมว่าฉันเกลียดเธอ ยัยตัวปัญหา! เธอแย่งทุกอย่างไปจากฉัน ไปตายซะ!!’
“อย่า!!” ฉันเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนเป็นพี่เงื้อมมือขึ้นเตรียมจะทำร้ายอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะได้เห็นอะไรไปมากกว่านั้น ฉันก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดจากข้างหลัง ทุกอย่างมืดสนิท..

“ยังโอเคไหม” เสียงปีเตอร์ดังอยู่ข้างๆ ฉันจึงพยายามลืมตาขึ้น
“ค่ะ” ฉันตอบเสียงสั่น
“เสียงเธอสั่นมากเลยนะ เฮ้อ ก็บอกแล้วไง” ปีเตอร์มองมาด้วยสายตาตำหนิ
“ฉันอยากรู้ว่า ฉันเป็นใครระหว่าง เจเนสซ่า กับโซเฟียล่า” ฉันถาม ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะรับคำตอบได้ไหม
“เธอคิดว่าไงล่ะ” ปีเตอร์ย้อนถามฉัน ฉันตอบไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่กล้าตอบก็ไม่รู้
“ฉัน.. ฉันไม่รู้” ฉันตอบ และเงยหน้าขึ้นมองเขา “ไปนอนเถอะ” ปีเตอร์บอกแล้วหันหลังกลับ
“ปีเตอร์ คุณจะทิ้งเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ คุณบ้าไปแล้วรึไง” ฉันตวาดใส่เขา ทั้งที่รู้ มันไม่สมควร ฉันยอมรับว่าตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติได้เลย ปีเตอร์มองฉันเหมือนชั่งใจว่าจะบอกดีไหม
“มันยังไม่ถึงเวลา สาวน้อย เธอเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” สิ้นเสียงของเขา ฉันก็รู้สึกว่าขาของฉันไร้เรี่ยวแรง แล้วก็ล้มลงในที่สุด..



: 23:25 ทะเลสาบ Magic Hall :
:~ Viztrick’ Part ~:
ผมมายืนรับอาการบริสุทธิ์อยู่ชายทะเลสาบ นี่เป็นที่ที่ดีที่สุด สำหรับการผ่อนคลายจากเรื่องราวต่างๆ สิ่งที่ผมเจอวันนี้ทำให้ผมนอนไม่หลับ ผมแทบอยากจะบ้าตายตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อเซ็ทริคมาบอกผมว่า เจเนสซ่าคือตัวแทนหนึ่งในห้าของการประลอง นี่มันบ้าชัดๆ สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ผมกลัว มันกำลังจะเกิดขึ้น
“สวัสดี วิซทริค” เสียงใสๆเรียกผมจากข้างหลัง ไม่หันไปมองก็รู้ว่าใคร เธอยื่นหน้าเข้ามาส่องหน้าผม สายตาบ้องแบ๊วนั้นทำให้อารมณ์ที่อยู่ข้างในปั่นป่วน ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งดูชุดที่เธอใส่ เสื้อบางๆสีขาว กับกางเกงขาสั้น แถมยังออกมาเดินดุ่มๆที่ทะเลสาบตอนกลางคืน เธอคิดว่ามันปลอดภัยมากนักรึไง
“นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกตัวปราสาทในยามวิกาล แล้วเธอมาทำอะไรตรงนี้!” ผมพูดใส่อารมณ์กับเธอ หวังจะให้เธอผงะ แล้วกลับปราสาทไป แต่ไม่เลย ร่างบางกลับยิ้มหน่ายๆกับท่าทีของผม
“แล้วนายมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ” เธอย้อนถาม ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบยังไง ในเมื่อผมก็ทำผิดกฎโรงเรียนเหมือนกัน
“เห็นไหม นายก็แอบหนีออกมาเหมือนกัน” เธอยักคิ้วยียวนผมคงหวังจะให้ผมโกรธ และยินดีด้วย มันได้ผล
“มันไม่เหมือนกัน ฉันดูแลตัวเองได้ แต่เธอไม่ ฉะนั้น กลับไปซะ” ผมพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้
“ฉันดูแลตัวเองได้น่า นายเป็นอะไรกับฉันมากไหมเนี่ย” เจเนสซ่าพูดกับผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด คงใช่ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมไม่ต่างอะไรกับพ่อคนที่สองของเธอเลย และเป็นอีกครั้ง คำถามที่เหมือนไม่ใช่คำถามของเธอทำให้ผมไปไม่ถูก ผมไม่รู้จะตอบเธอยังไงอีกแล้ว ถึงมันจะเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบก็เถอะ
“ฉัน..” ผมพูดลากเสียง แล้วเงียบไปอย่างช่วยไม่ได้ นั่นทำให้เธอแค่นหัวเราะอยู่ในลำคอ
“เฮอะ ฉันไม่คุยกับนายแล้ว” เธอพูดแล้วเอี่ยวตัวไปอีกทางหนึ่ง แต่ผมดึงแขนเธอไว้ก่อน
“มัน อันตราย” ผมย้ำ และเริ่มจะทนไม่ไหวกับนิสัยเด็กๆของเธอ
“ปล่อยนะ อันตรายตรงไหน ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกว่าอะไรจะอันตรายเท่านายอีกแล้ว ปล่อย!” เธอขึ้นเสียงใส่ผม แล้วสะบัดแขนออกไปจนหลุด ผมขมวดคิ้วกับปฏิกิริยาของเธอ บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมไม่พอใจแบบสุดๆ ดี! อวดเก่งนักก็ปล่อยเธอไป คงไม่มีอะไรมากนัก พวกดาร์กไฮคงยังไม่เล่นงานเธอตอนนี้หรอก แต่ผมคงจะลืมคิดไป ถึงแม้พวกนั้นจะยังไม่ทำร้ายเธอ ไม่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายออกมาในยามวิกาลเช่นนี้
“ว๊าย!” เร็วเท่าความคิด เสียงของเธอที่กรี๊ดออกมาทำให้หัวใจผมตกลงไปอยู่ตาตุ่ม
“เจเนสซ่า!!” ผมวิ่งเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วมองไปยังตัวต้นเหตุ ผมถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก นั่นคืองูของไมท์ มันไม่ทำร้ายใคร ถ้าเจ้านายมันไม่ได้สั่ง
“ไปซะ ซีฟ ถ้านายไม่อยากโดนไมท์เล่นงาน” ผมบอกมันเสียงเรียบ และก็รู้ว่ามันฟังออก มันผงกหัวเล็กน้อย แล้วเลื้อยหนีไป ผมละสายตาจากมันแล้วหันมามองร่างบางที่ยังอยู่ในอ้อมแขน นิ่งไม่ขยับ และเอาแต่จ้องหน้าผม ผมคิดว่าเธอคงช็อกกับเหตุการ์เมื่อครู่
“เป็นอะไรไหม” ผมถามเธอ
“นายเรียกฉันว่าอะไรนะ” แต่คำตอบที่ได้ถามกลับเป็นคำถามที่ทำเอาผมงง
“ว่าไงนะ อะไรของเธอเนี่ย” ผมก็ตอบคำถามเธอด้วยคำถามเช่นกัน ผมจะเรียกเธอว่าอะไรล่ะ ก็ชื่อเธอน่ะสิ บางทีเธออาจจะตกใจมากจนสมองประมวลผลไม่ถูก
“นายเรียกฉันว่า เจเนสซ่าใช่ไหม” แล้วผมก็รู้ว่าใครกันแน่ที่สมองประมวลผลไม่ถูก สิ่งที่ออกมาจากปากของเธอมันเหมือนเป็นค้อนปอนด์ที่ฟาดลงบนหัวของผม เล่นเอาผมค้างไปหลายวิแต่ผมก็รีบทำตัวให้เป็นปกติ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ทันแล้วก็ตาม
“หูเพี้ยนไปแล้ว” ผมปล่อยแขนออกจากตัวเธอและบอกเธอด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ มันอาจไม่เนียนเท่าไหร่แต่ผมก็ทำมันไปแล้ว
“ไม่ หูฉันไม่เพี้ยน ไม่เพี้ยนแน่ๆ นายรู้อะไรใช่ไหม นายรู้เกี่ยวกับตัวฉันใช่ไหม” ผมจ้องลึกไปในดวงตาของเธอ
“ฉันไม่รู้” ผมก้มหน้าลง นั่นเป็นคำตอบที่เลวมาก ผมคิด ผมจะบอกเธอได้ยังไงในเมื่อมันไม่ใช่หน้าที่ผม ถ้าผมบอกไปเธอจะมีสภาพแบบไหน ตัวผมเองก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน
“งั้นหรอ งั้นนายรู้เอาไว้ด้วยนะ ว่าการที่ต้องอยู่กับอะไรที่มันวนเวียน จับต้นชนปลายไม่ถูกมันแย่แค่ไหน” เสียงนั้นมาพร้อมกับเสียงสะอื้น ผมเงยหน้าขึ้นมามองเธอ น้ำตาใสๆที่ไหลอาบแก้มของเธอทำให้ผมแทบทรุด ผมมันเป็นพวกแพ้น้ำตาผู้หญิง เธอสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ
“ความรู้สึกสับสน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันไม่รู้จักใครเลยแม้กระทั่งตัวเอง! นายรู้รึเปล่าว่ามันทรมานแค่ไหน นายรู้บ้างไหม..” เธอก้มหน้าลงร้องไห้ เสียงของเธอจากที่ดังลั่น กลับกลายมาเป็นเบาหวิวเธอกำลังจะพูดต่อ แต่ผมทนดูภาพนั้นไม่ได้อีกแล้ว ผมคว้าร่างบางมากอดเอาไว้ ลูบหัวเธออย่างปลอบประโลม
“เข็มแข็งไว้ เจเนสซ่า..” สิ้นเสียงผม เธอก็เอาหน้าซุกที่หน้าอกผม ทิ้งน้ำหนักตัวลงมาแล้วร้องไห้อย่างหนัก ผมเงียบ กระชับอ้อมกอดนี้ให้แน่นขึ้นแล้วหลับตา ตั้งแต่นี้ ผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่ทำให้เธอต้องร้องไห้อีก ผมจะไม่ทำให้ผู้หญิงที่ผมรักต้องมีน้ำตาอีก ผมสัญญา..





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 10 2012, 10:11 PM
โพสต์ #5


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER III

: 09:00 @Building 2 | A Zone :

คลาสแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฉันเดินอย่าเร่งรีบเพื่อไปเข้าคลาสแรก เรื่องเมื่อคืนทำให้ฉันตื่นสาย
“ขอโทษค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้า นักเรียนตระกูลไมท์ติเนส เธอไม่พูดอะไรแต่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรจากดวงตาสีม่วงคู่นั้นมาให้
“ไอล่า เร็วหน่อย” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างบน ทั้งเธอและฉันต่างหันขึ้นไปมอง เขาเดินลงมาหาพวกเธอทั้งคู่และไม่ใช่ใครที่ไหน วิซทริคนั่นเอง
“สวัสดี” เขาทักทายฉัน
“สวัสดี วิซทริค” ฉันตอบกลับ เขายิ้มให้ฉันเล็กน้อย ย้ำว่าน้อยจริงๆ แล้วหันไปพูดกับผู้หญิงที่ชื่อไอล่า
“รีบไปสิ เธอกำลังจะมีลิสต์สายคลาสแรกนะ” ไอล่าไม่พูดอะไรแต่เธอเดินชนไหล่วิซทริคไป และยังไม่วายหันมาถลึงตาใส่ฉันอีกครั้ง อะไรกัน เจอกันวันแรกก็โจ่งแจ้งซะแล้ว
“อย่าไปสนใจเลย เธอโอเคไหม” เขามองตามเธอไปสักพัก ก่อนหันมาถามฉัน
“โอเคขึ้นเยอะ ขอบใจนะ เรื่องเมื่อคืน” ฉันขอบคุณเขา ฉันร้องไห้จนหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงของตัวเองแล้ว ตกใจแทบแย่ จนเชสต์มาบอกว่าเขาพาฉันมาส่งที่ห้อง นั่นล่ะถึงได้คลายกังวล
“ดีแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ แล้วหันหลังกลับไปคลาส แต่ฉันพูดขึ้นก่อน
“ที่จริง.. นายทำดีกับฉันมากกว่าที่นายคิดนะ” ฉันยิ้ม เห็นเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็รู้ว่าลึกๆแล้ว เขาเป็นคนดี เขาน่าจะเป็นเพื่อนกับฉันได้ และที่สำคัญเขาต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันแน่ๆ
“อย่าหวังว่าฉันจะทำแบบนั้นอีก ฉะนั้น ดูแลตัวเองด้วย” เขาบอกเสียงเข้ม แล้วเดินจากไป
แต่นั่นทำให้ฉันยิ้มได้ ฉันรีบเดินขึ้นบันไดไปอีกทางเพื่อเรียนคลาสแรก ก่อนที่ฉันจะเข้าสายไปมากกว่านี้

: 10:20 @ Building 2 | Classroom II :
..ฉันเก็บสัมภาระอยู่ที่โต๊ะด้วยใจเบิกบาน วันนี้ฉันทำคะแนนได้ดีทีเดียวในคลาส ไม่แปลกที่อาจารย์หลายท่านจะชอบใจ
“คุณทำคะแนนได้ดีนะ คุณเวสต์ เดี๋ยวผมต้องไปคุยกับอาจารย์คอลเนอร์ลินหน่อยแล้ว” อาจารย์เซาท์เอ่ยกับฉัน
“ขอบคุณค่ะ อาจารย์” ฉันกล่าวขอบคุณ เขาพยักหน้า แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
“โซเฟียส อาจารย์ใหญ่ เรียกพบแน่ะ ห้องประชุมศาสตราจารย์” เพื่อนร่วมคลาสคนนึงของฉันเดินเข้ามาบอกด้วยท่าทางเร่งรีบ
“อาจารย์ใหญ่หรอ” ฉันทวนคำ อาจารย์ใหญ่เรียกพบเด็กเกรดสิบ ไม่ค่อยมีให้เห็นกัน
“ใช่ รีบไปหน่อยล่ะ ท่าทางจะด่วน”
“อ่าห้ะ ขอบใจ” เธอพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง

..ฉันตรงไปที่ห้องประชุม แล้วเปิดประตูเข้าไป ฉันชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นคนในห้อง เชลล่า เชสต์ คริสต์ แมรี่ ไมท์ และ วิซทริค ที่หัวโต๊ะมีอาจารย์บางท่านและมีอาจารย์ใหญ่นั่งอยู่ ฉันก้มหัวให้เล็กน้อย แล้วนั่งลงข้างแมรี่ เพื่อนสนิทจากไมท์ติเนส
“อะไรกัน แมรี่”
“อ๋อ เรื่องทูตนักเรียนน่ะ” แมรี่ตอบ เมื่อวันแรกที่เข้ามา ฉันเคยเห็นติดประกาศการคัดเลือกคณะทูตนักเรียนประจำโรงเรียน เพื่อติดต่อกับโรงเรียนอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา และเป็นการสานสัมพันธไมตรีอีกทางหนึ่ง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ฉันไม่ได้สมัคร ทำไมฉันได้มาอยู่ในนี้ล่ะ
“เอาล่ะ คราวนี้เราก็ได้คณะทูตนักเรียนเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณเวสต์ที่มาใหม่ รบกวนคุณเชลล่าแนะนำเธอด้วย” อาจารย์ใหญ่พูดขึ้น แล้วอาจารย์ทุกคนก็เดินออกจากห้องประชุม
“ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ โซเฟียล่า ฉันคริสต์ ประธานสมาคมทูตนักเรียนแห่งเวิลด์ เมจิก ฮอลล์”
คริสโตเฟอร์ แมดเดิล ไมท์ติเนส รุ่นพี่เกรดสิบสองจากตระกูลไมท์ติเนส กล่าวแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการแม้ว่าจะรู้จักกันแล้ว
“สวัสดีค่ะ พี่คริสต์” ฉันก้มหัวลงเล็กน้อย
“เชสต์ รองประธาน คาดว่าน่าจะรู้จักกันแล้ว นี่เชล แมรี่ ไมท์ ซึ่งก็น่าจะรู้จักแล้วเช่นกัน ส่วนนั่น วิซทริค
วิซทริค วินเทจ ชาร์ลส์ เกรดสิบเอ็ด จากดีเฟนเดอร์”
พี่คริสต์แนะนำ เขาคงงคิดว่าฉันยังไม่รู้ยังกับวิซทริคล่ะมั้ง
“สวัสดีค่ะ” ฉันทักทายวิซทริคไปอย่างเออออไปตามน้ำ
“ความจริงมีไอล่าอีกคน แต่ตอนนี้เธอไปไหนแล้วไม่รู้ เอาเป็นว่าแล้วค่อยทำความรู้จักก็แล้วกัน”
คริสต์พูดถึงหญิงสาวอีกคน ฉันคิดว่าคงเป็นไอล่าที่เจอกันก่อนคลาสแรก เธอไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน ขี้เกียจมานั่งแปลกใจกับสายตาอาฆาตแค้นบ้าบอนั่นของเธอ
“พี่คริสต์คะ คือฉันสงสัย” ฉันเลิกคิดเรื่องไอล่า แล้วถามคำถามที่ฉันสงสัยอยู่ในใจก่อนหน้านี้
“อ่าห้ะ?”
“ฉันไม่ได้ส่งชื่อเข้าสมัคร แต่ทำไมฉันถึงได้เข้าสมาคมล่ะ”
“เป็นไปตามมติประชุมศาสตราจารย์ เธอมีคุณสมบัติเหมาะสม ความจริงเธอควรดีใจนะ เพราะสมาคมต่างๆที่ผ่านมาของโรงเรียนไม่เคยมีใครได้เข้าตั้งแต่เกรดสิบ เธอแน่มาก โซเฟียล่า” คริสต์ยิ้มให้ฉัน
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ” ฉันเกาจมูกแก้เขิน แบบที่เคยทำมาตลอด
“พี่คริสต์มาสก็ชมเธอเดินไป ดูสิ แก้มแดงเป็นแอปเปิ้ลแล้วนั่น” แมรี่หันมาแซว
“ใครให้เธอเรียกพี่แบบนั้น แมรี่” เขาหันไปพูดกับน้องสาว
“อ้าว ก็แมรี่ คริสต์มาสไง ไม่เอาน่า เราเป็นพี่น้องกันนะ อีกอย่างคริสต์มาสก็ออกจะน่ารัก” แมรี่พูดพร้อมกับกระพิบตาปริบๆใส่พี่ชาย
“เมอร์รี่ ต่างหาก ส่วนชื่อสัปปะรังเคนั่น น่ารักตรงไหนไม่รู้หาความน่ารักไม่เจอ” เขาพูดพร้อมยักไหล่
“เฮอะ!” แมรี่สะบัดเสียงใส่พี่ชาย ส่งผลให้คนอื่นที่ฟังอยู่เงียบหัวเราะออกมา พี่น้องคู่นี้น่ารักเสมอ
“เอาล่ะ วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว งั้นให้ทุกคนไปพักเถอะ สัปดาห์จะมีการรับเข็มทูตประจำโรงเรียน” พี่เชสต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังตามแบบฉบับ
“เห็นด้วย งั้น แยกย้ายได้ โชคดี ลักกี้นะทุกคน” พี่คริสต์บอก พร้อมก้าวเท้าเตรียมจะเดินออกจากห้อง
“อ้อ วิซทริค บอกไอล่าด้วยนะ สำหรับสมาชิกใหม่ของเราแล้วก็งานรับเข็ม” พี่คริสต์หันมาบอกวิซทริคที่นั่งเงียบอยู่นาน วิซทริคชายตามองฉันแว๊บเดียว ก่อนที่จะตอบสั้นๆ
“ครับ” เขาตอบ แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปจากห้องประชุม
“โซเฟียล่า ฉันมีอะไรจะให้เธอดู ไปห้องสมุดกัน” พี่เชลล่าควักมือเรียกฉัน
“อ๋อ ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วเดินไปห้องสมุดพร้อมกับพี่เชลล่า



: @Library Of The Magic Hall | History Zone :
เชลล่าเดินนำเธอมาจนถึงโซนข้อมูลประวัติศาตร์
“นั่งรอตรงนี้นะ” เชลล่าบอก แล้วเดินไปยังชั้นหนังสือ โซเฟียล่ากวาดตามองไปทั่วโซน เธอไม่เคยมาโซนนี้สักครั้ง ส่วนใหญ่เธอจะอยู่โซนดนตรี หรือไม่ก็ไอทีมากกว่า สักพักเชลล่าก็เดินมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนา เก่า ลอก กรอบและฉีกขาดบางส่วน
“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับทั้งสามตระกูลบ้าง ในด้านความสามารถและลักษณะนิสัยน่ะ” เชลล่านั่งลง แล้วถามเข้าประเด็น
“ก็รู้แค่ว่า ซากาเซียสรวบรวมบุคคลอันมีไหวพริบในการแก้ปัญหาและเอาตัวรอด สามารถวางแผนได้อย่างรวดเร็ว แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงไหม ที่บอกว่า ซากาเซียสเจ้าเล่ห์ที่สุดในสามตระกูล” โซเฟียล่าบอก
“อ่าห้ะ เจ้าเล่ห์ อาจจะใช่ เพราะตัวอย่างบุคคลในซากาเซียส สามารถวางแผนการต่างๆได้อย่างแยบยล”
เชลล่ายิ้ม แล้วพูดต่อ “แล้ว ไมท์ติเนสล่ะ”
“ไมท์ติเนส เป็นตระกูลแห่งความยิ่งใหญ่ อำนาจ การปกครอง พวกเขามีความสามารถในการวางแผนเช่นเดียวกับซากาเซียส แต่ส่วนมากจะเป็นไปในทางแผนการปกครองมากกว่า บุคคลในไมท์ติเนสมีความเป็นผู้นำสูง ใครๆก็สยบต่อพวกเขา” เชลล่าพยักหน้า เชิงว่าให้พูดต่อ
“ดีเฟนเดอร์ ตระกูลแห่งผู้พิทักษ์ พวกเขามีความสามารถในการอ่านใจคนได้สูง ทักษะป้องกันตัวของเขาก็สูงด้วยเช่นกัน เป็นพวกรักความสงบ บุคคลส่วนมากในดีเฟนเดอร์เป็นคนเงียบขรึม พูดง่ายๆว่าร้ายลึก”
“เยี่ยม แปลว่าเธอรู้จักทั้งสามตระกูลดีแล้ว” เชลล่ากล่าว
“เดี๋ยวนะคะ พี่เชล ที่ทำแบบนี้ เพื่ออะไรหรอคะ” โซเฟียล่าถาม เชลล่าสูดหายใจลึกแล้วถามโซเฟียล่าเป็นคำตอบ
“โซเฟียส เธอรู้จัก The most of Magician ไหม” เชลล่าถาม
“The most of Magician?” โซเฟียล่าทวนคำ
“มันเป็นการประลองแห่งเกียรติยศ จัดขึ้นทุกๆสี่ปี เพื่อเชิดชูเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลทั้งสาม” เชลล่าสูดหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“ทั้งสามตระกูลจะต้องส่งตัวแทนตระกูลละห้าคน เพื่อเข้าร่วมการประลอง ซึ่งมีข้อแม้ว่า ทั้งห้าคนนั้นต้องเป็นทายาทสายตรงของตระกูลตนเอง
การประลองนี้ ตัวแทนทั้งห้าคนของตระกูลนั้นๆ จะต้องชิงหนังสือหรือสมบัติประจำตระกูลของอีกสองตระกูลมาให้ได้ ซึ่งสิ่งๆนั้นจะอยู่ในครอบครองของหนึ่งในห้าคนจากตัวแทนของแต่ละตระกูล”
เชลล่าพูดโดยไม่มองหน้าโซเฟียล่า เธอเงียบไปสักพัก แล้วเงยหน้าขึ้นมา แววตาหวาดหวั่นอย่างเห้นได้ชัด
“การประลองนี้เคยจัดขึ้นตอนที่ฉันอยู่เกรดเจ็ด เด็กนักเรียนเกรดเจ็ดถึงเก้า ไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วม แต่ฉันก็รู้ข่าวมาจากพ่อเป็นระยะๆ มันไม่ใช่การประลองธรรมดา เคยมีการนองเลือดมาแล้ว ทุกๆครั้งที่จัดการประลอง จะต้องมีคนตาย ไม่ต่ำกว่าสามจากสิบห้าคน ซึ่งอาจหมายความว่า แต่ละตระกูลอาจจะต้องมีคนตายตระกูลละหนึ่งคน” เชลล่าพูดเสียงแข็งขึ้น
“ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีและนี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเรียกเธอมาในวันนี้ โซเฟียล่า” เชลล่าพูด โซเฟียล่าแจ่มแจ้งในหัวแล้วว่าเธอคือหนึ่งในห้าคนอย่างไม่ต้องสงสัย
“หมายความว่า..” โซเฟียล่าพูดออกมาไม่หมด เธอรู้สึกเหมือนอมทรายไว้ในปาก
“ใช่ เธอคือหนึ่งในห้าคนของตระกูลซากาเซียส โซเฟียส ฉันแปลกใจมาก จากการที่อ่านข้อมูลมา การประลองมีมาถึง 22 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 23 และที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเด็กเกรดสิบถูกคัดเลือกเข้าการประลอง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งไม่มีเลย เด็กเกรดสิบที่เคยร่วมการประลองมีแค่สองคนเท่านั้น ทายาทตระกูลทาวน์จากดีเฟนเดอร์ และทายาทตระกูลเซิร์ทจากไมท์ติเนส เขาสองคนสามารถรอดมาได้ แต่เจียนตาย” เชลล่าสบตาเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
“เธอเป็นเด็กเกรดสิบคนแรกของซากาเซียส และคนที่สามของเวิลด์ เมจิก ฮอลล์ ที่ร่วมการประลองตั้งแต่อายุ 16 ปี”
“แล้วทำไม ถึงเป็นฉันล่ะ”
“เพราะเธอคือทายาทสายตรงของตระกูลเวสต์”
“แต่ทายาทสายตรงของตระกูลอื่นก็มีตั้งมากมาย เหตุผลที่เลือกฉันล่ะ คืออะไร ใครที่เป็นคนเลือก”
โซเฟียล่าถามด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆแล้วเธมีความกลัวอยู่เล็กน้อย
“ฉันก็ไม่รู้ โซเฟียส พี่เชสต์บอกฉันมา ฉันก็เลยมาคุยกับเธอไว้ก่อน ส่วนใครเลือกนั้น คำตอบคือ พ่อฉันเอง”
คำตอบของเชลล่าทำให้เธอยิ่งโมโหเข้าไปอีก โมโหที่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อรู้ว่าคนที่เลือกเธอ คือ มาร์สัน ซากาเซียส ผู้นำตระกูลซากาเซียสคนปัจจุบัน
“โซเฟียส เธอต้องเข้มแข็งนะ ฉันเองก็ช็อกไปเหมือนกันตอนที่รู้ แต่ชะตามันถูกกำหนดไว้แล้ว มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” เชลล่าจับมือเธอเอาไว้ และบีบเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“มันเป็นไปตามคำทำนายนะ โซเฟียล่า”
“คำทำนาย?”
“อันสตรีผู้มาพร้อมกับเสียงเพลง ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ความรักคืออุปสรรค เธอคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ความหวังของเมจิกเชี่ยน”
เชลล่าพูดคำทำนาย
“ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย? การเปลี่ยนแปลง? ความหวัง? ความรัก?” โซเฟียล่าพูดเป็นเชิงคำถาม
“มีผู้หญิงคนนึง โซเฟียส เธอเป็นนักเรียนเกรดสิบสองจากดีเฟนเดอร์ ที่ร่วมการประลอง เธอชนะการประลอง แต่พี่น้องดีเฟนเดอร์สี่คนที่เหลือของเธอตาย เธอจึงแค้น และพยายามคัดค้านการประลองนี้ เธอค่อยๆรวบรวมสมัครพรรคพวกทีละนิดตลอดปีการศึกษา จากหนึ่งคน เป็นสอง สาม สี่ ห้า และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วันจบปีการศึกษา เธอลุกขึ้นมาปฏิวัติ แต่เธอทำไม่สำเร็จ ทั้งเธอและแกนนำอีกจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตาย ชื่อของเธอถูกจากรึกเอาไว้เสาทุกเสา หนังสือทุกเล่ม เธอตายเพื่อเกียรติยศของพี่น้องทั้งสี่คนของเธอ แต่ก็มีพวกที่ไม่หวังดี ทำลายจารึกของเธอไปทั้งหมด ไม่ว่าเราจะพยายามเขียนชื่อของเธอไว้ยังไงก็ไม่สำเร็จ เราจึงเลิก ชื่อของเธอหายไป แต่เธอไม่เคยหายไปจากความทรงจำของชาวเมจิกเชี่ยน” เชลล่าพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอคว้ามือโซเฟียล่ามาจับไว้อีกครั้งและแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ได้โปรดเถอะ โซเฟียล่า ไม่มีใครอยากเห็นการที่ผู้บริสุทธิ์ต้องตาย การเชิดชูเกียรติของทั้งสามตระกูลสามารถทำได้โดยวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ การประลองนี้มันไม่ต่างกับการฆ่าเพื่อสังเวยหรอกนะ” เชลล่าพูด
“พี่เชล ถ้าสตรีในคำทำนายนั้นเป็นฉัน ฉันทำแน่ ฉันต้องทำ.. แต่ถ้าเกิดมันไม่ใช่ฉันล่ะ” โซเฟียล่าถาม
“มันเป็นเธอแน่ สตรีผู้มากับเสียงเพลง เธอเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเวสต์ ตระกูลแห่งธรรมชาติและเสียงเพลง เธอคือบุคคลที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมการประลองตั้งแต่เกรดสิบ ฉันมั่นใจว่าเป็นเธอ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น... ฉันจะลองดูค่ะพี่เชล”
“ขอบคุณมาก โซเฟียส แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอต้องรู้”
เชลล่าเช็ดน้ำตาแล้วพูดต่อ
“ความรัก อย่างที่คำทำนายบอก มันคืออุปสรรค”
เชลล่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง โซเฟียล่าเข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงเป็นอุปสรรค ความรักทำให้คนอ่อนไหว และลังเลง่าย
“คำทำนายบอกไว้เหมือนกับว่า ฉันจะมีความรักให้กับหนึ่งในห้า ไม่จากไมท์ติเนส ก็ดีเฟนเดอร์” โซเฟียล่าพูดเชิงถาม
“ใช่ การรักศัตรู คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด โซเฟียส” เชลล่ากล่าว
“ศัตรู งั้นหรอ”
“ใช่ นอกการประลอง เราเป็นเพื่อนกัน ทั้งสามตระกูล มีคู่รักต่างตระกูลมากมายที่คบกันอยู่ในตอนนี้
นอกกการประลอง เราเป็นพี่น้องกัน ฉันสนิทกับคริสต์ เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน แต่เมื่อเราไปอยู่ในสนามประลองทั้งคู่ เราจะแปรผันเป็นศัตรูทันที”
เชลล่าถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ
“มันอาจจะยาก มีเพื่อนสนิทหรือคู่รักหลายคู่ที่ต้องไปอยู่ในสนามประลอง หลายครั้งที่พวกเขาไม่สามารถตัดขาดกันได้ สุดท้าย พวกเขาทั้งคู่ก็ต้องถูกอีกฝ่ายฆ่าตายหรือไม่ พวกเขาก็พร้อมที่จะตายไปพร้อมๆกัน เราทุกคนเจ็บปวดเสมอที่มีกรณีแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นแต่เรากำหนดมันไม่ได้” เชลล่าพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด น้ำตาของเธอไหลลงมาอีกรอบ
“โซเฟียล่า ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปมีใจให้ใครเป็นอันขาดจนกว่าการประลองจะสิ้นสุดลง เข้าใจไหม”
“ค่ะ ฉันจะไม่เผลอใจเด็ดขาด”โซเฟียล่าตอบ นั่นทำให้เชลล่าโล่งใจ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เธอรู้ว่าเด็กสาวคนนี้จะต้องไปเผลอมีใจให้ใครแน่ๆ
ไม่อย่างนั้น คำทำนายคงไม่พูดถึงแต่ผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร เธอก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะถ้ารู้ เธอจะพยายามกีดกันไม่ให้พวกเขาเจอกันเลย ทั้งชีวิตนี้..
“เอาล่ะ ไปพักเถอะโซเฟียส การประลองจะเริ่มขึ้นเดือนหน้า อาจจะเป็นต้นเดือน กลางเดือนหรือท้ายเดือน ฉันก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน” เชลล่าบอก
“ค่ะ พี่เชลก็พักบ้างนะคะ อย่าเครียดล่ะ” โซเฟียล่าพูด แล้วยิ้มให้เธอ เชลล่าเธอเป็นคนที่อ่อนหวาน ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เชื่อได้เลยว่านั่นทำให้เธอรู้สึกแย่เอามากๆ



:13:30 @Sagacious | Zofiala’s room:
ทันทีที่กลับมาที่ห้อง ฉันตรงอิ่งไปยังแล็ปท็อป และเปิดค้นหาข้อมูลทันที หญิงสาวผู้ซึ่งตายอย่างสมเกียรติ ฉันลืมถามเชลล่าว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร ดังนั้น จึงต้องมาหาข้อมูลด้วยตนเอง ฉันใช้เวลาหาอยู่นานแต่ก็ไม่พบ คีย์เวิร์ดหลายคำที่ใส่ลงไปไม่ช่วยอะไรเลย ไม่มีแม้ตำนาน นิทาน หรือนิยายอ้างอิงถึงผู้หญิงคนนั้น จริงที่เชลล่าบอก เรื่องราวของเธอโดนลบออกไปจากประวัติศาสตร์ ราวกับไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้ เหลือแต่เพียงการเล่าขานและความทรงจำจากรุ่นสู่รุ่น.. ฉันพับแล็ปท็อปเก็บไว้ ทิ้งตัวลงบนที่นอน หยิบเฮดโฟนมาใส่ เปิดเพลงบรรเลงสบายหูเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ฉันรู้สึกว่าตัวเองเจอเรื่องเครียดมาตลอดตั้งแต่เข้ามาในเวิลด์เมจิกฮอลล์ ฉันใช้มือลูบหน้าตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอะไรบางอย่าง แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมา ฉันกดหารายชื่อในโทรศัพท์ ‘Marry’
“ฮัลโหล” เสียงของแมรี่ดังมาจากปลายสาย
“แมรี่ วันหยุดนี้ว่างไหม?”
“อืมม์ แป๊บนะ อ่า ว่างๆ ทำไมหรอ”

“ไปคลับเมจิกกันไหม?” ฉันเอ่ยชวน เมจิกคลับ เป็นคลับสำหรับนักเรียนเกรดสิบถึงสิบสองที่ต้องการวันดีๆเพื่อผ่อนคลายสมอง
“คลับเมจิกงั้นหรอ ไปสิ ว่าแต่เธอไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่ เป็นอะไรไป” แมรี่ถาม เพราะตลอดสามปีที่เป็นเพื่อนกันมา ฉันไม่เคยมีวี่แววว่าสนใจจะไปสถานที่แบบนั้นเลย จะไปก็ต่อเมื่อโดนบังคับเท่านั้น
“ฉันเครียดนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ดีแล้วๆ หาอะไรคลายเครียดบ้าง งั้นวันหยุดนี้ สองทุ่มนะ โอเค้?”
“โอเค สองทุ่มฉันจะไปรับเธอที่ไมท์ติเนส”

“อื้ม บาย” แมรี่ตัดสายฉันไป เพื่อนสาวคงตกใจไม่น้อยที่จู่ๆฉันก็เอ่ยชวนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ฉันหลับตาลงเพื่อผ่อนคลาย แล้วก็หลับไปในที่สุด


: 19:00 @ World Magic Hall |The Hall :
และแล้ว วันรับเข็มของสมาคมนักเรียนทูตแห่งเวิลด์ เมจิก ฮอลล์ก็มาถึง บรรยากาศในงานเป็นเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับไม่มีผิด เพียงแต่จะครึกครื้นกว่า เพราะนักเรียนหลายคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น ทางด้านสมาชิกของสมาคมที่เก็บตัวอยู่ในห้องต่างไม่มีความตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นอะ
ไรเลย สังเกตได้จากคริสต์ที่นั่งเล่นเกมกับแมรี่ เซ็ทริคที่อ่านหนังสือวรรณกรรม เชลล่ากำลังเปิดนิตยสารเล่มโปรดของเธอ ไมท์กำลังง่วนอยู่กับการให้อาหารซีฟ งูของเขา ไอล่าที่เอาแต่นั่งกอดอกราวกับว่าเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา และวิซทริคที่พยายามทำอะไรบางอย่างกับแล็ปท็อปตัวเอง ฉันมองภาพนั้นด้วยความแปลกใจปนขำ
“พี่คริสต์! ไปทางซ้ายสิๆ ซ้ายๆ” เสียงแหลมๆของแมรี่ดังขึ้นมา
“แมรี่ เธอน่ะแหละไปทางซ้าย เร็วๆ เดี๋ยวก็โดนยิงหรอก” เสียงของคริสต์ก็ดังไม่แพ้กัน
“ไม่ พี่น่ะไป! เดี๋ยวฉันจะอยู่ข้างบนเอง แผนนี้ฉันเป็นคนคิดนะ!” แมรี่ทำเสียงหงุดหงิดใส่พี่ชาย
“ใครว่า พี่ต่างหาก อย่ามาตู่นะ” คริสต์ขมวดคิ้ว
“ฉันต่างหาก!” แมรี่
“พี่ต่างหาก!” คริสต์
“ฉัน!” แมรี่
“พี่!” คริสต์โทเฟอร์เถียงไม่หยุด ด้านแมรี่ที่เริ่มทนไม่ไหว กำลังจะอ้าปากเถียงต่อ
แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากหน้าจอพร้อมตัวหนังสือสีแดง ‘Game Over’
“อ๊าาา พี่นี่ยังไงนะ แพ้เลย เห็นไหมเนี่ย” แมรี่วีน
“นี่ๆ น้อยๆหน่อย เรานั่นแหละ ชวนพี่เถียงทำไม” คริสต์แย้ง แต่ก่อนที่ใครจะพูดอะไรอีกนั้น ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาก่อน
อาจารย์ฮัฟฟินงงกับภาพที่เห็นเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น
“ขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่ถึงเวลาของพวกคุณแล้ว อีกหนึ่งนาที” พูดจบเขาก็เดินออกไป
“เอาล่ะ การรับเข็มไม่มีอะไรมาก แค่ถ้าอาจารย์คอลเนอร์ลินเรียกชื่อใคร ให้เดินออกไปที่แท่น รับเข็มที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ แล้วยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะครบทั้งแปดคน เสร็จแล้วอาจารย์ใหญ่ก็จะกล่าวอะไรนิดหน่อย อันเป็นเสร็จพิธี” เซ็ทริคร่ายถึงวิธีการรับเข็ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย หลังจากที่เซ็ทริคพูดจบไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อพวกเขา
“คริสต์โทเฟอร์ แมดเดิล ไมท์ติเนส” เสียงอาจารย์คอนเนอร์ลินดังขึ้นมา คริสต์ยักไหล่คล้ายๆกับว่า ‘กะแล้ว‘ แล้วเขาก็เดินออกไป
“แมรรี่ เดล ไมท์ติเนส” เป็นไปตามคาดอย่างไม่ต้องสงสัย
“แหงสิ” แมรี่ยักไหล่ท่าเดียวกับพี่ชาย แล้วเดินออกไป
“แอนลิส ไอล่า อีเควสเตอร์” ไอล่าเดินออกไปสีหน้านิ่งเฉยตามแบบฉบับ
“คอสสัน ไมท์ สติลเลอร์” ไมท์วางรูบิคที่กำลังเล่นไว้ บิดขี้เกียจ แล้วเดินออกไป
“วิทริค วินเทจ ชาร์ลส์” วิซทริคพับแล็ปท็อปของเขาไว้ เดินออกไปด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ
“เซ็ทริค เชสต์ ซากาเซียส” เซ็ทริคจัดไทด์ของเขาให้เข้าที่ และเดินออกไปด้วยมาดคุณชายที่ใครๆเห็นก็ต้องเคลิ้ม
“เชลล่า ซิสนี่ ซากาเซียส” เชลล่าวางนิตรสารไว้บนโต๊ะ เธอยิ้มให้ฉัน แล้วเดินออกไป ตอนนี้คนเดียวที่ยังอยู่ในห้อง
“โซเฟียล่า นาสซ์ตี้ เวสต์” ฉันสูดหายใจลึก เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนที่จะเดินออกไป ฉันเดินขึ้นไปที่แท่น หน้าอาจารย์ใหญ่ เขาติดเข็มให้ฉัน ฉันกล่าวขอบคุณ แล้วเดินไปยืนข้างๆเชลล่า ทั้งห้องโถงเงียบกริบ
“การที่เราก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้การติดต่อกับโรงเรียนอื่นง่ายขึ้น เป็นการสานสัมพันธไมตรีในตัว
ในระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานต่างๆที่ต้องร่วมกับโรงเรียนอื่น การที่ไม่มีความคุ้นเคยกัน ทำให้ทำงานร่วมกันไม่อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้งานออกมาไม่มีเท่าที่ควร ดังนั้น นี่คือเหตุผลว่า ทำไมต้องมีสมาคมนี้ขึ้นมา ขอให้พวกเธอทั้งแปดคนตั้งใจทำหน้าที่นี้ให้สุดความสามารถ แล้วมันจะออกมาดีเอง ขอให้โชคดี ขอบคุณ”
สิ้นเสียงของอาจารย์ใหญ่ก็มีเสียงปรบมือดังทั่วทุกสารทิศ สมาชิกทั้งแปดคนโค้งคำนับ แล้วเดินออกไปจากแท่นตรงไปยังห้องของสมาคม

“ฮู้วววววววววววว” เสียงแมรี่ที่ดังมาตั้งแต่ประตูจนถึงเก้าอี้ของเธอ
“เอ่าล่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หนุ่มสาว คืนนี้เรามีปาร์ตี้ที่คลับเมจิกกัน” คริสต์บอกทุกๆคน
“ว่าไงนะ” ฉันโพลงขึ้นมา
“เปลี่ยนแผนใหม่ โซเฟียส ปาร์ตี้กันคืนนี้เลย ฉลองการรับเข็มด้วยไง” แมรี่บอก
“แต่ วันนี้ไม่ใช่วันหยุด เราออกนอกตัวปราสาทไม่ได้นี่” ฉันแย้ง
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นฉันเคลียร์แล้วล่ะ” เซ็ทริคพูดขึ้น ทำเอาฉันเกือบสำลักน้ำลาย
“หา?” ฉันงงเป็นไก่ตาแตก ไม่คิดว่าเซ็ทริคก็เอากับเขาด้วย
“ตกใจขนาดนั้นรึไง” เซ็ทริคยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูดีที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาเลย
“อ๋อ เปล่าค่ะ” ฉันบอกเสียงเบาด้วยอาการเก้ๆกังๆ มือไม้ไปไม่ถูก ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้ฉันกำลังเขิน
“พอๆ หยุดๆ ทั้งสองคนเลย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ พวกนายคงไม่คิดจะใส่ยูนิฟอร์มไปคลับกันหรอกนะ” คริสต์พูดขัดจังหวะขึ้นมา ฉันล่ะอยากจะขว้างไม้ใส่เขาจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นรุ่นพี่ล่ะก็นะ
“ฉันเคยคิดนะคริสต์” เชลล่าเอ่ยกวนประสาทเขา
“ไม่ต้องเลยเชล ไม่รู้ล่ะ สามทุ่มล้อหมุน อีกสิบนาที ไปไม่ทันไม่รู้น้าา” คริสต์พูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะคล้องคอน้องสาวเดินออกไปจากห้อง โดยที่เหลือทำได้แค่ยักไหล่ และแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


: 21:00 @Sagacious :
ฉันออกมาจากห้องด้วยชุดเดรสสั้นเหนือเขาสีดำ ส้นสูงสีดำ สร้อยคอจี้รูปเมโลดี้สีเงินเมื่อกระทบแสงไฟจะเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าเข้ากับดวงตาของฉัน ผมจากที่เคยปล่อยสยาย วันนี้กลับรวบเป็นมวย มาสคาร่ากรีดขอบตาบางๆทำให้ดวงตากลมโตอยู่แล้วยิ่งโตเข้าไปอีก ขนตางอนช้อนธรรมชาติเป็นไม่ต้องทำอะไรมาก แก้มแดงระเรื่อด้วยบลัชออนสีพีช ริมฝีบางสีแดงสดถูกทาเพียงลิปกลอสใสๆเท่านั้น
“สวยมาก โซเฟียส นานๆทีจะเห็นเธอแต่งอะไรแบบนี้” เชลล่าเอ่ยชม
“ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ” ฉันพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“ไม่รู้ล่ะ แต่เธอสวยมาก ไปกัน ทุกคนรออยู่” พี่เชลล่าพูดแล้วดึงแขนฉันออกไปจนถึงหน้าคฤหาสน์
“ว้าว โซเฟียส พึ่งเคยเห็นเธอแต่งในลุคแบบนี้แหะ สวยๆ” คริสต์เป็นคนแรกที่เอ่ยชมตั้งแต่ฉันโดนพี่เชลล่าลากออกมา
“โซเฟียส!!! ดูเธอสิ” แมรี่มาพร้อมกับเสียงแหลมปรี๊ดของเธอ แมรี่เดินเข้ามาพร้อมกับจับตัวฉันหมุนไปมา
“เอาล่ะๆ ชมกันพอแล้ว ไปกันได้ยัง” คริสต์ที่ยืนกอดอกพิงกระโปรงรถอยู่พูดขึ้น อ่า เท่ห์อะไรอย่างนี้ ฉันยืนยิ้มให้กับความคิดบ้าๆของตัวเอง


: 21:15 @ Magician Club | VIP Zone :
:~ Viztrick Part ~:
ผมนั่งอยู่โซนวีไอพีของคลับ ข้างๆผมคือไมท์กับไอล่า ส่วนเซ็ทริคเดินเข้าไปในบาร์ อาจจะไปสรรหาเครื่องเดิมอยู่ ดูเนี้ยบๆแบบนั้นแต่เจ้าเล่ห์พอตัวเลยล่ะ ผมหันไปมองไอล่าที่นั่งกอดอกหน้ามุ่ยอยู่ เธออยู่ในชุดเดรสสีม่วงเข้ากับดวงตาของเธอ ผมดัดเป็นลอนปล่อยยาว ผมว่าเธอก็โอเคดี แต่นิสัยไม่ค่อยจะไหวสักเท่าไหร่ ผมกับเธอเป็นคู่หมั้นกัน คุณฟังไม่ผิดหรอก คู่หมั้นจำเป็น ฟังดูดีชะมัด ผมกับเธอถูกบังคับให้หมั้นกันไว้เพื่อธุรกิจของสองตระกูล ในตอนแรกมันคือเมอร์ริกแต่หมอนั่นกลับชิ่งไปมีแฟนซะก่อน และแน่นอนว่าแฟนกำมะลอ ผมกับไอล่าเราไม่มีใจพิศวาสอะไรกันเลยสักนิด ทั้งเธอและผมทนๆกันมาได้เดือนกว่านี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ข่าวหมั้นของเราเริ่มกระจายออกไปสู่สังคม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จริงๆว่าอะไรคืออะไร
“มาช้ากันจริงๆ” เสียงหงุดหงิดของไอล่าดังขึ้นข้างๆผม ผมชินแล้วล่ะกับนิสัยของเธอ เห็นเป็นแบบนี้ แต่ในบางครั้งเธอก็พึ่งพาได้ และในบางครั้งอีกเช่นกันที่เธอร้ายซะยิ่งกว่านางมารซะอีก ผมส่ายหัวกับนิสัยของเธอ ทำให้เธอลุกสะบัดก้นเดินไปทางบาร์เทนเนอร์ที่นั่งอยู่ตรงมุมขวามือ แต่ผมไม่ได้สนใจเธอเท่าไหร่ ไอล่าสามารถเอาตัวรอดได้
“มาแล้วๆ” เสียงคริสต์ดังขึ้นมา ทำให้ผมหันไปมองบุคคลอีกสี่คนที่มาใหม่ แล้วผมก็ต้องอึ้ง เจเนสซ่า เธอสวยมาก ผิวขาวเนียนตัดกับเดรสสีดำของเธอ ดวงตากลมโต เรียวปากสีแดงสดน่าเย้ายวนนั่น วันนี้เธอสลัดคราบเด็กสาวใสๆ มาเป็นหญิงสาวหวานซ้อนเปรี้ยวได้อย่างลงตัว อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยเห็นเธอในลุคนี้มาก่อนก็ได้ ถ้าผมเห็นซ้ำๆ ผมอาจจะเบื่อ อาจจะ..
“เอ้า มองนานไปแล้ว วินเทจ สวยล่ะสิ” ผมได้ยินเสียงรุ่นพี่คริสต์พูดขึ้นมา น้ำเสียงกลั้วขำนั่นทำให้ผมอยากแทรกแผ่นดินหนี แต่ผมทำไม่ได้
“ก็งั้น” ผมบอกปัดเสียงเรียบ ก่อนจะยักไหล่แล้วเอนหลังไปพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆกลบเกลื่อน แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองเธออีกครั้ง ด้านเจเนสซ่าที่ทำเป็นไม่สนใจ แต่พอได้ยินและเห็นท่าทางของผม เธอก็จิกสายตาลงมาหาผม นั่นทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ
“โซเฟียส!! ไปฟลอร์เต้นข้างล่างกันเถอะ” แมรี่ที่เงียบอยู่นานโพลงขึ้นมา ผมอยากห้ามไม่ให้เธอไป แต่จะทำได้ยังไงล่ะ
“เอ้ย จะบ้าหรอ ฉันเต้นไม่เป็นนะ” เจเนสซ่าหันไปพูดกับแมรี่ที่เขย่าแขนเธออยู่ด้วยเสียงเบาสุดขีด แต่เสียใจด้วย ผมได้ยิน แล้วผมก็พอใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มาจะสอน” แมรี่พูดเสียงเบาเท่าๆกับเจเนสซ่า และผมก็ได้ยินอีกเช่นเคย ยังไม่ทันที่เจเนสซ่าจะพูดอะไร เธอก็ถูกเชลล่ากับแมรี่ดึงไปเสียแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่ารวดเร็วกำลังจะลุกตามเธอไป แต่สมองกลับสั่งให้หยุดไว้ก่อน
“เอาน่า น้องสาวฉันไม่พาไปเถลไถลที่ไหนหรอก” ด้านคริสต์ที่คาดว่าน่าจะคอยมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆพูดกลั้วขำอีกรอบ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ หยิบแก้วแชมเปญที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม สายตามองลงไปที่ฟลอร์เต้นด้านล่าง ผมยอมรับว่าตอนนี้เธอสวยมาก มากจนผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย..

“สวยดีหนิ” ไอล่าพูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆผม เธอมองไปยังไลฟ์ที่โชว์อยู่ขณะนี้แล้วสั่นแก้วค็อกเทลเข้มข้นในมือไปมาเบาๆ ผมดูแว๊บเดียวก็รู้ว่าเธอเริ่มจะเมา
“อะไรของเธอ” ผมถาม เธอไม่ตอบหรืออาจจะไม่ได้ยิน แต่ผมมั่นใจว่าเธอคงหมายถึงเจเนสซ่า หลังจากที่เธอกระดกค็อกเทลจนหมดแล้ว เธอก็พยายามแย่งแชมเปญจากมือผมไป
“เฮ้ๆ เธอเมามากแล้วนะ พอได้แล้ว” ผมพยายามปราบเธอ
“ยุ่งน่าา” เธอบอกเสียงงัวเงีย เห็นได้ชัดว่าเธอเมาอย่างเต็มที่แล้ว เราสองคนยื้อฉุดแก้วแชมเปญกันอยู่นาน จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว
“พอได้แล้วไอล่า! หยุดทำตัวแบบนี้สักที” ผมวางแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะอย่างแรงแล้วตวาดใส่เธอ แต่เพราะเสียงเพลงที่มันดังมากจึงทำให้คนรอบข้างไม่ได้ยิน ไอล่าหยุดชะงัก เธอมองผมด้วยสายตายากจะหาความหมาย แล้วเธอก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด!!


: 22:00 @ Magician Club | VIP Zone :
..ฉันมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เอ่อ ไม่ใช่ว่าฉันหึงหรืออะไรหรอกนะ มันแค่ ไม่ชอบน่ะ เห็นแล้วขวางหูขวางตา ก็รู้ๆอยู่น่ะนะว่าเป็นคู่หมั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นคู่หมั้นแล้วจะมาทำประเจิดประเจ้อได้แบบนี้ จูบดูดดื่มกลางคลับ ฟังดูเข้าท่าดี แถมโซนวีไอพีซะด้วยสิ
“โซเฟียส!! ทำไมขึ้นมาก่อนล่ะ กำลังสนุกเล..โอ๊ะโอ..” เสียงแมรี่ดังมาจากข้างหลังฉัน นั่นทำให้พวกเขาผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว สีหน้าเจื่อนๆที่วิซทริคมองมา ทำให้ฉันต้องเสมองไปทางอื่น หน้าเจื่อน? หึ
“อ้าวๆ มากันแล้วหรอสาวๆ” เสียงของคริสต์ดังขึ้นมา
“พี่เชสต์ล่ะคะ” ฉันถาม คำถามที่ถามไปเฉยๆ ในใจได้ไม่อยากรู้คำตอบ เพียงแต่อยากแสดงให้เขาเห็นว่า สิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรมากมายขนาดที่เขาต้องทำหน้าเจื่อนขนาดนั้น
“อ้อ เชสต์ฝากมาบอกว่า มีงานด่วน สงสัยเด็กที่ซากาเซียสก่อเรื่องน่ะ” คริสต์ตอบ เขาหันไปมองไอล่าที่ซบอยู่กับไหล่ของวิซทริค
“ทำไมไอล่าอยู่ในสภาพนั้น?” เขาถาม พร้อมกับชี้ไปทางวิซทริค
“เธอดื่มหนักไปหน่อยน่ะครับ” วิซทริคตอบ แล้วปรายตามาทางฉัน
“อืม ครั้งหน้าก็ปรามๆหน่อยล่ะ เอาล่ะ กลับกันเถอะ ไอล่าเดินไหวไหม?” คริสต์ถาม
“ท่าทางจะไม่ไหว เดี๋ยวฉันจัดการเอง โซเฟียสฝากหน่อย” แมรี่อาสาแล้วยื่นกระเป๋ามาให้ฉันถือ เธอเดินเข้าไปพร้อมกับเชลล่า แล้วพยุงไอล่าขึ้นมา

...เราทั้งหมดเดินออกมาถึงลานจอดรถ ไมท์รีบมาเปิดประตูให้สองสาวที่กำลังพยุงคนเมาไม่รู้เรื่องด้วยท่าทางโซซัดโซเซ
“ระวังหัว!” ไมท์บอกก่อนจะกดหัวไอล่าให้ต่ำลงแล้วเอาตัวเธอเข้าไปในรถ แมรี่และเชลล่าเดินไปเปิดประตูอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถ ฉันดึงตัวไอล่าขึ้นมาเพื่อให้อีกสองคนจัดแจงที่นั่งได้ แล้วหัวเธอก็เอนไปซบแมรี่ที่นั่งติดเธอ ราวๆยี่สิบนาทีที่รถแล่นกลับมาถึงซากาเซียส ฉันเปิดประตูและกำลังจะก้าวขาลง ทว่า ฉันรู้สึกถึงแรงบีบที่มือ จึงหันหลังกลับไปดู ไอล่าจับมือฉันไว้แน่น ฉันมองหน้าเธอสักพักรอยยิ้มมุมปากบนใบหน้าสวยก็ปรากฏแก่สายตา นั่นทำให้รู้ชัดว่าเธอไม่ได้เมา!
“มีอะไรหรอ” คริสต์หันมาถาม เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ก้าวลงจากรถสักที
“เปล่าค่ะ” ฉันยิ้มให้เขาพลางแกะมือของไอล่าออกแล้วลงจากรถ ฉันสูดหายใจลึกในขณะที่หัวสมองนึกขำ เธอจะแกล้งเมาไปเพื่ออะไรกัน? ยั่วให้ฉันโกรธ? แล้วเรื่องอะไรล่ะ ฉันจะโกรธเธอเรื่องอะไรกัน? ฉันแค่นหัวเราะในลำคอราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ทว่า ความรู้สึกบางอย่างมันบ่งบอกว่าเรื่องนี้มันไม่ตลกเลยซักนิด..


: @The Dark High :
ปัง!.. ปัง!... ปัง!...
เสียงปืนดังสนั่นอย่างมีน้ำหนักและมั่นคง หญิงสาวกำปืนแน่นแล้วเหนี่ยวไกลได้อย่างแม่นยำ
ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!
..ไม่นานเสียงปืนที่ดังเป็นจังหวะบีบเค้นหัวใจก็เปลี่ยนมาเป็นระรัว หญิงสาวรัวปืนไม่ยั้งราวกับว่าเป้าที่เธอยิงนั้นเป็นคนที่เธอเกลียดชังเข้ากระดูกดำ เธอละเลงเต็มที่จนกระทั่งลูกปืนหมด เธอจึงใส่ลูกปืนเต็มกระบอก แล้วสูดหายใจลึกคล้ายจะผ่อนคลายอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในขณะนี้ เธอค่อยๆยกปืนขึ้น แล้วเล็งเป้า
ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกกระสุนเจาะเข้าที่กลางหัวอย่างสวยงาม ตามด้วยที่คอ แล้วก็ตัดขั้วหัวใจ..
“ไง” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเธอ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือใคร หญิงสาวปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งความสนใจไปที่เป้าข้างหน้าต่อ
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง!!” เสียงทุ้มเริ่มมีน้ำโห แต่นั่นไม่ได้กระเตื้องความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอยังเล็งเป้า และยิงต่อไปราวกับว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้
“แบบนี้สินะ มันถึงได้ทิ้งเธอ!”
กึก! เสียงปลายกระบอกปืนกระทบศีรษะ ทำให้ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย เพราะตอนนี้ถ้าเขาขยับแม้แต่เสี้ยวมิลลิเมตร เขาอาจตายได้ด้วยลูกกระสุนเพียงลูกเดียว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะอาวุธของเขาก็อยู่ที่เอวของเธอเช่นกัน มันคือไม้เท้า หรืออาจจะเรียกมันว่าไม้คาถา โลหะน้ำหนักเบาขนาดพอดีมือ ตรงหัวมีเพชรสีนิลเม็ดใหญ่ฝังไว้ มันสามารถปลิดชีพคนได้ไม่ถึงเสี้ยววินาที เพียงแค่ผู้ใช้ปล่อยพลังสีดำออกจากเพชรสีนิลเม็ดนั้น ทว่า.. นั่นก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้หญิงสาวได้เช่นกัน
“หึ ฉันก็อยากรู้เหมือนว่าหมอนั่นมีดีตรงไหน ดีก็แค่เล่นบทนกสองหัวไปวันๆ!!”
“เขาก็ยังดีกว่าคุณ ที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากอยู่ในโพรง เอาแต่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่.. ในโลกอันกระจอกงอกง่อยของตัวเอง” เธอพูดเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“อย่าปากดี!!” เขาตวาดพร้อมกับดันอาวุธของเขาให้แรงขึ้นอีก หญิงสาวเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งแบบที่เธอทำมาตอลดชีวิตแม้ในเวลาเช่นนี้
“หุบปากอันโสมมของคุณไว้เถอะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าคุณอีกเหมือนกัน ฉันมันปากดี แต่คุณมันดีแต่ปาก!!” เธอขึ้นเสียงพร้อมกับเน้นน้ำหนักที่ปลายกระบอกปืนในพยางค์สุดท้ายของประโยค เธอแสยะยิ้มเมื่อเห็นเขาตาลุกวาว เธอหรี่ตามองโลหะสีดำที่ดันอยู่กับเอวของเธอ พร้อมกับยิ้มมุมปาก
“คุณใช้มันไม่ได้ ถ้าคุณใช้เวทย์มนต์เมื่อไหร่ ทางนู้นก็จะรู้ความเป็นไปของคุณ คุณคงไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอก จริงไหมคะ คุณแดรกโกเวนส์!” เธอเรียกเขาด้วยชื่อตระกูลของเขาเอง ตามธรรมดาทั่วไป นี่คือการให้เกียรติ แต่สำหรับดาร์กไฮ มันคือการหยามเหยียดวงตระกูลอย่างถึงที่สุด!...เหมือนที่เขาเคยเหยียดหยามตระกูลของเธอ
“โซเฟียส!!” เสียงตวาดดังลั่นทำให้หญิงสาวเหยียดรอยยิ้มสวยที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ รอยยิ้มนี้..ถ้าเธอไปยิ้มแบบนี้ให้กับใคร เขาก็คงจะศิโรราบต่อเธอเป็นแน่ เว้นเสียแต่ว่า เขาผู้นั้นรู้ รู้ว่ารอยยิ้มนี้มันเคลือบไปด้วยยาพิษ!!
..เขามองเธอด้วยตาลุกวาวมากกว่าเดิม แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากคาดโทษไว้แล้วเดินกลับไปอย่างหัวเสีย หญิงสาวยิ้มพอใจ ก่อนหันกลับมาซ้อมปืนต่อ แต่ทว่า..
“ฉันคือพอเทียร์ หัวหน้าทีมวางแผนและการต่อสู้มือหนึ่งของดาร์กไฮ ถ้าเธอไม่อยากตาย ให้อยู่ห่างๆบอสซะ!” พอเทียร์ผลักหัวเธอด้วยปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ที่หัวตั้งแต่เธอหันกลับมา
เหมือนที่เธอทำกับแดรกโกเวนส์เมื่อกี้ ความเย็นเฉียบของมันแล่นเข้าสู่ร่างกายและสิ้นสุดอยู่ที่ขั้วหัวใจ..
“น้ำหนักของความแม่นและมั่นคงของเธอกับฉันมันต่างกันมากนัก แต่ถ้าเธอจะลอง.. ก็ไม่ว่ากัน” พอเทียร์พูดด้วยน้ำเสียง สายตาและท่าทางท้ายทาย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ เธอจึงหัวเราะในลำคอก่อนถอนปืนออกจากศีรษะ แล้วเดินจากไป
…หญิงสาวมองพอเทียร์ที่เดินออกไป ไม่นาน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยขึ้นที่มุมปากของเธอ..


เขากลับเข้ามาในห้องทำงานอย่างหัวเสีย เขากระแทกตัวลงที่โต๊ะ สองมือกำหมัดแน่น ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยภาพไฟกำลังลุกไหม้
“ดิมิทริซ!!!” เขาตวาดเสียงดังลั่นเรียกชื่อของใครคนหนึ่ง
“ครับ” เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตอบรับอย่างนอบน้อม ดิมิทริซมีอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น แต่กลับสามารถทำให้ตัวเองเป็นคนโปรดได้ ถือว่ามีความสามารถทีเดียว เนื่องจากเขาเด็กที่สุดและทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่หือใดๆทั้งสิ้น
“ไปเรียกพอลลักซ์มา แล้วนายก็มาด้วย”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบและโค้งหัวให้ แล้วเดินออกไป ซักพักก็กลับเข้ามาพร้อมชายอีกคนที่ดูแก่กว่ามาก อายุราวๆสามสิบปี
“มีอะไรหรือครับ” พอลลักซ์ถาม
“ฉันอยากให้นายจัดการคนๆนึงหน่อย” แดรงโกเวนส์เดินเข้ามาพร้อมกับวางรูปผู้หญิงคนหนึ่งลงบนโต๊ะกลมกลางห้อง
“นี่มัน ยัยเด็กปากดี อวดเก่งโซเฟียสนี่ ใช่ไหมครับ” พอลลักซ์ถามหลังจากดูรูปที่อยู่บนโต๊ะ
“ไม่ นี่ไม่ใช่โซเฟียส” แดรงโกเวนส์พูด ในขณะที่ดิมิทริซเดินเข้ามาดูรูปใกล้ๆ แล้วก็ทำให้หัวใจเขาหล่นวูบ ในใจภาวนาไม่ให้เป็นคนที่เขาคิด
“ถ้าอย่างนั้น...” เสียงของพอลลักซ์เอ่ยออกมาเหมือนรู้แล้ว
ไม่ใช่.. ไม่ใช่ ดิมิทริซคิด
“ใช่ นี่คือน้องสาวผู้ไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกจนน่าขยะแขยง” แดรงโกเวนส์พูด แล้วตามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
ไม่จริง ต้องไม่ใช่ เสียงของเด็กหนุ่มคร่ำครวญอยู่ในใจภายใต้ใบหน้าและดวงตาอันเรียบเฉย ไม่แสดงถึงความรู้สึกใดๆ
“น่าจะจัดการไม่ยากนะครับ” พอลลักซ์พูดพร้อมกับใช้มือลูบคาง
“ถ้าไม่มีไอ้พวกเศษขยะอย่างไอ้นกสองหัวเซ็ทริคนั่น กับไอ้วิซทริคและเพื่อนของมัน” แดรงโกเวนส์พูดเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความแค้น สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำให้พอลลักซ์มีสีหน้าไม่สบายใจเล็กน้อย
“เราต้องแยกพวกมันออกจากกัน...แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ” ความคิดเห็นของพอลลักซ์พร้อมกับคำถาม
“การประลอง” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เงียบๆโพลงขึ้นมา
“ใช่ เยี่ยมมากฟลินนิกซ์! การประลองคือเป้าหมายของเรา เราจะบุก” แดรงโกเวนส์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินความคิดที่ออกมาจากปากของดิมิทริซ นั่นทำให้พอลลักซ์เกิดอาการไม่พอใจเล็กน้อย
“บุก? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กนั่นล่ะครับ” พอลลักซ์พูด
“เธอคือบุคคลในคำทำนาย ในตอนแรกฉันคิดว่าเป็นโซเฟียส แต่ตอนนี้เธอมาอยู่กับเราแล้ว แถมเกลียดน้องสาวตัวเองอย่างกับอะไรดี มันคงยากที่จะกลับไป น้องรักหักเหลี่ยมโหดกับการฆ่าแม่ตัวเอง ฟังน่าหดหู่ใจทีเดียว” แดรงโกเวนส์พูดพร้อมกับยกแก้วไวน์มาดื่มอย่างอารมณ์ดี ผิดกับเมื่อตอนแรกลิบลับ
“แต่.. ทุกครั้งที่มีการประลอง นักเรียนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนจะต้องกลับบ้าน” พอลลักซ์เอ่ยถึงช่องโหว่
“ยินดีกับนายด้วยที่เด็กนั่นไม่ได้กลับ”
“บอสหมายความว่า..” ดิมิทริซที่เอาแต่ยืนฟังถามออกมา
“ใช่ ฟลินน์ นายเข้าใจไม่ผิด ตอนนี้ฉันตอบสนองพวกมัน โดยทำให้คำทำนายเป็นจริงสมใจอยาก พวกมันน่าจะมาขอบคุณฉันนะ” เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง เอนพิงพนักสบายใจเฉิบ ด้านพอลลักซ์ยิ้มพอใจกับสิ่งที่เจ้านายของเขาทำก่อนก้มหัวแล้วเดินออกไป เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาจ้องไปยังภาพของผู้หญิงคนนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ มือสองข้างกำหมัดแน่นแต่ก็ไม่ให้เกร็งจนเป็นที่สังเกตเกินไป ภาพของหญิงสาวที่เขารักและไม่ใช่เขาคนเดียวที่รักเธอ ยังมีคนอีกมากมายที่หลงรักเธอ หนึ่งในนั้นคือพี่ชายต่างพ่อของเขาเอง..วิซทริค วินเทจ ชาร์ลส์





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Aug 18 2012, 12:54 PM
โพสต์ #6


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER IV


..งานมหกรรมนิทัศการแกลลอรี่ของเวิลด์เมจิกฮอลล์ได้เริ่มต้นขึ้น เป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้เด็กจาก เอสเมจิกฮอลล์เข้ามาร่วมชมจึงทำให้ปีนี้คนเยอะกว่าปกติ
งานคึกคักจนบางครั้งก็เกือบจะกลายเป็นวุ่นวาย เสียงพูดคุยดังฟังไม่ได้ศัพท์บวกกับการประกาศประชาสัมพันธ์ ยังไม่รวมถึงเสียงขอเจ้าของภาพแต่ละภาพพยายามพูดเสียงดังแข่งกับ
เสียงรอบข้างเพื่ออธิบายความหมายของภาพให้ผู้ชมฟัง ฉันมองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวด้วยอารมณ์ไม่ค่อยจะสุนทรีย์เท่าไหร่นัก
เนื่องจากมันวุ่นวายมากจนไม่มีสมาธิจะดูและจินตนาการไปตามภาพ อีกทั้งผู้คนมากมายแออัดเต็มไปหมดไม่มีที่จะยืน เด็กน้อยวิ่งเล่นแทบจะชนฉันหลายครั้ง เด็กเกรดเก้าส่วนหนึ่งไม่ได้มี
จุดประสงค์มาดูนิทัศการเหมือนคนอื่น แต่เจ้าหล่อนมาเพื่อขอถ่ายรูปกับเหล่ารุ่นพี่หน้าตาดีจากตระกูลต่างๆไม่ว่าจะเป็น คริสต์ ไมท์ วิซทริค เซ็ทริค หรือแม้กระทั่ง
เอเร็คกับซีซ่าร์ เพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่เกรดเจ็ด ฉันมองภาพนั้นด้วยอาการหน่ายๆกับอากัปกิริยาของพวกหล่อน..
ฉันเดินเบียดเสียดกับผู้คนมากมายเพื่อจะกลับคฤหาสน์ แต่ระหว่างทางที่เดินไป สายตาเหลือบไปเห็นภาพๆหนึ่ง น่าแปลกที่ไม่มีคนดูภาพนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะว่ามันอยู่ซอกมมุมด้วยล่ะมั้ง ฉันเดินไปดูภาพนั้นใกล้ๆ มันเป็นภาพของผืนป่าสีเขียวกระจี ต้นไม้สูงนานาชนิดที่ฉันไม่รู้จัก ฉันไม่เห็นใบของมันเนื่องจากในภาพเป็นเหมือนหมอกปกคลุมไว้
ต่ำลงมาถึงพื้นดินเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆสีฟ้าอยู่เต็มไปหมดจนดูเป็นเหมือนทุ่งดอกไม้ ฉันสังเกตเห็นผีเสื้อสีทองตัวเล็กๆอยู่มุมภาพ ฉันเดินเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือไปสัมผัสผีเสื้อในภาพ
และถ้าฉันไม่ได้ตาฝาดล่ะก็ ฉันเห็นผีเสื้อในภาพขยับปีกสีทองของมัน
“ป่าร้อยเอเคอร์” เสียงหนึ่งดังมาข้างๆฉัน เขาเป็นคนแก่เครายาวสีเทาถือไม้เท้าที่ทำจากไม้แท้ๆขัดเงาและเขาไม่หลังค่อมเหมือนคน
แก่ทั่วไปแสดงให้เห็นว่าเขายังแข็งแรงดี
“เอ่อ.. คะ” ฉันหันไปพูดกับเขา แต่เขาไม่สนใจฉันและพูดต่อ
“ป่าร้อยเอเคอร์เป็นป่าที่รวบรวมทุกสิ่งที่มีในโลกเวทย์มนต์ ดอกไม้และสมุนไพรหายาก อัญมณี คริสตัลใส น้ำยาชุบชีวิต ผลไม้คืนความจำ หินแห่งความสมหวังและอีกมากมายที่ผู้คนต้องการ”
“แบบนี้.. ผู้คนก็เข้าไปในป่านี้กันเยอะเลยสิคะ” ฉันถาม
“ไม่หรอก” เขาส่ายหน้าในขณะที่สายตาของเขายังมองไปที่รูปภาพ
“จะไม่มีใครเข้าไปถ้าพวกเขาฉลาดพอที่จะกลัวตาย” ชายชราพูดเสียงเรียบ ฉันเงียบ รอให้เขาพูดต่อ
“คนที่เข้าไปในป่าร้อยเอเคอร์ไม่ได้มีจุดประสงค์แค่อยากได้หินแห่งความสมหวัง หรือน้ำยาชุบชีวิต แต่ต้องการไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มันอยู่ใจกลางของป่า น้อยคนนักที่จะหามันเจอ ใจกลางของป่ามีเนื้อที่ยี่สิบห้าเอเคอร์ สิ่งแวดล้อมของป่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกหนึ่งชั่วโมง” ฉันมองภาพนั้นในขณะที่หูฟังเขาพูด ทั้งๆที่เป็นภาพนิ่ง แต่ฉันรู้สึกว่ามันมีชีวิต
“ดอกไม้ในภาพนั้น มันคือดอกอะไรคะ” ฉันถาม
“Forget me not” เขาบอก
“คะ? คุณหมายถึงชื่อของดอกไม้งั้นหรอ” ฉันหันไปถามเขา แต่ปรากฏว่าเขาหายไปแล้ว ฉันหันซ้ายหันขวาอย่างงุนงง รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนทุกที่ ต่างกับตอนแรกอย่างลิบลับ ฉันหันกลับมาที่ๆเขายืนอยู่ก็เห็นแต่ตาแก่หงำเหงือกหลังค่อมยืนอยู่
“เป็นอะไรมากไหม แม่หนู” เขามองฉันด้วยสายตาเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อกี้เธอยืนคุยคนเดียวอยู่นะ”
“วิซทริค” ฉันหันหลังไปมองคนที่มาใหม่ด้วยสายตาขุ่นเคือง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวางเปล่า
“คุยกับใคร” เขาถาม
“เกี่ยวอะไรกับนาย” ฉันถามเสียงห้วน
“ป่าร้อยเอเคอร์ ป่าแห่งตำนาน” เขาเดินมายืนข้างๆฉันแล้วพูดขึ้น
“ตำนาน?” ฉันพูดเชิงคำถาม
“มีตำนานมากมายเกิดขึ้นในป่านั้น อย่างเช่น ตำนานของดอกไม้พวกนั้น” เขาพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่ดอกไม้ในภาพ
“Forget me not นี่ชื่อของมันจริงๆงั้นหรอ” ฉันถาม
“อื้ม มันมาจากตำนานน่ะ”
“นายช่วยเล่าให้ฉันฟังได้ไหม”
เขาหันหน้ามาหาฉันแล้วทำหน้างง แล้วพูดขึ้น
“ได้ แต่เล่าตรงนี้คงไม่สะดวก ไปหาที่เงียบๆดีกว่านะ”
“งั้น..สวนดอกไม้ทางตะวันออกของปราสาท” ฉันออกความเห็น เพราะยังไม่เคยไปที่สวนดอกไม้เลยสักครั้ง
“ไปเถอะ” ว่าแล้วเขาก็จับมือฉันพาเดินเบียดผู้คนออกไปท่ามกลางสายตาของคนที่หันมามองเราสองคน

...ทันทีที่ลงมาจากรถม้า ฉันกวาดสายตามองรอบๆ มันเป็นสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ดอกไม้หลากสีกับน้ำตกสีฟ้าใส ผีเสื้อบินว่อนไปมา
ในบ่อน้ำใสมีปลาตัวเล็กๆว่ายน้ำเป็นฝูงดูมีความสุข นกฮัมมิงเบิร์ดตัวสีเหลืองบินคาบเศษฟางไปทำรัง อีกตัวบินมาเกาะที่ไหล่ของฉันแล้วเอาหัวถูไปมาราวกับลูกสนุขตัวน้อยที่ออดอ้อนรอกิน
อาหาร ฉันหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางของมัน ฉันยื่นนิ้วไปใกล้ๆให้มันเกาะแล้วเดินไปที่ต้นไม้เพื่อส่งมันคืนกับครอบครัวของมัน ฉันยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ครอบครัวนกฮัมมิงเบิร์ดที่เคล้าคลอกันอย่างมีความสุข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว จะมีบ้างไหมสักวัน ที่ฉันจะมีโอกาสแบบนี้ โอกาสที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มีพ่อ แม่และฉัน..

: ~Viztrick’s Part~ :
ผมมองดูเด็กสาวที่กำลังหลงใหลกับธรรมชาติ ดวงตาสีฟ้าที่กำลังเปล่งประกายด้วยความสุขของเธอทำให้ผมมีความสุขไปด้วย เมื่อเธอยิ้ม ผมรู้สึกว่าโลกทั้งโลกยิ้มไปกับเธอ แต่เมื่อเธอร้องไห้ ผมก็รู้สึกว่าโลกทั้งโลกก็ร้องไห้ไปกับเธอเช่นกัน
“วิซทริค” เธอหันหน้ามาหาผมด้วยรอยยิ้มประจำตัว ผมยิ้มตอบเธอ เธอเดินเข้ามาแล้วนั่งลงบนโขดหินข้างๆผม
“เล่าได้รึยัง ฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวันหรอกนะ” เธอพูด ผมยิ้มบางๆแล้วนั่งลงข้างเธอ
“อืม.. เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้จริงๆหรอ” ผมถาม เจเนสซ่าที่นั่งเท้าคางตั้งใจฟังผมอยู่สายหน้าไปมาเหมือนเด็กน้อย นั่นทำให้ผมเกือบหลุดขำออกมา แต่ดีที่กลั้นเอาไว้ได้
“มีเรื่องเล่าอยู่ว่า Forget me not. เป็นคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่ความตายจะมาพรากเขาไปจากสาวคนรัก หนุ่มคนนั้นมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เขาเป็นอัศวินผู้กล้าหาซึ่งมีคนรักเป็นสาวงาม วันหนึ่งทั้งคู่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ บังเอิญสาวคนรักเหลือบไปเห็นดอกไม้แปลกหน้าสีฟ้าเหมือนกับท้องฟ้าในฤดูร้อน เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนชูดอกงามอยู่ริมตลิ่ง เธอก็เลยขอร้องคนรักให้ลงไปเก็บให้ ซึ่งเขาก็ทำตามโดยดี แต่โชคร้ายที่ตลิ่งลื่นมากและตัวเขาก็ใส่เสื้อเกราะเหล็กซึ่งหนักอึ้งอยู่ ชายหนุ่มก็เลยลื่นตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เขาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่เพราะน้ำหนักเสื้อทำให้เขาจมลงไปทุกที ชายหนุ่มรู้จุดจบของเขาคงจะมาถึงแน่แล้ว เขาจึงโยนดอกไม้ดอกงามขึ้นไปให้สาวคนรักและตะโกนบอกเธอเป็นประโยคสุดท้ายว่า Forget me not จากนั้นร่างของเขาก็จมลงหายไปในแม่น้ำ ดอกไม้ดอกนี้ จึงถูกตั้งให้เป็นตัวแทนของรักแท้ที่ไม่มีวันดับสลาย เหมือนความรักของอัศวินหนุ่มกับสาวคนรักของเขา” ผมพูดเรื่องราวของมันจบ แล้วหันไปมองเจเนสซ่าที่ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นในดวงตาของร่างบางมีน้ำใสๆคลออยู่
“ผู้หญิงคนนั้นคงเศร้าใจทุกครั้งเมื่อเห็นดอกไม้นั่น” เธอพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆไล่น้ำตาออกไป
“ก็ใช่ เธอร้องไห้หรอกหรอ” ผมเลิกคิ้วถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
“เปล่านะ” เธอปฏิเสธแล้วสูดหายใจลึกเพื่อคุมควบเสียงสะอื้น ผมมองเธอด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ตีกันไปมาในหัวใจอยู่ขณะนี้
“วินซ์..” เธอเรียกด้วยชื่อที่สนิทสนมมากกว่าเดิม นั่นทำให้ผมยิ้มได้
“หืม”
“ฉันอยากรู้.. เรื่องราวของตัวเองในอดีต ฉันรู้ว่านายเล่าให้ฟังได้”
เธอบอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มาเถอะ” ผมจับมือเธอแล้วดึงให้ลุกขึ้น ผมเล่าให้เธอฟังไม่ได้หรอกผมไม่มีความสามารถขนาดนั้น ผมอยากให้เธอเห็นเอง มันจะทำให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น
..ผมพาเจเนสซ่ามาถึงห้องวาดภาพของโรงเรียน มีคนเดียวที่จะช่วยเราได้ ผมเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง
“มีอะไร” ไอล่าเปิดประตูมาแล้วยิงคำถามด้วยเสียงไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นผม
“ช่วยทีไอล่า มันถึงเวลาแล้วล่ะ” ผมบอกไอล่า เธอมองมือของผมกับเจเนสซ่าที่กุมกันอยู่ แล้วปรายตามองเจเนสซ่าที่ยืนเหม่ออยู่ข้างหลัง
“เข้ามา” เธอบอก ผมเดินตามเธอเข้าไป ในห้องมีภาพวาดมากมายล้วนมาจากฝีมือของไอล่าทั้งหมด ภาพแรกคือภาพของเมอร์ริกตอนสิบสองขวบก่อนเขาจะไปอเมริกา ต่อมาคือภาพเธอและเขาถ่ายคู่กัน ซึ่งคาดน่าจะเป็นตอนที่อยู่อเมริกา ผมเดินดูภาพไปเรื่อยๆจนถึงภาพสุดท้าย ภาพที่ผมนั่งมองเจเนสซ่าที่อยู่ในฟลอร์เต้นคืนนั้น
“ฉันไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้” ไอล่านั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดขึ้น ผมยักไหล่แล้วนั่งลงข้างเจเนสซ่า
“นายพาฉันมาที่นี่ทำไม” ด้านเจเนสซ่าที่เงียบอยู่นานโพลงขึ้นมา ผมได้ยินเสียงไอล่าแค่นหัวเราะน้อยๆก่อนจะจิบชา
“ตระกูลของไอล่าเป็นตระกูลแห่งกาลเวลา เธอสามารถพาเราย้อนเวลาได้ เจเนสซ่า” ผมบอกเธอ
“ไปกันได้รึยัง” ไอล่าพูดขึ้นมา เธอยืนอยู่หน้ากระจกที่กระเพื่อมเหมือนน้ำ ผมกับเจเนสซ่าเดินไปหาเธอ
“กระจกย้อนเวลา เมื่อเข้าไปแล้ว จำไว้ว่าอย่าแตะต้องอะไรทั้งนั้น เพราะมันอาจจะทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปตลอดการ” เธอพูดพร้อมกับมองหน้าผม ผมพยักหน้าแล้วกระชับมือของเจเนสซ่าไว้ให้แน่นยิ่งกว่าเดิม ไอล่ายื่นมือมาเชิงว่าให้ผมจับมือเธอไว้ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมือเธอไว้ ไอล่าจับมือผมแน่น..

‘เจเนสซ่า!! อย่าหนีนะ’ เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นมาทำให้เราสามคนหันไปมอง.. เมอร์ริก
‘แน่จริง พี่ก็จับฉันให้ได้สิ’ เสียงของเด็กผู้หญิงอีกคนดังขึ้น เธอคือเจเนสซ่า..
‘ได้เลย แล้วอย่าร้องไห้ทีหลังนะ’ เด็กชายพูดพร้อมกับวิ่งไล่ตามเธอไป
...วิ่งมาได้สักพัก เจเนสซ่าก็เดินหลบไปอยู่หลังพุ่มไม้
‘เจเนสซ่า ออกมาเถอะน่า มันใกล้จะมืดแล้วนะ’ เมอร์ริกนั้นพูด เจเนสซ่าชะโงกหน้าออกมาดูและหัวเราะคิกคัก
‘เจเนสซ่า!! โอ๊ยย!’ เขาร้องแล้วล้มลง ส่งผลทำให้คนที่หลบอยู่วิ่งออกมาด้วยความตกใจ
‘พี่ พี่เซนส์ เป็นอะไรไหม’ เธอถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นที่ข้อเท้าของเขาเริ่มบวมเป่ง
‘ไม่ๆ แค่แมลงกัดน่ะ’ เขาบอก
‘กลับ กลับกันเถอะค่ะ’ เธอเอ่ยพร้อมกับเด็กชายที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้น และเดินไปข้างด้วยกัน ระหว่างที่เดิน มีผู้ชายร่างสูงสวมสูทสีดำเดินเข้ามา ส่งผลทำให้เจเนสซ่าหลบไปอยู่ข้างหลังเมอร์ริก
‘เราตามหาคุณตั้งนาน คุณวิลโลว์’ ชายคนนั้นพูด
‘ฉันไปเดินเล่นมา’ เด็กชายบอกหัวเสีย เขาไม่ชอบที่ทุกคนทำเหมือนจะมีคนฆ่าเขาตลอดเวลา
‘เจเนสซ่า’ เขาหันไปมองเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเขา เจเนสซ่าค่อยๆถอยออกมาจากข้างหลังเขา เธอมองชายร่างสูงด้วยแววตาหวาดดกลัวเล็กน้อย
‘สวัสดีครับ คุณหนูเวสต์’ ชายคนนั้นโค้งคำนับเธอ เจเนสซ่าไม่พูดอะไรแต่เธอจ้องเขาไม่วางตา มือของเธอกำชายเสื้อของเด็กชายแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกได้
‘เจเนสซ่า เป็นอะไร’ เขาถามด้วยความเป็นห่วง
‘เปล่าค่ะ พี่เซนส์ ฉันแค่อยากกลับบ้าน’ เธอบอก แต่ตาเธอยังจับจ้องที่ผู้ชายตรงหน้า
‘งั้นไปกัน บอกอาร์เธอร์ไปส่งเธอด้วย ฉันจะไปพบคุณพ่อ’ เขาหันไปบอกคนตรงหน้า แล้วเด็กชายก็หันหลังเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์
‘เชิญครับ คุณหนูเวสต์’ ชายคนนั้นบอก แล้วเจเนสซ่าก็เดินนำเขาไป

ฉันมองเด็กผู้หญิงคนนั้นที่เดินออกไปแล้วหันมามองวิซทริคกับไอล่าที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เธออยากรู้เรื่องไหนก่อนล่ะ” ไอล่าถามฉัน ฉันเงยหน้าอ่านป้ายที่ติดอยู่ซุ้ม Merric Zens Villow.
"เมอร์ริก งั้นหรอ" ฉันพึมพำแล้วตามเด็กชายคนนั้นไป เขาเดินผ่านไปสองสามห้อง แล้วเลี้ยวซ้าย จนถึงห้องอาหาร เมอร์ริกนั่งลงบนเก้าอี้..

‘หายไปไหนมา’ ชายคนหนึ่งถามเขา
“นั่นคือพอลเรสต์ พ่อของเมอร์ริก” วิซทริคกระซิบบอกฉัน
‘ผมไปเดินเล่นกับเจเนสซ่ามาครับ’ เมอร์ริกบอก
‘เมอร์ริก พ่อไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าลูกจะเป็นเพื่อนกับลูกสาวคุณเวสต์ แต่ลูกต้องรู้ว่า..’
ก่อนที่พอลเรสต์จะพูดจบ ก็โดนผู้หญิงอีกคนขัดขึ้นก่อน
“อลิเซีย แม่ของเมอร์ริก” วิซทริคกระซิบบอกอีกครั้ง
‘ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะค่ะ นะคะพอลเรสต์’ อลิเซียกล่าวกับผู้เป็นสามี
‘ฝากด้วยนะ’ พอลเรสต์พูด แล้วลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร
‘อะไรหรอครับแม่’ เมอร์ริกถามผู้เป็นแม่
‘คือ ทางเราอยากให้ลูกไปเรียนต่อเกรดเจ็ดที่อเมริกา.. กับไอล่า’
‘ว่าไงนะครับ ไปอเมริกา..กับไอล่า?’
เขาเงยหน้าขึ้นถามมารดาอย่างรวดเร็วเมื่อเธอพูดจบ
‘ใช่ มันเป็นข้อตกลงน่ะ อาทิตย์หน้า แต่แม่อยากให้ลูก และเตรียมตัวไว้’
‘ผมไปให้แม่ได้ แต่ต้องไม่มีไอล่า แม่ก็รู้ ผมรักเจ..’
เจเนสซ่า
‘อย่าเอ่ยมันออกมาเด็ดขาดนะเซนส์’ อลิเซียตวาดใส่ผู้เป็นลูก ฉันอ้าปากค้างแล้วรีบหันไปมองไอล่าที่ยืนนิ่งมือทั้งสองข้างของเธอกำหมัดแน่น
‘ลูกยังเด็ก ยังไม่ควรคิดเรื่องนี้’ เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงเมื่อเห็นว่าเมอร์ริกผงะไปเล็กน้อย
‘ยื่นเวลาออกไปเป็นสองอาทิตย์ได้ไหมครับ’ เขาถาม
‘เมอร์ริก..’
‘อาทิตย์ครึ่งก็ได้ นะครับแม่ นะครับ’
เขาอ้อนวอน
‘ก็ได้จ้ะ แม่จะลองคุยกับพ่อดูนะ’ อลิเซียเอ่ย
‘ขอบคุณครับแม่ ผมอิ่มแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ’ ว่าแล้วเมอร์ริกก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร..

ภาพหน้าหน้ากลายเป็นสีขาวดำก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวและหายไปกลายเป็นห้องอาหารคุ้นตา
‘ไปไหนมาทั้งวันตัวเล็ก’ พ่อของฉันเอ่ยถามเจเนสซ่าที่เดินเข้ามา เธอนั่งลงที่เก้าอี้ยิ้มแก้มปริก่อนจะตอบ
‘ไปเดินเล่นกับพี่เซนส์มาค่ะ’
เคร้ง! เสียงซ้อมกับมีดกระทบจานเมื่อสิ้นเสียงของเจเนสซ่า มันมาจากผู้เป็นพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ เจเนสซ่าก้มหน้าลงในขณะที่พ่อกับแม่ถอนหายใจ แล้วการกินข้าวก็ดำเนินต่อไปเงียบๆ
‘เมอร์ริกจะไปอเมริกา อาทิตย์หน้า’ พ่อฉันพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
‘อ้าว ไปทำไมคะ’ เสียงใสๆของเจเนสซ่าถาม
‘เรียนต่อเกรดเจ็ดที่อเมริกาน่ะ ไปกับไอล่า’ แม่ของฉันตอบแทนพ่อ
'ไอล่าไม่เห็นบอกนาสซ์เลย’ เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย ฉันหันไปมองไอล่าที่มองมายังฉันก่อนแล้ว เรามองหน้ากันไม่ถึงสามวิ แล้วเธอก็เบือนหน้าหนี
‘แบบนี้นาสซ์ก็คิดถึงพี่เซนส์แย่เลยน่ะสิ’ เด็กน้อยพูดเสียงหงอยแล้วก้มเขี่ยอาหารในจานไปมา
‘น้อยๆหน่อยก็ดี’ โซเฟียล่าที่นั่งอยู่พูดขึ้นเสียงเรียบ ทำเอาคนเป็นน้องจำต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
‘ขอโทษค่ะ’ เจเนสซ่าเอ่ยขอโทษ ด้านโซเฟียล่าที่กำลังจะอ้าปากพูดก็ต้องเงียบไปเมื่อพ่อของฉันพูดเสียงเข้ม
‘โซเฟียส พอได้แล้ว หยุดนิสัยแบบนี้ซะที เราสองคนเกิดก่อนกันไม่ถึงสามนาทีนะ’
‘แต่เฟียสก็เกิดก่อนมัน!’

‘พอที!!’ พ่อฉันลุกขึ้นแล้วตวาดใส่ทำให้โซเฟียล่าผงะไปเล็กน้อย
‘เฟียสจะไปอยู่กับเพื่อน..ยังไม่มีกำหนดกลับ’ ว่าแล้วเธอก็เดินออกจากห้องอาหารไป พ่อของฉันโกรธจนตัวสั่นในขณะที่ไหล่ของแม่เริ่มสั่นไหวเพราะสะอื้น เจเนสซ่ามองแม่ของตัวเองซักพักแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้..


“การที่เราสามรถเห็นอดีตที่ผ่านมาได้มันก็เป็นเรื่องดี ถ้าเราอยากจะย้อนเวลากลับไปในช่วงที่มีความสุข มันทำให้เรามีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ในบางครั้งอดีตที่มีความสุขมันก็สามารถฆ่าเราทั้งเป็นได้เหมือนกัน” คำพูดของไอล่าทำให้ฉันตื่นจากอาการเหม่อลอย ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่เดิมในปัจจุบัน
“ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้ เมื้อกี้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยที่บ่งบอกว่าคุ้นเคยกับเหตุการณ์นั้น” ฉันถาม
“ผลไม้ล้างความจำ ใครที่กินมันลงไป เมื่อตื่นขึ้นมาเขาคนนั้นจะจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากข้อมูลที่ถูกใส่ลงไปในผลไม้” วิซทริคตอบ ฉันตัดสินใจไม่ถามอะไรอีก ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะรับรู้อีกเพิ่มเติม แปลกที่ครั้งนี้ฉันไม่รู้สึกสะเทือนใจหรือร้องไห้ มีเพียงความสับสนและความหนักอึ้งอยู่ในหัวสมอง คิดอะไรไม่ออก



: ~Viztrickz’ Part~ :
เจเนสซ่ากลับไปแล้ว เหลือแค่ไอล่าที่นั่งวาดรูปและผมที่นั่งโง่ไม่ยอมไปไหน
“แปลกที่ไม่ร้องไห้” ไอล่าพูดขึ้นมา
“อาจเป็นเพราะจำอะไรไม่ได้ เลยไม่รู้สึกผูกพัน” ผมตอบ
“คงงั้น บอกตามตรง เจเนสซ่าเปลี่ยนไปมาก” เธอพูด ผมมองหน้าเธอเป็นเชิงคำถาม
“จากเด็กน้อยที่บ่อน้ำตาตื้น ยอมคนง่าย กลับกลายมาเป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งขึ้น พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ บางครั้งก็ดื้อรั้นไม่ยอมฟังใคร”
“ใช่..บางครั้ง เธอก็รู้เยอะจนน่ากลัว แต่บางครั้ง เธอก็ไม่รู้อะไรเลยจนน่าเป็นห่วง” ผมพูดพร้อมกับหมุนลูกเต๋าเล็กๆที่อยู่ในมือ
“ชอบเธอแล้วล่ะสิ” ไอล่าพูดเสียงเรียบในขณะที่มือเธอยังวาดรูปต่อไป ผมเงียบ ผมไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกถึงความน้อยใจหรือตัดพ้อในน้ำเสียงนั้น
“ใครๆก็ชอบเธอกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งรุ่นพี่เซ็ทริค บุคลิคสดใสแบบนั้น..” เธอวางพู่กันลง
“ฉันจะออกไปข้างนอก แต่ถ้านายอยากจะนั่งโง่อยู่นี่ทั้งวันก็ไม่เป็นไร” พูดจบเธอก็เดินออกไป ผมถอนหายใจและส่ายหน้าไปมาเบาๆ ผมเดิมอ้อมไปดูภาพที่เธอพึ่งวาดเสร็จ แต่แล้วก็ต้องอึ้งเป็นหิน ก็เพราะ.. มันเป็นภาพมือของผมที่กุมมือเจเนสซ่าอยู่ ภาพที่ผมลอบมองเจเนสซ่าในห้องอาหารของตระกูลเวสต์ สุดท้าย.. ภาพที่ผมกอดเจเนสซ่าอยู่ริมทะเลสาบคืนนั้น..

: 20:00 @หอดูดาว :
ฉันนอนมือหนุนหัวอยู่ลานดูดาวบนหอคอยดูดาวของโรงเรียน บรรยายกาศเย็นสบาย รอบๆตัวเงียบกริบได้ยินเพียงเสียงนกเค้าแมวร้องฮูกๆ ฉันเหม่อลอยมาเป็นชั่วโมงกว่าแล้ว กว่าสติสะตังจะกลับคืนมา ฉันนอนฮัมเพลงไปเรื่อยๆพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หลับอีก
“ดาวคืนนี้สวยดีนะครับ”
“โรบิน” ฉันมองคนที่มาใหม่แล้วยิ้ม เขายิ้มกว้างแล้วเอามือเกาใบหูแหลมๆของเขาแก้เขิน
“ผมไม่เห็นคุณที่ห้องโถงน่ะ คุณหนีอาหารมื้อเย็นเพราะกลัวอ้วนรึเปล่า” เขานั่งลงข้างๆฉันแล้วเอียงคอถาม ฉันลุกขึ้นนั่งก่อนจะตอบเขา
“เปล่าหรอก ฉันแค่ไม่หิวน่ะ” ฉันตอบ เขายิ้มแล้วนอนลง
“นั่นสิ ผมไม่เห็นว่าคนต้องลดหุ่นเลย เขาเรียกว่าอะไรนะ ไอเดต ใช่ไหม?” เขาถาม ฉันหัวเราะออกมาเบาๆกับสิ่งที่เขาพูด
“ที่ถูกคือ ไดเอตน่ะ” ฉันพูดแล้วนอนลงที่เดิมข้างๆเขา
“ผมพยายามจะเรียนรู้ศัพท์ใหม่ของมนุษย์นะเจนน่า แต่ผมทำมันได้ไม่ดีเท่าไหร่” เขาเรียกฉันด้วยชื่อไม่คุ้นหู และแน่นอน มันย่อมาจากเจเนสซ่าแน่ๆ
“เจนน่า? คุณรู้?”
“อ่า ครับ”
เค้าตอบเสียงเบา
“คุณรู้มาตลอดแต่ไม่เคยบอกฉันเลยเนี่ยนะ” ฉันขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ขอโทษครับ ผมถูกสั่งห้าม..”
“ช่างเถอะ”
ฉันตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“คุณโกรธ” โรบินลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วมองหน้าฉัน
“เปล่า..” ฉันตอบโดยไม่มองหน้าเขาและทำเหมือนสนอกสนใจดาวบนท้องฟ้าราวกับว่าจะมีดาวฝนดาวตก
“ผมขอโทษ..” เขาบอกอีกครั้ง
“ฉันไม่โกรธ ไม่ต้องขอโทษหรอก” ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วบอกเขา
“แต่ว่า..”
“ถ้าคุณยังพูดเรื่องนี้อยู่อีก ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ”
ฉันหันหน้าไปพูดกับเขา คราวนี้ฉันไม่ได้ขู่แน่ๆ เพราะอารมณ์ฉันตอนนี้มันพร้อมที่จะระเบิดตลอดเวลา
..เขาเงียบ ฉันนั่งกอดเข่าแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ฉันว่าฉันทำบรรยากาศเสียแล้วสิ
“เจนน่า.. อ่า”
“เรียกเถอะ.. เรียกเถอะ ไม่เป็นไร” ฉันหันไปบอกเขาพร้อมรอยยิ้ม
“อ่าครับ คือว่า..” เขาทอดเสียงอย่างอ้อยอิ่ง
“อะไรหรอ” ฉันถาม
“หลับตาสิ” เขาบอก แล้วฉันก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดเหมือนเมื่อสักครู่เกิดขึ้นอีก
“ลืมตาได้แล้วครับ” ทันทีที่ฉันลืมตาขึ้นมาก็ต้องร้องว้าวทันที สิ่งที่อยู่ตรงหน้า บนท้องฟ้าสีดำสนิท ประกายของดวงดาวแข่งกันเปล่งแสงระยิบระยับเต็มไปหมด จากที่เคยกระจัดกระจายอยู่ บัดนี้ดวงดาวได้เคลื่อนที่มารวมกลุ่มกัน บ้างเป็นสาย บ้างเป็นแนวพาดผ่านท้องฟ้าไป ถ้ามองดีๆ มันคือใบหน้าของฉัน!
“โรบิน คุณทำได้ยังไงน่ะ แล้วมันจะไม่ส่งผลอะไรกับการโคจรของดวงดาวหรอกหรอ” ฉันหันไปถามเขาที่นั่งยิ้มอยู่
“ความจริง ดาวมันก็อยู่ที่เดิมแหละ” เขาพูด
“อะไรนะ?” ฉันเริ่มงง เขายู่จมูกแล้วดีดนิ้วดังเปาะ แล้วภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ก็สลายเป็นประกายสีเขียวระยิบระยับตกลงมา
“ภาพโมเสกน่ะ เอลฟ์อย่างเราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เมื่อได้เป็นเอลฟ์อย่างสมบูรณ์แล้ว” เขาบอก
“งั้นก็แสดงว่าคุณ..” ฉันพูด เขาดีดตัวลุกขึ้นยืน นั่นทำให้ฉันลุกขึ้นตาม
“ครับ ผมเป็นเอลฟ์อย่างสมบูรณ์แล้ว พูดง่ายๆคือ ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว และผมก็สามารถเลือกบุคคลที่ผมต้องการดูแลได้แล้ว เพียงแต่ว่า.. คนๆนั้น เธอจะยอมรับผมไหม” เขาพูดแล้วมองตาฉัน ตาสีเขียวของเขาที่มีประกายสีเขียวระยิบระยับตลอดเวลา ตอนนี้มันค่อยๆลดลงไป
“ผมชอบคุณมากนะเจนน่า แต่คุณเป็นมนุษย์ ผมเป็นเอลฟ์ ผมไม่ได้หวังจะยืนอยู่ตรงนั้นหรอก.. แต่ให้ผมดูแลคุณได้ไหม” เขาพูด
“โรบิน คุณแน่ใจหรอ ถ้าคุณรู้ว่าฉันกำลังจะเจอกับอะไร มันอาจจะทำให้คุณเปลี่ยนใจก็ได้ เพราะงั้น..อย่าด่วนสรุปว่าเป็นฉันเลยนะ” ฉันบอก เพราะถ้าเขารู้ว่าฉันกำลังจะเข้าสนามประลองล่ะก็ เขาคงอยากจะเปลี่ยนคนดูแลใจจะขาด แต่ฉันรู้ดี ในเมื่อรับว่าจะดูแลใครแล้ว เขาต้องทำหน้าที่นั้นจนกว่าเขา หรือคนๆนั้นจะตาย
“การประลองรึเปล่า เจนน่า ถ้าเป็นเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลคุณเอง” เขายิ้ม
“คุณรู้?” ฉันถาม
“โทมัสบอกน่ะ” เขาบอก ฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นโทมัสภูตประจำตระกูลซากาเซียสรึเปล่า
“โทมัส แฟร์รี่ และเบสต์ รวมถึงเอลฟ์ ซึ่งหมายถึงแค่ผมคนเดียว เราคุยกันแล้วถึงเรื่องนี้น่ะ เราทุกคนเป็นห่วงคุณนะเจนน่า” เขาพูด แฟร์รี่ ภูตประจำตระกูลไมท์ติเนส เบสต์
ภูตประจำตระกูลดีเฟนเดอร์ ฉันเห็นพวกเขาไม่บ่อยนักหรอกและฉันก็พึ่งรู้ว่าตัวเองจะเป็นที่รู้จักถึงขนาดนี้ ในวงการภูตน่ะนะ
“นะครับเจนน่า ให้ผมคอยดูแลคุณนะ” เขารบเร้าเอาคำตอบอีกครั้ง
“ก็ได้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่ช่วยฉันจนตัวเองเดือดร้อนน่ะ” ฉันพูด
“ไม่” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง
“ว่าไงนะ” ฉันถามทันทีที่เขาพูดจบ
“ผมจะดูแลช่วยเหลือคุณให้ดีที่สุด เพราะสำหรับผม มันไม่ได้เป็นแค่หน้าที่ แต่ที่ผมทำ.. มันมาจากตรงนี้” เขายื่นมือมาจับมือฉันไว้แล้วเอาไปแนบที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา
“โรบิน..” ฉันไม่รู้จะพูดกับเขายังไงดี ที่ผ่านมาฉันให้ความหวังเขาโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า นี่ฉันทำร้ายเขาหรือยังไง
“นะครับ” เขาอ้อนวอน ฉันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบรับ
“ ค่ะ” สิ้นเสียงฉันเข้าก็ฉีกยิ้มกว้าง ทันใดนั้น ร่างของเขาก็เปล่งแสงสีเขียวจนฉันต้องลุกยืนขึ้น โรบินลอยขึ้นไปในอากาศไม่สูงนัก เท้าของเขาห่างจากพื้นดินประมาณสามสิบเซนติเมตรเห็นจะได้
“เอ่อ..” เขาพูดแค่นั้นก่อนแสงสีเขียวจะหายไปแล้วเขาก็ลงมาสู่พื้นเหมือนเดิม รอบตัวเขามีประกายสีเขียวระยิบระยับเต็มไปหมด เหมือนดวงตาของเขาก่อนหน้านี้
“โรบิน..” ฉันค้างไปเมื่อเห็นเขา เอ่อ.. ในลุคใหม่ จากที่แต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอึมครึมเหมือนจะพรางตัวในป่ามาเป็นชุดสูทสีดำ เนคไทสีเขียวเข้ม จากรองเท้าบูตสีดำขาดวิ่นอ่อนไม่เป็นทรงกับกลายมาเป็นรองเท้าหนังสีดำเงาวับ ผมสีเทาที่ยุ่งเหยิงปกปิดหน้าตาเอาไว้ ตอนนี้กลับเผยหน้าตาหวานๆนั้นให้โลกได้หลงใหล จมูกคมเป็นสัน เรียวปากสีชมพูอ่อนๆ ดวงตายสีเขียวที่เปล่งประกายตลอดเวลานั่น แถมความสูงที่เมื่อก่อนเขาสูงเท่าเอวฉัน แต่ตอนนี้เขาสูงเกือบเท่าๆวิซทริคเลยล่ะ เขาดูดีมากทีเดียว สาวๆคงปลื้มหัวปักหัวปำแน่ถ้าพวกเธอไม่ตกใจจนเป็นลมจับกับหูยาวๆแหลมๆของเขาก่อน
“นี่มัน.. เยี่ยมไปเลย” โรบินหันหน้าหันหลังดูลุคใหม่ของตัวเอง
“แต่เอ่อ.. นี่มันไม่ใช่ผมนะ” เขาพูดแล้วมองมาทางฉันพร้อมกับทำหน้างง
“คุณ นี่แหละคุณเลยล่ะ คุณดูดีมากเลยนะโรบิน” ฉันชม นั่นทำให้แก้มเขาเริ่มแดงและลามไปถึงหู
“ขอบคุณครับ ผมเคยได้ยินว่าเอลฟ์จะเผยร่างจริงก็ต่อเมื่อรับการดูแลแล้ว” เขาบอก
“แต่ผมไม่คิดว่านี่คือการเผยร่างจริงนะ” เขาพูดแล้วมองตัวเองตั้งแต่เท้าขึ้นมา ฉันระเบิดหัวเราะดังลั่นเพราะเก็บเอาไว้ไม่อยู่
“มีอะไรติดหน้าผมหรอครับ” เขาหันหลังทันทีและลูบๆคลำๆใบหน้าของตัวเอง
“เปล่าๆ ฉันแค่ขำกับท่าทางของคุณน่ะ ฉันว่าเดี๋ยวคุณก็ชินไปเองแหละ” ฉันยิ้ม โรบินค่อยๆหันกลับมาแล้วเอามือยีผมตัวเองอย่างเก้อเขินจนฉันสงสัยว่าเอลฟ์เขินง่ายแบ
บนี้ทุกตนเลยรึเปล่า
“กลับกันเถอะ ผมว่าคุณง่วงแล้วล่ะ” เขาพูดเมื่อเห็นฉันหาว
“ฉันก็ว่างั้น ไปเถอะ” พอฉันพูดจบเขาก็ยื่นมือมาจับมือฉันไว้ แล้วเดินไปด้วยกัน เขาดูมีความสุขมากกว่าเดิมมาก แต่ไม่ใช่เพราะว่าลุคใหม่ที่เขาได้รับหรอก มันอาจจะเป็นเพราะการที่ฉันยอมรับให้เขาเป็นคนดูแลต่างหาก ฉันไม่จะอยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่.. ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันคิดว่าควรจะดึงมือของตัวเองที่เขากุมอยู่ออกดีไหม ฉันควรจะอยู่ห่างๆเขาดีรึเปล่า ฉันไม่ควรจะทำแบบนี้กับเขา.. ให้ความหวัง ฉันไม่อยากทำร้ายเขา ถ้าเลือกได้ฉันก็อยากจะรักเขาเหมือนกัน.. ถ้ามันเลือกได้..



: 09:00 @Building 4 | Classroom I :
“การรู้จักควบคุมพลังของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าพวกเธอใช้มันพลาดหรือใช้แล้วควบคุมไม่ได้ ปัญหาที่จะเกิดตามมาย่อมไม่ดีแน่นอน เราจึงต้องสอนพวกเธอในเรื่องนี้ เอาล่ะ ฉันจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”
อาจารย์คอนเนอร์ลินพูดกับนักเรียนที่นั่งรายล้อมเป็นตัวU ตรงกลางมีอ่างน้ำขนาดกลางสูงพอประมาณตั้งอยู่ เขาเดินไปใกล้ๆมันแล้ววาดมือขึ้นในอากาศเหมือนกับจะช้อนน้ำในอ่างขึ้นมา และใช่ น้ำส่วนหนึ่งตามมือเขาขึ้นมาเป็นคล้ายๆกับม่านน้ำสีแดงใสๆ เขาหยุดมัน ไว้ที่ระดับหน้าอกแล้วหันหน้ามาพูดกับนักเรียนอีกครั้ง
“นี่คือม่านป้องกัน เธอสามารถใช้มันได้ทุกที่ๆมีน้ำมากพอ มันสามารถพรางตาคนอื่นได้ เว้นเสียแต่ว่าคนนั้นใช้ดวงตาเวทย์ มอง ” พูดจบ เขาก็ดีดนิ้วแล้วน้ำทั้งหมดก็ตกลงสู่ที่เดิม
“ใครจะทำเป็นคนแรก.. คุณมิลโก้ ฉันได้ยินมาว่าน้องสาวคุณทำได้ดีในวิชานี้” อาจารย์พูด แล้วสักพักก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินออกมา เขาเริ่มวาดมือในอากาศ แต่น้ำก็ขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วก็ตกลงไปเหมือนเดิม เขาสูดหายใจลึกแล้วทำใหม่ ครั้งนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาทำมันได้ดี ม่านน้ำสีเสียวใสซึ่งฉันพึ่งสังเกตว่าน้ำจะเปลี่ยนไปตามสีดวงตาของคนๆนั้น
“เยี่ยม” เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้น ทำให้เขาลดมือลงแล้วม่านน้ำก็ลดลงตามระดับของเขา เขาก้มหัวให้อาจารย์แล้วกลับเข้าที่
“คนต่อไปล่ะ? คุณเวสต์ ผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้ดี” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะลุกออกจากที่นั่งเดินไปยังอ่างน้ำใส ฉันสูดหายใจลึกและมองไปยังแมรี่ที่ชูสองนิ้วให้กำลังใจ ฉันยิ้มแล้วหันมาสนใจกับสิ่งตรงหน้า ฉันเริ่มวาดมือในอากาศอย่างที่เห็นอาจารย์กับมิลโก้ทำก่อนหน้านี้ ม่านน้ำสีฟ้าเริ่มสูงขึ้น มีตัวโน๊ตดนตรีปนขึ้นมาด้วย ฉันยิ้มกับภาพสวยงามตรงหน้าก่อนจะวาดมือต่ำลงเมื่อเห็นว่ามันสูงเกินไปแล้ว
“ดีมากคุณเวสต์ เอาล่ะหมดเวลาแล้ว แยกย้ายได้” อาจารย์บอกอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ ฉันหันไปมองเขาแต่ก็พบว่าเขามองฉันด้วยสายตายากจะอธิบาย เหมือนเคลือบแคลงใจอะไรบางอย่างแต่แล้วก็ละสายตาไป
“เหม่ออะไรอยู่ ไปเถอะ” แมรี่เดินมาเกาะแขนฉันออกไป ฉันมองไปหาอาจารย์คอลเนอร์ลินอีกครั้ง แล้วก็พบว่าก็มองมาที่ฉันด้วยเช่นกัน สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามหมดไปเหลือเพียงแต่สายตาที่เต็มไปด้วย.. ความสงสารปนเห็นใจ ฉันคิดว่างั้น แต่ทำไมล่ะ? มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันสงสัยอีกแล้ว
“โซเฟียส มานี่ ฉันมีอะไรจะให้ดู” หลังจากที่เราเดินออกจากห้องเรียนมา แมรี่ก็ดึงฉันเข้าไปซอกมุมของตึก
“อะไรของเธอเนี่ย” ฉันพูดหน้าแหยเพราะเจ็บจากแรงกระแทกที่แมรี่ผลักมา
“แต่นแตนแต๊น~” เธอชูถุงสีน้ำตาลออกมาแล้วแกว่งไปมา
“นั่นอะไรน่ะ” ฉันถาม แต่แมรี่ไม่ตอบ เธอเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาแล้วยัดใส่ปากฉันทันที รับรู้ถึงรสชาติขมเอียนทันทีที่ถูกปลายลิ้น
“อย่านะ” แมรี่ยกมือขึ้นมาตะปบปากฉันเอาไว้ทำให้ฉันต้องกลั้นใจแล้วกลืนมันลงไปอย่างยากเย็น นั่นทำให้แมรี่ยิ้มพอใจ
“เธอเอาอะไรให้ฉันกินเนี่ย เฮ้” ฉันอุทานออกมาตัวความตกใจเมื่ออยู่ดีๆตัวฉันก็โปร่งแสงขึ้นมา
“ลูกอมล่องหน มันทำมาจากแกนและใบอ่อนของต้นเมเปิ้ลหมักผสมกับสาหร่ายที่ทะเลสาบนิดหน่อย” แมรี่พูดแล้วกินอีกเม็ดเข้าไป สักพักเธอก็ทำหน้าเหยเกเพราะรสชาติของมัน ไม่นานเธอก็โปร่งแสงเหมือนฉัน
“ไม่มีใครเห็นเราแน่หรอ” ฉันถามพร้อมกับดูมือโปร่งแสงของตัวเอง
“ไม่แน่นอน รวมถึงหนังสือหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จับอยู่ก่อนหน้าที่จะกินมัน” แมรี่บอก
“ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน” ฉันถาม บางทีเธออาจจะนึกสนุกชวนฉันไปแกล้งคนเล่นก็ได้
“การประลอง” แมรี่บอกโดยไม่มองหน้าฉัน แต่ฉันมองหน้าเธอทันทีที่ได้ยิน
“เธอรู้เรื่องนี้งั้นหรอ” ฉันถาม
“เมื่อเช้าน่ะ พี่คริสต์บอก รายชื่อตัวแทนทั้งหมดออกมาแล้ว เดี๋ยวพี่เชสต์ก็คงจะบอกเธอเอง” แมรี่พูดอย่างยากเย็น
“ฉันเอามันมาให้เธอ..” แมรี่บอกพร้อมกับยื่นถุงนั้นมาให้ฉัน
“ขอบใจมากแมรี่ ฉันลืมไปเลย ไม่นึกว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้” ฉันรับมันมาก่อนจะพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ
“เธอจะต้องปลอดภัย ฉันเชื่อ” แมรี่จับมือฉันและให้กำลังใจ ในขณะที่น้ำใสๆไหลอาบแก้มของเธอ ฉันทำได้แค่ยิ้ม ยิ้มให้กับเมื่อวาน ยิ้มให้กับวันนี้ เพราะฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆไป.. ฉันจะยังได้ยิ้มให้กับวันเวลาแบบนี้ได้อีกไหม..


: 19:45 @Sagacious | Zetric’s room :
“ข้อมูลทั้งหมด” เซ็ทริคยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ฉันแล้วนั่งลงข้างๆฉันรับมันมาแล้วค่อยๆเปิดดู มันเป็นรูปของผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหมด ฉันเปิดดูภาพแรกแล้วก็ต้องมองหน้าเขาทันที ก็เพราะว่ารูปที่ฉันถืออยู่มันเป็นรูปของเขา
“ทายาทสายตรง แน่นอน ดูต่อสิ” เซ็ทริคพูดอย่างสบายๆเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องเป็นหนึ่งในนี้ ฉันเอาเปิดมาอีกหน้าแล้วก็ต้องตกใจ ซีซ่าร์..เพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่เกรดเจ็ด ฉันพยายามบังคับมือไม่ให้สั่นแล้วเปิดหน้าต่อไป ต่อมาคือรูปของโอลแลสติคและโรสแมรี่ รุ่นพี่เกรดสิบเอ็ด สุดท้ายก็คือฉัน ฉันหันไปหาเซ็ทริค แต่เขาไม่พูดอะไรแล้วให้ฉันดูต่อ ต่อมาคือไมท์ติเนส และก็เป็นไปตามคาด คริสโตเฟอร์มาเป็นคนแรก ตามด้วยมูสซัคก้าและเอเร็ค รุ่นพี่เกรดสิบสอง สุดท้ายคือเอลลาเนอร์กับอลิเซีย ฝาแฝดผู้ทดลองยาสมุนไพรเจ๋งๆอยู่เสมอ พวกเขาอยู่เกรดสิบเอ็ด ฉันเปิดมาหน้าต่อไป ตระกูลดีเฟนเดอร์ แฟรงคลินน์ ฟิคนอล ดีเฟนเดอร์มาเป็นคนแรก ตามด้วย แม็กซ์ เพลสโต้ เรเซลล่า และวิซทริค..
ฉันวางกระดาษในมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ข้อมูลในซองสีน้ำตาลเลือดหมูสร้างความหดหู่ใจไม่น้อย วิซทริค.. คนที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอเขาในการประลอง..
“ไหวไหม” เสียงนุ่มๆของเซ็ทริคพูดขึ้นเมื่อเห็นฉันนิ่งอยู่นาน ฉันไม่ตอบ ฉันตอบไม่ได้ ฉันได้แต่คลายริมฝีปากที่เม้มอยู่แล้วฝืนยิ้ม เซ็ทริคถอนหายใจแล้วจับมือ
“ไม่ต้องกลัวหรอก เธอจะไม่เป็นอะไร พี่สัญญา” เขาพูดพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นมาโยกหัวฉันแล้วยิ้มบางๆอย่างเอ็นดู ฉันก้มหน้ามองมือที่เขาจับมือฉันไว้และบีบมือเขาแน่นพร้อมกับ
น้ำตาที่ไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่..

: 19:00 @Defender | Viztrick’s room :
: ~Viztrick’s Part~ :

ผมนั่งหมุนปากกาในมืออย่างคนไร้ความรู้สึก สายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ทบทวนสิ่งที่ผมทำลงไปในวันนี้ว่ามันดีที่สุดแล้วใช่ไหมที่ผมทำ ผมลองคิดดูอีกกี่ที สุดท้าย ผมก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
“แกทำบ้าอะไรวะ!” เสียงเดือดดาลมาพรอมกับสรรพนามใหม่ที่ใช้เรียกผม เสียงนั่นเป็นของไมท์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เข้าออกห้องผมได้อย่างไร้มารยาทโดยที่ผมไม่เอ่ยปากว่าสักแอะ ผมหมุนเก้าอี้ไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ทำอะไร” ผมถามหน้าตาไร้อารมณ์สุดๆ
“เปลี่ยนชื่อแกกับฉันในการประลอง แกทำแบบนั้นทำไม เพื่ออะไร แกก็รู้ นาสซ์เป็นหนึ่งในตัวแทนทั้งห้าคนจากซากาเซียส แล้วแกยังดันทุรังไปอีกงั้นหรอ! สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคู่รักในสนามประลองที่ผ่านมา นั่นยังไม่พออีกรึไง!!”
“นั่นแหละเป็นเหตุให้ฉันต้องเอาตัวเข้าไปในการประลอง! เพราะเจเนสซ่าอยู่ในนั้น ฉันต้องปกป้องเธอ!!” แล้วเสียงใส่อารมณ์ของไมท์ก็ทำให้ผมเดือดจนได้ ใช่ นั่นและที่ผมเปลี่ยนชื่อกับเขา แทนที่จะเป็นชื่อ คอสสัน ไมท์ สติลเลอร์ แต่กลับเป็น วิซทริค วินเทจ ชาร์ลส์ แทน ไมท์เงียบกับสิ่งที่ผมพูดออกไป บางทีเขาอาจจะนึกได้แล้วว่าเหตุผลของผมมันควรแล้วที่ผมจะทำแบบนี้
“ฉันปล่อยให้ใครฆ่าเธอไม่ได้ ฉันปล่อยให้ใครทำอะไรเธอไม่ได้” ผมพูดเสียงอ่อนลง
“แล้ว.. ถ้าเกิดว่า เธอจะฆ่านายล่ะ” เขาถาม สรรพนามที่ใช้เรียกผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำให้ผมรู้ว่าเขาสงบลงแล้ว คำถามของเขามันทำเอาผมพูดไม่ออก สิ่งที่เขาพูดมันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาในการประลอง เธอไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับผม เราเป็นแค่คนรู้จักกันเพียงผิวเผิน การที่เธอจะทำอะไรผมนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับเธอ ตรงข้ามกันกับผมโดยสิ้นเชิง..
“สุดแล้วแต่ใจของเธอเถอะ” ผมตอบคำถามแบบสิ้นคิดออกไป ในหัวสมองคิดเรื่องเธอให้วุ่นไปหมด
“ฟลินน์บอกว่าพวกนั้นจะโจมตีในการประลอง” ไมท์พูดขึ้น ดิมิทริซ ฟลินนิกซ์ ดีแร็ฟเตอร์ คือน้องชายต่างพ่อของผม เขาพึ่งอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น แต่กลับถูกส่งไปเป็นสายในดาร์กไฮ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเกินคาดแต่ในความคิดของผม มันยังอันตรายเกินไป เขายังเด็กเกินไป ผมพยายามจะเอาตัวเขากลับมาเรียนที่นี่ให้เหมือนกับเด็กวัยเดียวกัน แต่เขาดึงดันจะอยู่ต่อเพื่อพิสูจน์ตัวเอง.. ว่าเขาก็มีความสามารถไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผมเลย..
“ซึ่งจะมาตอนไหนนั้น.. อันนี้ก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน อ้อ ลูกอมล่องหน แมรี่จัดการแล้วนะ” ไมท์บอก
“เจเนสซ่า เธอมีเอลฟ์คุ้มครองแล้วนะ” ไมท์พูดต่อเมื่อเห็นผมเงียบ
“เมื่อไหร่”
“เมื่อวานน่ะ ช่วงอาหารมื้อเย็น ที่หอดูดาว รู้สึกว่าเอลฟ์ตนนั้นจะชื่อโรบิน”
“นายแอบตามเธอ?”
ผมถาม
“เปล่า ฉันไปดูอะไรบางอย่างที่หอนาฬิกาน่ะ แต่ฉันไม่ได้แอบดูนะ แค่มองไปแล้วองศามันใช่” เขาบอก
“อืม” ผมตอบ การที่มีเอลฟ์คุ้มครองมันก็ดีอยู่หรอก แต่บอกตามตรงนะ ผมไม่ชอบเอลฟ์ที่ชอบโรบินตนนั้นเลย
“ช่วยบอกที ว่านายไม่ได้กำลังอิจฉาเอลฟ์” ไมท์พูดติดตลก
“ฉันไม่ได้อิจฉาเอลฟ์”
“ขอบใจ”
เขาประชด
“ประชุมการประลองพรุ่งนี้นะ สิบโมง ไปให้ตรงล่ะ” ไมท์บอก
“ถ้าไม่ลืม” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจ ไมท์ส่ายหน้าไปมาเบาๆเหมือนจะเอือมระอากับผม


‘ผมชอบคุณมากนะเจนน่า แต่คุณเป็นมนุษย์ ผมเป็นเอลฟ์ ผมไม่ได้หวังจะยืนอยู่ตรงนั้นหรอก.. แต่ให้ผมดูแลคุณได้ไหม’
……
‘ก็ได้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่ช่วยฉันจนตัวเองเดือดร้อนน่ะ’
‘ไม่’
‘ว่าไงนะ’
‘ผมจะดูแลช่วยเหลือคุณให้ดีที่สุด เพราะสำหรับผม มันไม่ได้เป็นแค่หน้าที่ แต่ที่ผมทำ.. มันมาจากตรงนี้’
‘โรบิน..’
‘นะครับ’

……
‘ค่ะ’
ผมสลัดเสียงและภาพที่แจ่มชัดนั้นออกไปจากหัว ใช่ ผมรู้เรื่องนี้ก่อนที่ไมท์จะมาบอกซะอีก เพราะผมก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ยืนดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ ผมออกไปตามเธอเพราะไม่เห็นเธอในมื้อค่ำ เห็นเด็กซากาเซียสบอกว่าเธอขึ้นมาหอดูดาวผมเลยตามขึ้นมา แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจออะไรแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอก เพราะยังไง เธอก็เป็นคน ส่วนเขาเป็นเอลฟ์ คนกับเอลฟ์จะรักกันไม่ได้ มันผิดกฎน่ะ ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม ยกเว้น.. กรณีฝืนกฎ


-----------------------------------------
นี่คือตอนที่มึนสุดๆ =[]=





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Sep 1 2012, 02:31 PM
โพสต์ #7


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER V


: 18:00 @Sagacious :
โต๊ะไม้ขัดเงาวาววับขนาดยาวพอสมควรตั้งอยู่กลางห้อง บรรดาตัวแทนทั้งห้านั่งเคร่งเครียดปรึกษากันถึงการประลองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วั
นข้างหน้า
“สมบัติของเราคือล็อคเก็ต” เซ็ทริคที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดเสียงเรียบ
“แล้วเราจะเก็บมันไว้กับใคร” รุ่นพี่โอลแลสติคพูดขึ้นมา
“ผมขอเสนอรุ่นพี่โรสแมรี่” ซีซ่าร์บอก
“เหตุผลล่ะ” เซ็ทริคถาม
“เธอเป็นคนที่เก็บรักษาของได้ดีที่สุด เพราะตระกูลของเธอคือผู้เฝ้ารักษา” ซีซ่าร์ให้เหตุผล
“แต่รุ่นพี่โรสแมรี่จะเป็นเป้าหมายต้นๆในการถูกมองว่าเป็นคนเก็บมันไว้ เพราะอย่างที่ซีซ่าร์บอก ตระกูลเธอคือผู้เฝ้ารักษา” ฉันพูด
“ที่โซเฟียล่าพูดมีเหตุผลนะ” รุ่นพี่โอลแลสติคบอก
“งั้น ถ้าให้รุ่นพี่เซ็ทริคเก็บมันไว้ล่ะ” รุ่นพี่โรสแมรี่พูด แต่เซ็ทริคส่ายหน้า
“ฉันจะเป็นคนแรกที่โดนตาม ไม่ว่าฉันจะเป็นคนเก็บมันไว้รึเปล่า เพราะฉันเป็นทายาทสายตรงของซากาเซียส มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ” เซ็ทริคบอก
“เก็บมันไว้กับโซเฟียล่าสิ” รุ่นพี่โรสแมรี่พูดขึ้น
“แต่โซเฟียสยังเด็กเกินไป” ซีซ่าร์แย้ง
“นั่นแหละจะทำให้เธอถูกลิสต์รายชื่อว่าเป็นเป้าหมายอันดับสุดท้าย ว่าไงเชสต์” รุ่นพี่โอลแลสติคพูดแล้วหันไปถามเซ็ทริค
“ว่าไงโซเฟียส เธอจะเก็บมันไว้ไหม?” เซ็ทริคหันมาถามฉัน
“ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบ มันคงไม่มีเหตุผลที่ดีกว่านี้อีกแล้ว.. ล่ะมั้ง
“สถานที่ที่ต้องเข้าไปคือป่าร้อยเอเคอร์”
“เฮ้ ฉันได้ยินมาว่าสภาพสิ่งแวดล้อมในนั้นจะเปลี่ยนไปทุกๆหนึ่งช่วงโมงนี่” รุ่นพี่โอลแลสติคโพล่งขึ้นมา
“ถ้าเราไม่เข้าไปลึกเกินไป” ซีซ่าร์พูด
“ลึกที่ว่ามันลึกแค่ไหนกันล่ะ” รุ่นพี่โรสแมรี่ถาม
“ไม่มีใครรู้หรอกโรส บางครั้งเดินไปไม่ถึงชั่วโมงเราอาจจะเข้าไปส่วนที่ลึกแล้วก็ได้ ในขณะที่อีกคนเดินเป็นวันๆ เขาก็อาจจะได้แค่วนเวียนอยู่แค่รอบๆชายป่าเท่านั้น เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเอง” เซ็ทริคตอบ
“ฉันแบ่งหน้าที่เอาไว้แล้ว โอลแลสติคกับฉันจะเป็นคนไปชิงสิ่งของจากตระกูลอื่นมา ส่วนโรสกับโซเฟียสคอยดูแลล็อคเก็ตไว้ ซีซ่าร์จะคอยคุ้มกันเธอสองคนให้” เซ็ทริคชี้แจง
“คงไม่มีการนองเลือดหรอกนะ” รุ่นพี่โรสแมรี่พูด
“อย่าฟาดฟันถ้าไม่จำเป็น ฉันไม่ต้องหารเห็นการนองเลือด แค่นี้ก็จะเอียนตายอยู่แล้ว” สิ่งที่ออกจากปากของเซ็ทริคทำเอาทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก
“ขอโทษที แต่เอาเป็นว่าเอาตามนี้ เอาล่ะแยกย้ายได้ ส่วนโซเฟียสอยู่ก่อน” เซ็ทริคพูด
“มานี่” เซ็ทริคเรียกฉันให้เดินตามเขาไป เขานั่งลงที่โซฟาในห้องแล้วดึงมือให้ฉันนั่งตาม เซ็ทริคเปิดกล่องขนาดเล็กสีน้ำตาลขอบทองดูเก่าแก่ มันถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่มันกลับถูกปลดล็อคอย่างง่ายดายเพียงแค่เซ็ทริคสัมผัสมัน
“อะ เก็บมันไว้” เขายื่นล็อคเก็ตสีน้ำตาลมาให้ฉัน
“พี่เชสต์ ฉัน.. ฉันไม่รู้จะเก็บมันไว้ได้นานแค่ไหน” ฉันเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเขา
“ทำให้ที่สุด แล้วมันจะดีเอง” เขายิ้ม ฉันเม้มริมฝีปากแน่น
“ไม่เอาน่า พี่บอกแล้วไง เธอจะไม่เป็นไร จะไม่มีใครเป็นอะไร”
“ค่ะ”
ฉันตอบ นั่นทำให้เขาคลี่ยิ้มอบอุ่นออกมา
“กลับห้องเถอะ ให้พี่ไปส่งไหม?” เขาถาม
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่เชสต์” ฉันปฏิเสธก่อนจะก้าวออกมาจากห้องของเขา
...ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง สองแขนกางออกจนสุดแขน หลับตาเพื่อผ่อนคลายเรื่องต่างๆ แต่.. มันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วเอี่ยวตัวไปหยิบตุ๊กตาลูกหมาสีน้ำตาลออกมา
“แกเคยรู้สึกเหมือนกับกำลังแบกโลกทั้งโลกไว้ไหม? แม็กกี้” ฉันพูดกับตุ๊กตาที่ถืออยู่ เมื่อเห็นมันเงียบฉันจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆแล้วถอนหายใจ ฉันดีดตัวจากที่นอนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้มานอน.. เตรียมพบเจอกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

: @The Dark High :
แดรกโกเวนส์นั่งหันหลังขาไขว้ห้างอยู่บนเก้าอี้ กระดิกเท้าจิบไวน์ราคาแสนแพงอย่างสบายใจเฉิบ
“มีอะไร” เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง แดรกโกเวนส์ยิ้มเจ้าเล่ห์ทันทีที่ได้ยิน เขาวางแก้วไว้แล้วหันมาสบตากับคู่สนทนา
“ไม่เอาน่า เชสต์ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปแล้วนะ” เขาพูด
“ฉันไม่มีเวลามาก มีอะไรก็รีบๆพูดมา” เซ็ทริคพูดเสียงเรียบ
“อืมม ได้ข่าวมาว่านายเรียกประชุมตัวแทนแล้ว” แดรกโกเวนส์พูด
“อ้าา มันน่าสนุกดีนะ ว่าแต่ นายเตรียมงานยังไงล่ะ มอบสิ่งสำคัญไว้กับคนที่อายุน้อยที่สุด จากนั้นก็ปล่อยเธอไปเผชิญโลกอันแสนตื่นเต้นในป่า แล้วก็ให้เธอตรอมใจตายเพราะหาทางออกไม่เจอ หรือไม่ก็เพราะปัญหาจากอดีตมัน..”
“จะขอบใจมาก ถ้านายหยุดไร้สาระกับความคิดที่มาจากสมองอันเต็มไปด้วยขี้เลื่อยกับหัวใจที่เต็มไปด้
วยความขี้ขลาดและปอดแหกของนาย”
เซ็ทริคพูดเสียงเรียบแต่เจ็บลึกไปถึงกระดูก นั่นทำให้แดรงโกเวนส์หุบยิ้มฉับแล้วคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ฉันว่าโซเฟียล่าน่าสนใจดี” แดรกโกเวนส์พูด
“เคยตายรึเปล่า” เซ็ทริคถาม
“โอ้ ขอโทษที ฉันลืมไป ว่าแต่น้องสาวนายกับน้องสาวของเพื่อนซี้นายเป็นไงบ้าง” แดรกโกเวนส์พูดแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร
“ดีขึ้นเยอะ ขอบใจที่ไสหัวออกไปจากชีวิตของพวกเธอ”เซ็ทริคพูด แดรกโกเวนส์กระตุกยิ้มทันทีเมื่อได้ยิน
“อา ใช่ ฉันว่าคริสต์คงคิดถึงฉันมากเลยล่ะ แมรี่ก็ดูร่าเริงดี ก็มีแต่เชล ที่นับวันยิ่งเหมือนจะไม่..”
“หยุดพล่ามถ้าไม่อยากตาย!”
เซ็ทริคตะเบ็งเสียงพร้อมกับเงื้อลูกไฟสีเหลืองที่อยู่ในมือขึ้น
“โอเค โอเคหยุด” แดรกโกเวนส์ยกสองมือขึ้น ทำให้เซ็ทริคลดมือลง
“ไม่เห็นจะต้องใช้ความรุนแรงเลยนี่ ผมเป็นน้องเขยพี่นะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เซ็ทริคสะอิดสะเอียน
“ฉันไม่เคยมีน้องเขยอัปยศอดสูอย่างแก” เซ็ทริคพูดเสียงเข้มขึ้น
“ฉันแค่จะบอกนายว่าฉันจะส่งฟลินน์ไปเป็นสายในเวิลด์ เมจิก ฮอลล์” แดรงโกเวนส์พูดแล้วยักไหล่
“ฟลินน์?”
“ดิมิทริซ ฟลินนิกซ์ ดีแร็ฟเตอร์”
สิ่งที่พูดออกมาจากปากของแดรกโกเวนส์ทำให้เซ็ทริคชาไปทั้งตัว ก็.. ฟลินนิกซ์คือคนที่ทางเวิลด์ เมจิก ฮอลล์ส่งมาเป็นสายที่นี่ แต่ตอนนี้กลับจะถูกส่งตัวกลับไปเป็นสายในเวิลด์ เมจิก ฮอลล์ให้ดาร์กไฮ
“หมอนั่นเด็กเกินไป อ่อนปลวกเปียก นายคงไม่คิดจะให้เด็กนั่นไปทำให้เสียงานหรอก” เซ็ทริคตอบแบบไม่ใส่ใจเพื่อที่จะให้ไม่ให้เป็นที่สังเกต
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก” แดรกโกเวนส์พูด
“หมดเรื่องแค่นี้ใช่ไหม”
“เรื่องของฉันน่ะแค่นี้ แต่เรื่องของนาย..”
แดรกโกเวนส์พูดแล้วชะเง้อคอไปดูทางประตูด้านหน้า โซเฟียล่ายืนอยู่ตรงนั้น
“ขอบใจมาก และหวังว่านายคงจะไม่ยื่นมือยื่นเท้าอันแสนอัปลักษณ์ของตัวเองเข้ามาจุ้น” เซ็ทริคมองแดรงโกเวนส์ด้วยสายตาต่ำลงแล้วเดินออกจากห้อง

: ~Zetric’s Part~ :
ผมเดินออกมาจากห้องนั้นแล้วและทันทีที่ผมปิดประตู ผมก็รู้สึกถึงแรงโอบกอดรอบต้นคอ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร ผมกอดตอบเธออย่างรวดเร็วด้วยความคิดถึง นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เจอเธอ นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้กอดเธอแบบนี้ การที่ได้เจอเจเนสซ่าแทบจะทุกวันมันทำให้ผมทรมานกับการคิดถึงเธอมากเข้าไปอีก
“เป็นไง” ผมถามเธอหลังจากที่คลายอ้อมกอดแล้ว แต่เธอเขย่งเท้าขึ้นมาจุ้บปากผมเบาๆ ทำให้ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ไปที่อื่นกันเถอะ” เธอบอกแล้วเกาะแขนผมเดินออกไป
..เธอพาผมออกมาข้างนอกและหยุดอยู่ที่ริมชายหาด ผมมองไปที่ใต้ต้นไม้ ชิงช้าที่ผมทำให้เธอ..มันยังอยู่ตรงนั้น ผมมองมันแล้วยิ้มออกมา
“นานแล้วนะที่ไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน” เธอพูด
“นานมาก นานจริงๆ” ผมพูดแล้วหันไปสบตากับเธอ โซเฟียล่าสบตาผม สักพักเธอก็สวมกอดแล้วซุกหน้าลงกับหน้าอกของผม
“เฟียสคิดถึงพี่ คิดถึงมากด้วย มากจริงๆ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ แต่ผมได้ยินชัดเลยล่ะ ผมกอดตอบเธอแน่นเอาคางเกยบนหัวแล้วใช้มือลูบผมของเธอ
“เฟียสคิดถึงพี่จริงๆนะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาบอกผมอีกครั้ง ผมใช้มือประคองหน้าเธอไว้
“แล้วคิดว่าพี่จะปล่อยให้เราคิดถึงพี่ฝ่ายเดียวงั้นหรอ” ผมบอกยิ้มๆ
“แต่พี่ก็ไม่เคยบอ..”
“คิดถึงเหมือนกันครับ”
ผมบอกเธอพร้อมกับโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆจนหน้าผากของผมและเธอติดกัน โซเฟียล่ายิ้มและเขย่งเท้าแล้วเอาจมูกเธอมาถูกับจมูกของผมไปมา นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับความน่ารักของเธอ ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าแข็งกร้าวที่นับวันยิ่งเปลี่ยนเป็นสีไพลิน ผมค่อยๆใช้ปากของผมประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างแนบชิดและแผ่วเบา..

“ดาวสวยดีนะ” ร่างบางที่นอนหนุนแขนผมพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ไม่สวยเท่าคนข้างๆพี่หรอก” ผมบอกหน้าตาย
“บ้าเถอะ” เธอบอกผมในขณะที่ใบหน้าเธอเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
“ไม่ง่วงรึไง” ผมถาม
“ง่วง แต่ไม่อยากหลับ” เธอบอก ผมเงียบรอให้เธอพูดต่อ
“เฟียสกลัวว่า ตอนเฟียสตื่นขึ้นมาแล้วเฟียสจะไม่เจอพี่” เธอเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงหันหน้ามาพูดกับผม
“นอนเถอะ พี่จะอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก” ผมบอกเธอ
“จริงนะ”
“ครับ สัญญา”
ผมบอก เธอยิ้มแล้วหลับตาลงในอ้อมกอดผม ผมจุมพิตหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา แล้วกระชับอ้อมกอดนั้นขึ้นอีก
“หลับซะนะ คนดี..” ผมบอกเธอแล้วหลับตาลง ไม่รู้สิ เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกกับผม ว่าผมอาจไม่ได้มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว..

: 08:40 @Sagacious | Zetric’s room :
“พี่หายไปไหนมา” เสียงของเชลล่าดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป
“ไว้จะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขออาบน้ำก่อน” ผมตอบแล้วเดินไปทางห้องน้ำเพื่อล้างทรายออกจากตัว
“ไปดาร์กไฮมาใช่ไหม” เธอถาม ผมชะงักไปนิดเดียว แล้วเดินต่อ
“เจอดริฟเฟอร์ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง” คำถามของเธอทำให้ผมเริ่มโกรธ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเลวซะยิ่งกว่าอะไร แต่น้องสาวผมยังไม่ยอมตัดใจเสียที
“แดรกโกเวนส์สบายดี” ผมพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ
“แล้วเขา เขา..”
“เลิกสนใจมันซะทีเถอะเชล!! มันไม่ใช่คนรักที่แสนดีคนเดิมของเธออีกแล้วนะ!”
ผมตวาดใส่น้องสาวแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ ผมไม่เคยใช่คำว่า ‘เธอ’ กับเชลล่า
“พี่ขอโทษ พี่เครียดไปหน่อย ขอโทษนะเชล” ผมบอก
“ช่างเถอะ ไปอาบน้ำเถอะพี่เชสต์ อีกสามสิบนาทีพบอาจารย์ใหญ่ที่ห้อง” เธอบอกแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อเริ่มต้นศึกครั้งใหม่ ผมถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้นกสองหัวมานานมากพอแล้ว ผมไม่ต้องการมันอีกแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องจัดการอะไรๆให้มันเสร็จสิ้นสักที..

Start.


“ไป! ไป! โซเฟียสไป!!” เสียงของเซ็ทริคทำให้ฉันวิ่ง เสียงพลุดังกระหึ่มเป็นสัญญาณว่าให้เริ่มการประลองได้แล้ว ฉันวิ่งมาได้ซักระยะก็หยุดหอบเพราะความเหนื่อย ฉันกำลังทำอะไรอยู่? หน้าที่ของฉันคืออะไร? หนีงั้นหรอ? แค่หนีใช่ไหม ตอนนี้ซีซ่าร์กับรุ่นพี่โรสแมรี่อยู่ไหนก็ไม่รู้ เราพลาดกัน เป้าหมายแรกกลับป็นซีซ่าร์ ไม่ใช่เซ็ทริค ผิดคาดหมดทุกอย่าง เสียแผนตั้งแต่เริ่มต้น ฉันเริ่มเดินไปเรื่อยๆเพื่อเก็บแรงไว้ตอนโดนล่า มันน่าจะมีประโยชน์มากกว่า อีกอย่าง ฉันยังไม่อยากเข้าไปในใจกลางของป่าตอนนี้
..เสียงปืนดังขึ้นมาจากข้างหลัง ประมาณหนึ่งกิโลเมตรได้
“ทางทิศตะวันออก หาเธอให้เจอ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าฉันต้องวิ่งต่อแล้ว แต่..
“ไง” เสียงแหลมทักทายฉันจากทางซ้ายมือมันมาพร้อมกับความเย็นเฉียบของกระบองที่พาดอยู่ต้นค
อของฉัน
“ไม่ไง สบายดีไหม” ฉันถาม อีกฝ่ายยิ้มราวกับว่าคำถามนั้นปัญญาอ่อนสิ้นดี ก็ใช่ ยอมรับว่าตอนนี้สมองฉันประมวลผลไม่ค่อยจะทัน
“ก็ดี ดีกว่าเธอเยอะ” อีกฝ่ายตอบ แต่ฉันไม่พูดอะไร จนเธอลดกระบองเหล็กนั่นลง ฉันหันไปมองด้วยความสงสัยแล้วก็ต้องแค่นหัวเราะ
“เฮอะ!” ฉันส่ายหน้า กับความบื้อของตัวเอง นี่คือเอลลาเนอร์ เพื่อนของฉันตอนเกรดแปด แต่เราไม่สนิทกันนักหรอก
“ทำไมถูกจับง่ายแบบนี้” เธอถาม
“ถ้าฉันรู้ ฉันคงไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นต่อไปหรอก” ฉันตอบยียวนเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลงบ้าง
“เฮอะ! ฉันต้องไปแล้ว ถ้าเจอลิเซีย ฝากบอกเธอด้วยว่าฉัน.. เป็นห่วง” เธอบอกแล้วยิ้มให้ฉัน ก่อนจะวิ่งเข้าป่าหายไป ฉันยิ้มบางๆให้กับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในสนามประลองแล้วเดินหน้าต่อ
...ฉันเดินมาไกลจากที่เดิมพอสมควร เงียบ.. การประลองเงียบแบบนี้ทุกครั้งลยหรือเปล่า? หรือพวกเขาจะรู้ว่าฉันอยู่ไหน แต่เก็บเอาไว้ทีหลัง เพื่อสะดวกต่อการแย่งชิงหรือฆ่าถ้าฉันไม่ยอม อ่าห้ะ เป็นไอเดียที่บรรเจิดสุดๆ ฉันนึกขำกับความคิดของตัวเอง แต่จะว่าไป.. มีความเป็นไปได้สูงเลยล่ะกับสิ่งที่ฉันคิดน่ะ เสียงนกร้องแสบแก้วหูดังขึ้น ฉันหันขึ้นไปมองทันที
“หมอบ!!” เร็วเท่าความคิด เสียงนั่นมาพร้อมกับนกสีดำขนาดใหญ่ผ่านข้ามผ่านหัวฉันไป กรงเล็บของมันเกี่ยวผมของฉันจนยุ่งเหยิง ฉันหันขึ้นไปมองแต่ก็เห็นไม่ชัดเพราะตอนนี้มันบินไปไกลแล้ว ฉันก้มลงหยิบเป้ขึ้นมาสะพายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเจอแผ่นกระดาษม้วนอยู่

‘ถ้าฉลาดพอ ตามหาวิซทริคให้เจอ เกมเปลี่ยนแล้ว’
‘แฟรงคลินน์’


ฉันอ่านข้อความจบแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว กับดักหรือเปล่า? ‘เกมเปลี่ยนแล้ว’ หมายความว่าไง? กติกางั้นหรือ แต่นี่พึ่งเริ่มการประลองไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกับดัก ทำไมจะต้องใส่ชื่อรุ่นพี่แฟรงคลินน์
ให้ระแคะระคาย สู้ใส่ชื่อเซ็ทริคยังน่าเชื่อกว่า หรือบางทีอาจเป็นแผนซ้อนแผน นี่ฉันคิดมากไปหรือเปล่า? มันอาจจะเป็นไปตามที่กระดาษนี่เขียนไว้ก็ได้
ฉันสะบัดหัวสองสามทีแล้วพับกระดาษนั้นไว้ในเป้แล้วเริ่มเดินต่อ
“เฮ้! อยู่นั่น!!” ฉันผู้ชายดังขึ้นทำให้ฉันวิ่งโดยไม่หันหลังไปมองว่าเป็นใคร ต้องไม่ใช่มิตรแน่เพราะมันมาพร้อมปืน
เสียงปืนดังสนั่นพร้อมลูกกระสุนที่เฉียดหัวไปมาทำเอาฉันขวัญเสีย ฉันไม่มีปืน ไม่มีกระบองเหล็ก ไม่มีพาหนะที่จะหนี ตอนนี้เสียงปืนยังดังต่อเนื่องเช่นเดียวกับเท้าฉันที่ยังก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว ในใจนึกหาวิธีโต้ตอบ ไม่ดีแน่ถ้ายังขืนวิ่งหนีไม่มีเป้าหมายแบบนี้ ฉันตัดสินใจใช้ต้นไม้พวกนี้ให้เป็นประโยชน์ ในกฎไม่เขียนบอกนี่ว่าการประลองห้ามใช้เวทย์มนต์ ฉันผ่อนความเร็วในการวิ่งลงแล้วยื่นมือออกมาพร้อมกับเพ่งจิต ไม่นานมือของฉันก็ปรากฏฟลุตสีขาวน้ำหนักเบา ฉันเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่แล้วสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ตอนน
ี้มันเต้นเร็วเกินไปแล้ว ฉันทำสมาธิไม่สนใจเสียงคุยจ้อกแจ้กของผู้ชายสองสามคนที่กำลังตามหาฉัน ทันทีที่ฉันเริ่มเป่าฟลุต ตัวโน๊ตสีฟ้าก็หลั่งไหลเป็นสายออกไปพันรอบเถาวัลย์ แล้วจากเถาวัลย์ที่สงบนิ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวและเลื้อยยาวตรงไปหาผู้ชายพวกนั้นที่ตาม
ล่าฉันอยู่ ฉันเร่งจังหวะเพลงให้บีบเค้นหัวใจหนักขึ้นทำให้พวกเถาวัลย์เพิ่มการบีบรัดสามคนนั้นแ
น่นขึ้น สายลมกระโชกแรงอย่างบ้าคลั่ง กิ่งไม้ไหวเอนไปมารุนแรงเหมือนช้างตกมัน เสียงร้องโอดโอยของผู้ชายสามคนนั้นดังมาเป็นระยะๆ ฉันหยุดเป่าเมื่อรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ทันและทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน ฉันพิงหัวกับโคนต้นไม้ แขนทั้งสองข้างปล่อยทิ้งข้างลำตัวอย่างหมดแรง ฟลุตที่อยู่ในมือเป็นแสงสว่างแวบหายไป ฉันเปิดเป้เพื่อหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแล้วเก็บมันลงไปที่เดิม ฉันสูดหายใจลึกแล้วดีดตัวเองให้ลุกขึ้นเดินตรงไปหาสามคนนั้น.. ไม่ หน้าตาไม่คุ้นเลยซักนิด ไม่ใช่นักเรียนเวิลด์ เมจิก ฮอลล์แน่นอน ขอบตาคล้ำ มีรูปดาวสีดำสลักอยู่ตรงหางตา ใส่ชุดสีดำมาซะขนาดนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพวกดาร์กไฮ บุคคลอันขึ้นชื่อว่าเป็นขยะของสังคมผู้วิเศษ แต่กระนั้น ดาร์กไฮก็ยังมีสมาชิกเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉันสำรวจใบหน้าของคนพวกนี้เพื่อความแน่ใจ จากนั้นจึงค้นตัวพวกเขาเพื่อหาอาวุธหรืออาหารหรืออะไรก็ตามแต่ที่มีประโยชน์ แล้วก็โชคดี เป้ของพวกเขามีน้ำอยู่สามขวด แฮมชีสสองแผ่น ครัวซองสามชิ้น ไฟฉาย หม้อสนาม ถุงนอนแล้วก็ปืน ของพวกนี้ทำให้ฉันสงสัยว่าพวกเขาอาจจะเป็นเด็กเกรดเจ็ดที่ปลื้มนักร้องแนวพังก์ร็อค จึงทำตัวเขียนตาเลียนแบบอะไรพวกนั้น แล้วจู่ๆพวกเขาก็โดนอาจารย์สั่งให้มาตั้งแคมป์กันกลางป่า แต่ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อได้ยินเสียงพวกเขาพูด
“ไปรอดได้ไม่นานหรอกสาวน้อย” เสียงแหบพร่าของเขาพูดขึ้น
“เก็บปากไว้แก้ตัวกับเจ้านายคุณจะดีกว่า” ฉันบอกยิ้มๆ ทำให้เขาขบกรามแน่น
“ฉันขอน้ำ อาหารแล้วก็ปืนไปซักสองกระบอกนะ ส่วนถุงนอน.. ฉันให้คุณเก็บไว้เผื่อจะเอาไปนอนข้างถนนเวลาโดนเตะออกจากดาร์กไฮ” ฉันบอกแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้มร้ายกาจให้พวกเขาเจ็บใจเล่น

ฉันเก็บพวกสิ่งมีค่าที่อาจได้ใช้ในเป้ของพวกเขาหมดแล้วจึงเดินหน้าต่อ..อย่างไร้จุดห
มาย ฉันไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางไหน ในป่าเนี่ยนะ ถ้าโรบินมาด้วยได้ก็คงดี
‘เจนน่า ผมเสียใจนะ พวกเขาบอกว่าครั้งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ติดตามไปด้วย’
‘ไม่เป็นไรหรอก โรบิน ฉันเข้าใจ’
‘คุณจะต้องปลอดภัย อ้อ ผมมีเพื่อนคนนึง เขาชอบอยู่ในป่านั่นแหละ ถ้าคุณพบเขาให้เอาสิ่งนี้ให้เขา แล้วเขาจะช่วยคุณ’

โรบินพูดพร้อมยื่นแผ่นเหล็กสามเหลี่ยมขนาดบางมาให้ฉัน มันสลักเป็นตัวอักษรโรมันประมาณซักประโยคนึงเห็นจะได้
‘ขอบใจนะ’
‘ครับ โชคดีนะ ผมรักคุณนะ’
เขาบอกฉัน ฉันยิ้มตอบไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
‘เอาตะเกียงไปด้วยสิ’ โทมัสลอยมาข้างๆฉัน พร้อมกับตะเกียงสีทองที่ลอยมาด้วย ฉันหยิบมันมา
‘เรียกฉันได้ตลอด ฉันไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลไหม แต่เธอควรจะลองเมื่อเข้าไป’ โทมัสบอก
‘ขอบคุณมากเลยค่ะโทมัส’ ฉันตอบแล้วบอกลาพวกเขาเมื่อเซ็ทริคเดินมาสะกิดให้ไปเตรียมตัว

ฉันหยิบแผ่นเหล็กและตะเกียงออกมา ฉันไม่อยากเรียกโทมัสตอนนี้ เพราะถ้าเกิดเรียกมาไม่ได้ ฉันคงรู้สึกว่าอะไรๆมันยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ปล่อยให้ตัวเองไม่รู้ต่อไปแบบนี้น่าจะดีกว่า ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดเพราะสิ่งแปลกปลอมสีม่วงกองอยู่ข้างหน้า ฉันพยามมองจากตรงนี้ว่ามันคืออะไร แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างแล้ววิ่งเข้าไปหา
“เอลล่า! เอลล่า!” ฉันเขย่าร่างบางที่นอนไม่ขยับอยู่ตรงหน้า ฉันก้มลงเอาหูแนบกับตำแหน่งตัวใจของเธอแต่ยังไม่ทันได้ฟัง ฉันก็รู้สึกถึงแรงดึงจากข้างหลัง
“เธอทำอะไรน้องสาวฉัน!!” อลิเซีย พี่สาวฝาแฝดของเอลลาเนอร์ เธอผลักฉันชนกับต้นไม้แล้วตะเบ็งเสียงถามอย่างเกรี้ยวกราด
“เปล่า ฉันแค่เดินมาแล้วเจ..”
“โกหก!! ถ้าเธอไม่ได้ทำแล้วใคร!!”
เธอตะโกนใส่หน้าฉันด้วยความเดือดดาล
“นี่ ลิเซีย ฟังนะ ฉันไม่รู้หรอกว่าใคร แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยนไปแล้ว ฉันคิดว่าเธอคงได้รับข้อความและ..” ฉันพยายามพูดอย่างใจเย็น
“มันเป็นกลลวง แค่กลลวงให้คนโง่ไปติดกับ!! อย่ามาหลอกฉัน กลโง่ๆใช้ไม่ได้กับฉัน!!”
เพี๊ยะ!!
“เธอ!!”
“มีสติซะทีเถอะน่า ลิเซีย!”
ฉันตวาด ลิเซียหน้าแดงด้วยความโกรธ และใช่ บวกกับที่ฉันตบหน้าเธอเมื่อกี้ด้วย
“ฉันก็ได้รับข้อความเหมือนกัน จากแฟรงคลินน์ให้หาตัววินเทจให้เจอ” ฉันพูด
“เกมเปลี่ยนไปแล้ว” ลิเซียพูดพร้อมกับปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ แล้วก็เหมือนเธอพึ่งนึกขึ้นได้ เธอหันหลังกลับแล้วนั่งลง
“เอลล่า! เอลล่าตื่น! นี่ไม่ใช่เวลามาขี้เซานะยัยน้องบ้า!!” อลิเซียตะคอกใสน้องสาวที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองมือกำหมัดแน่น ฉันเดินไปคุกเข่าลงแล้วจับชีพจรของเอลลาเนอร์ มันเต้นช้าและเบามาก มากจนน่าใจหาย
“ฉัน.. ฉันว่าฉันอาจจะรักษาน้องสาวเธอได้นะ” ฉันพูดกับอลิเซียที่นั่งร้องไห้อยู่ เธอสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมเสียงสะอื้นของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“เพื่ออะไร? เราเป็นศัต..”
“เลิกพูดเรื่องนั้นซะที ไม่มีการประลองอีกต่อไปแล้ว”
ว่าจบฉันก็เอาฟลุตออกมา ฉันมองร่างที่หายใจแผ่วเบาของเอลลาเนอร์อยู่สักพัก แล้วเริ่มเป่าเพลง ผีเสื้อสีทองบินมาจากที่ไหนก็ไม่รู้เต็มไปหมด มันบินมาที่ร่างของเอลลาเนอร์แล้วบินรอบตัวเธอเป็นวงกลม ประกายระยิบระยับสีทองเริ่มปรากฏและมากขึ้นๆ จนกระทั่งเพลงจบ สีเสื้อบินกลับไปยังทิศทางที่มันมา เอลลาเนอร์ยังไม่ขยับเขยื้อนใดๆ บางที.. ฉันอาจจะช่วยเธอไม่ได้ ด้านอลิเซียที่กุมมือน้องสาวแน่นเริ่มปล่อยโฮขึ้นมาอีกครั้งอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่..
“เพลงเพราะดีนะ”
“เอลล่า!” ฉันพูดออกมาด้วยความตกใจ เอลลาเนอร์ยังไม่ตาย เธอกระพริบตาปริบๆมองพี่สาวที่เช็ดน้ำตาอยู่เหมือนกลัวเสียฟอร์ม
“อะไรกัน น้ำตาอลิเซีย ว้าว น่าสนใจดีจริงๆ” เสียงแหบพร่าของเอลลาเนอร์พูดเสียงค่อยแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ถ้าไม่ได้ตั้งใจฟังดีๆ
“เธออยากตายอีกครั้งไหม เอลล่า” อลิเซียถามน้องสาวเสียงขุ่น
“ฉันคิดว่าเธอไม่อยากให้ฉันเป็นอีกครั้งหรอก ลิเซีย” เอลลาเนอร์พูดอย่างรู้ทัน
“ฉันว่าเธออย่าพึ่งพูดอะไรจะดีกว่านะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้วมันจะมาเป็นภาระฉัน” อลิเซียพูด เอลลาเนอร์ยิ้มตลกกับท่าทีของพี่สาว ภาพตรงหน้าทำให้ฉันยิ้มออกมา แต่ก็อดคิดย้อนกลับมากรณีของตัวเองไม่ได้ ทำไมฉันกับพี่ไม่เป็นแบบนี้บ้าง.. ฉันไล่ความคิดนี้ออกไปแล้วพูดกับสองพี่น้อง
“ในข้อความ พวกเธอตามหาใคร” ฉันถาม
“ฉันได้เอลล่ากับซีซ่าร์ รุ่นพี่เซ็ทริคส่งมา” อลิเซียบอก
“แต่ฉันไม่ได้แบบนั้น” เอลลาเนอร์เอ่ยเสียงแหบ ฉันกับอลิเซียหันไปหาเธอด้วยความสงสัยทันที
“ฉันได้อลิเซียกับซีซ่าร์ ไม่ใช่เอลลาเนอร์กับซีซ่าร์” เอลล่าเนอร์บอกหน้าตาย
“ท่าทางเธอคงจะอยากตายอีกรอบจริงๆสินะ” อลิเซียพูดกับน้องสาว ในขณะที่ผู้เป็นน้องสาวกลับหัวเราะออกมา
“มาเถอะ ไปตามหาซีซ่าร์ด่วยกัน” ฉันลุกขึ้นแล้วบอกพวกเธอพร้อมกับยื่นมือไปให้อลิเซีย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วจับมือฉันลุกขึ้นมา
“แล้วฉันล่ะ อย่าทิ้งฉันไว้ตรงนี้นะ” เอลลาเนอร์พูด
“ใครจะไปทิ้งเธอล่ะยัยน้องบื้อ!!” อลิเซียพูดแล้วนั่งลงประคองตัวเอลลาเนอร์ขึ้นมา
“เธอขยับได้ไหม” ฉันถาม
“พอได้นะ แต่เจ็บแขนน่ะ” เอลลาเนอร์บอก
“เดี๋ยวฉันแบกเธอเอง เอ้า ขึ้นมา” อลิเซียหันหลังให้ขึ้นขี่ ฉันช่วยพยุงเอลลาเนอร์ขึ้น
“หนักเป็นบ้า ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ถึงชอบบ่นบ่อยๆว่าเค้กพุดดิ้งหายไปไหน” อลิเซียบ่น
“บ่นน่า” เอลลาเนอร์บอก ทำให้อลิเซียส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจเล็กน้อย
เราเดินมาได้ไกลพอสมควร ตระกูลซีซ่าร์เป็นตระกูลแห่งสายลม ฉันคิดว่าเราน่าจะเดินมาตามทางลม เผื่อจะเจอเขา
“ลิเซีย..” เสียงของเอลลาเนอร์พูดขึ้น
“หืม?” อลิเซียตอบ
“ฉันนอนบนหลังพี่ได้ไหม” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ฉันสังเกตว่าอลิเซียชะงักไปเล็กน้อย
“ได้สิ แต่เธอต้องตื่นขึ้นมาฟังฉันบ่นนะ” อลิเซียบอกด้วยน้ำเสียงรำคาญ แต่ฉันรู้ดี มันเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เราพักก่อนได้ไหม” อลิเซียถามฉัน
“น่าจะได้ พักตรงนี้เลยละกัน” ฉันบอก อลิเซียค่อยนั่งลงแล้วประคองน้องสาวให้พิงต้นไม้
“เธอต้องตื่นขึ้นมาฟังฉันบ่นนะ” อลิเซียบอกน้องสาวอีกครั้ง
“แน่นอน เสียงบ่นของพี่มันทำให้ฉันมีความสุข” เอลลาเนอร์พูด
“ยัยเพี้ยน” อลิเซียพูดแล้วดีดหน้าผากน้องสาวตัวเอง
“ฉันซบไหล่พี่ได้ไหม” เอลลาเนอร์ถาม
“ตามสบาย แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องตื่นมาฟังฉันบ่น” อลิเซียพูดประโยคเดิมอีกครั้ง ผู้เป็นน้องยิ้มมีความสุขอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงพักผ่อน
"ยัยบ๊องเอ้ย!" อลิเซียมองหน้าน้องสาวแล้วลอบยิ้ม แล้วจากนั้นก็ผล็อยหลับไป

ฉันที่นั่งอยู่บนหินดูสองพี่น้องที่หลับอยู่ด้วยรอยยิ้ม ฉันถอนใจหายใจแล้วลุกขึ้นเดินไปสำรวจรอบๆ
“โซเฟียล่า!!” เสียงหนึ่งเรียกฉันจากข้างหลัง
“ซีซ่าร์!! นั่นนาย..?” ฉันไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเป็นซีซ่าร์ เนื้อตัวเขาตอนนี้ดูมอมแมม ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนเขรอะไปด้วยโคลน
“เจอฝาแฝด ดิแอร์โร่ ไหม?” เขาถาม
“เจอ มาด้วยกันนี่แหละ สองคนนั้นนอนพักอยู่” ฉันบอก หน้าตาซีซ่าร์ในตอนนี้ดูโล่งขึ้นมากเมื่อได้ยินฉันพูด
“เจอวินเทจรึยัง” เขาถาม ฉันส่ายหน้าไปมา เขาถอนหายใจแล้ววางมือลงไหล่ฉันแล้วบีบเบาๆ
“เดี๋ยวก็เจอ มาเถอะ ฉันมีข่าว.. มาอัพเดต” เขาพูดลากเสียงในประโยค เดาไม่ยากเลยว่าเป็นข่าวร้าย เขานำฉันมาจนถึงลำธาร ซีซ่าร์ควักน้ำล้างแขนและขาของเขา
“มูสซัคก้ากับเพลสโต้ตายแล้ว” เขาขึ้นมานั่งบนหินกับฉันแล้วบอกเสียงเรียบ ฉันค้างไปหลายวิ นี่ไม่ถึงวันก็มีคนตายถึงสองคนแล้ว
“พวกดาร์กไฮหรอ” ฉันถาม ซีซ่าร์เงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน
“เธอรู้จักด้วยหรอ”
“ได้ยินคราวๆ เอ่อ.. ความจริงพวกมันก็ล่าฉันเหมือนกัน มากันสามคนน่ะ”
ฉันบอก ซีซ่าร์เงียบ ฉันจึงเล่าต่อ
“แต่ฉันจัดการไปแล้วล่ะ”
“เยี่ยม! แต่ยังไง”
“เวทย์มนต์น่ะ เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน”
ฉันบอก
“ดีแล้วแหละ ไปเถอะ ไปหาสองพี่น้องกัน” เขาบอก ฉันเดินนำเขาไปจนถึงต้นไม้ที่สองพี่น้องนอนอยู่
“ลิเซีย ลิเซีย” ฉันเรียกอลิเซียพร้อมกับเขย่าตัวเธอ
“ซีซ่าร์ เธอเจอเขาที่ไหน” อลิเซียถามทันทีเมื่อเห็นซีซ่าร์ยืนอยู่ข้างหลัง
“แถวนี้แหละ ว่าแต่ เอลล่าไหวไหม” ฉันถาม
“เอลล่า” อลิเซียพูดแล้วเขย่าแขนน้องสาวเบาๆ เอลลาเนอร์งัวเงียตื่นขึ้นมา
“หวัดดีซีซ่าร์” เอลลาเนอร์ทักทาย
“หวัดดีเอลล่า เธอดูดีนะ”
“ขอบใจ”
เอลลาเนอร์พูดแค่นหัวเราะ
“เราต้องหาสัญลักษณ์ตัว WH ให้เจอ มันอาจจะอยู่แถวนี้.. อาจจะ” ซีซ่าร์บอก
“เหมือนไอ้นี่รึเปล่า” เอลลาเนอร์พูดแล้วชี้ที่ต้นไม้ที่เธอพิงอยู่
“อ่า โชคดีจริง มาเถอะ” ซีซ่าร์พูดแล้วดึงมืออลิเซียให้ยืนขึ้น แล้วก้มลงไปประคองตัวเอลลาเนอร์ขึ้นมา
“แล้วเธอล่ะ โซเฟียส” อลิเซียถามฉัน
“ก็ ตามหาวินเทจเจอแล้วก็กลับ.. ล่ะมั้ง” ฉันตอบไม่มั่นใจนัก อลิเซียยื่นเป้ของเอลลาเนอร์มาให้ฉัน คาดว่าของเธอคงหล่นหาย ที่ไหนซักแห่ง
“มันจะมีประโยชน์กับเธอ”
“ขอบใจ”
ฉันพูดแล้วรับมันมา
“เธอจะปลอดภัย โชคดีนะ” อลิเซียยิ้มให้ฉัน
“ไปกันเถอะ โชคดีนะโซเฟียล่า” ซีซ่าร์บอกอลิเซียแล้วหันมาอวยพรฉัน ฉันยิ้มแล้วมองพวกเขาที่อยู่ในวงพายุหมุนของซีซ่าร์ ไม่นาน ตรงหน้าฉันก็เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ฉันเก็บลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่นแล้วเดินหน้าต่อ แสงแดดยามบ่ายลอดส่องผ่านกิ่งไม้หนาเป็นลำแสงเป็นระยะๆ ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายล้วนแต่เป็นต้นไม้หายากราคาแพง ครอบครัวกระต่ายสีขาวนอนหลับอยู่ใต้โขดหิน นกตัวเล็กๆส่งเสียงร้องหาพ่อกับแม่ สายลมอ่อนๆพัดมาทำให้ใบหน้าและตัวที่ชุมโชกไปด้วยเหงื่อรู้สึกเย็นสบาย ฉันนั่งลงบนโขดหินเล็กๆใต้ร่มไม้
...ท้องฟ้าจากเป็นสีฟ้าสดใสเริ่มครึ้มและเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ลมอ่อนๆเย็นสบายเมื่อครู่เริ่มกระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ต่างๆส่งเสียงร้องโกลาหนจนฟังไม่รู้เรื่องในขณะเดียวกันก็ฟังดูน่ากลัว พวกมันวิ่งผ่านหน้าไปมาดูเยอะและวุ่นวาย นี่เป็นสัญญาณว่าฉันต้องหนี ฉันเริ่มวิ่งและวิ่ง แต่รู้สึกว่าเท้าทำงานได้ช้ากว่าปกติ เสียงของกระต่ายตัวหนึ่งร้องขึ้นมา ฉันพยายามไม่สนใจมัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดู มันติดแหง็กอยู่ใต้ซอกหิน คาดว่าขาของมันคงถูกทับ ฉันติดสินใจวิ่งไปช่วยมัน
“โอเค อยู่นิ่งๆนะเจ้าหนู” ฉันพูดแล้วจับตัวมันแล้วออกแรงดึงเบาๆ มันร้อง
“ขอโทษทีๆ” ฉันบอก ดึงตัวออกมาไม่ดีแน่ เผลอๆจะเจ็บมากไปกว่าเดิม ฉันยืนขึ้นมองดูก้อนหิน มันไม่ใหญ่มากแต่มันต้องหนักมากแน่ๆ ไม่รู้สิฉันอาจจะผลักมันได้
“เอาล่ะ ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหนนะ แต่จะพยายาม” ฉันบอกกระต่ายตัวน้อย ก่อนจะหันหลังชิดหินนั่นแล้วยันเท้ากับหินอีกก้อนที่อยู่ตรงหน้าเพื่อเพิ่มแรงผลัก ไม่ขยับ ฉันเปลี่ยนเป็นไปยืนบนหินอีกก้อนแล้วออกแรงผลักหินที่ทับกระต่ายออก และได้ผล กระต่ายวิ่งออกไปแล้ว และ..
“โว้ว” ฉันร้องออกมาเมื่อหินที่ขยับเพียงเล็กน้อยค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปเองอย่างช้าๆ เผยให้เห็นอุโมงค์ที่อยู่ข้างใน ฉันลงจากหินที่ยืนอยู่แล้วเดินไปที่หน้าอุโมงค์นั่น มืด ทึบ นั่นคือสิ่งที่สัมผัสได้ ฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเข้าไปในนั้นแน่..


-----------------------------------------------------
ที่ลงช้าเพราะมัวตรวจทานฉากมินิเลิฟซีน > <
เขียนเลิฟซีนครั้งแรก ฮ่าาาา พิมพ์ไปเขินไป กรั่กๆ





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post
Avalice Cruz Spe...
โพสต์ Sep 20 2012, 08:52 PM
โพสต์ #8


นักเรียนฮอกวอตส์ปี 2

****




กลุ่ม : นักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
โพสต์ : 407
เข้าร่วม : 31-March 12
จาก : ร้านไม้กวาด 3 อัน
หมายเลขสมาชิก : 16,569
สายเลือด : เลือดบริสุทธิ์
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เฟอร์ | ยาว: 11"
แกนกลาง: เอ็นหัวใจมังกร
ความยืดหยุ่น: อ่อนนุ่ม

สัตว์เลี้ยง






CHAPTER VI


..สายฟ้าผ่าลงมาข้างหลัง มันใกล้จนทำให้ฉันกระเด็นเข้ามาอยู่ในอุโมงค์ อาการปวดแสบปวดร้อนเริ่มเกิดขึ้นที่แผ่นหลังเหมือนมีไฟไหม้ ฉันกัดฟันยืนขึ้นอย่างทรมาน แต่แล้วก็ทรุดลงกับพื้นเหมือนเดิม ฉันสูดหายใจลึกแล้วเอื้อมมือไปยึดกับฝาผนังเพื่อพยุงตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก เท้าเจ้ากรรมพยายามเดินไปที่ปากอุโมงค์ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อย่างที่บอกไว้ ฉันจะไม่มีวันเข้ามาในนี้แน่ๆ ถึงฉันจะเข้ามาแล้วก็เถอะ
“Damn!” ฉันสบถออกมาเมื่อหินที่ปากอุโมงค์เลื่อนปิดอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา ไม่มีทางเลือก ฉันต้องเดินหน้าต่อ ไม่มีทางที่ฉันจะรอให้มีคนบ้ามาผลักหินออกหรอก ฉันหันหลังกลับและเดินเกผกไปเรื่อยๆ มืด ทึบ อับ ชื้น กลิ่นฝุ่นตีกันกับกลิ่นโคลนชวนอาเจียนอาหารเช้าออกมา ผนังอุโมงค์เป็นดินเหนียวชื้น ข้างบนเป็นหินย้อย แสงสว่างลอดเข้ามาบ้างเป็นระยะตามซอกหินเล็กๆ ฉันไม่เลือกที่จะใช้ไฟฉายตอนนี้เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรอีกบ้าง เก็บไว้ก่อนดีกว่า
ฉันหวังว่าตอนนี้วิซทริคคงไม่ตามหาฉันและกลับไปก่อน เพราะถึงเขาตามหาก็ไม่เจอหรอก เว้นเสียแต่ว่า.. เขาก็ติดอยู่ในอุโมงค์นี้เหมือนกัน ยินดีเลยล่ะถ้าเป็นแบบนั้น เพราะอย่างน้อยฉันจะได้ไม่เครียดเวลาใกล้ตาย ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งลึก ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ฉันหยุดการเคลื่อนไหวทันทีที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เสียงเหยียบกิ่งไม้? แล้วอะไรเหยียบ คน? สัตว์? ฉันล้วงเป้แล้วหยิบปืนออกมาแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ กลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบวกกับสิ่งที่อยู่ในมือ ใช่ ฉันไม่เคยยิงปืน จะให้ถูกก็คือไม่เคยถือเลยด้วยซ้ำไป เงาคน.. ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย ฉันรวบรวมความกล้าแล้วกระโจนใส่เขาทันที ฉันผลักเขาชิดผนังและใช้ท่อนไม้ดันหน้าอกเขาไว้พร้อมกับมือที่จ่อหน้าผากเขาอยู่
“โอเค! โอเค!” เขาบอกพร้อมยกมือขึ้นทั้งสองข้าง
“วินเทจ!!”
“อืม”
เขาพูดเสียงเรียบ ในขณะที่ฉันยังอ้าปากค้างอยู่
“ตกลงว่าเธอจะเอาปืนออกห่างหน้าผากฉันได้รึยัง” เขาถามเสียงขุ่น
“เอ่อ ขอโทษที” ฉันบอกแล้วลดมือลง
“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่” ฉันถาม
“เดินไปเล่าไปดีกว่า มาเถอะ”
“โอ๊ย”
ฉันร้องออกมาทันทีเมื่อเขาวางมือลงที่หลังของฉัน
“เป็นอะไร” เขาขมวดคิ้วถาม
“เปล่าหรอก มันก็แค่.. คือฟ้าผ่าในระยะใกล้น่ะ แล้วมัน.. เลยส่งผลกระทบนิดหน่อย”
“นั่งลง”
เขาบอก
“ว่าไงนะ”
“นั่งลง ทานี่ซะ เดี๋ยวฉันมา”
เขาบอกแล้วก็เดินหันหลังเดินไป ฉันไม่ว่าอะไรแล้วนั่งลงถอดเสื้อเชิ้ตสีดำออกเหลือแต่เสื้อกล้ามสีดำข้างใน โอ้ ไม่ ช่วยบอกฉันทีว่านี่ไม่ใช่แผ่นหลังของฉัน มันแดงไปหมดเหมือนพึ่งโดนน้ำร้อนลวกใหม่ๆ ฉันเปิดกระปุกที่เขาให้มา ข้างในมันคือของเหลวสีเงิน ดูเหมือน.. เลือดยูนิคอร์น ฉันแตะมันแล้วป้ายๆลงบนแผ่นหลัง ไม่นานรอยแดงและความเจ็บปวดบริเวณที่ทาก็ค่อยๆหายไป

: ~Viztric’s Part~ :
ผมปล่อยให้เธอจัดการกับแผลของตัวเองไป ด้านผมเดินออกมาเดินดูรอบๆเพื่อหาทางออก ไม่มีวี่แววของสิงมีชีวิตในนี้ ความจริงผมติดอยู่ในนี้มาได้ชั่วโมงแล้วล่ะ หลังจากที่เจอศพยูนิคอร์นที่ยังใหม่ๆอยู่ข้างนอก ผมเก็บเลือดมันไว้ใช้ประโยชน์ และด้วยความสงสัยไม่เข้าทางทำให้ผมต้องมาติดแหง็กอยู่ในนี้ ผมไม่ได้เข้ามาทางเดียวกันกับเจเนสซ่าแน่นอน แล้วผมก็เชื่อ ว่าทางออกไม่ได้มีแค่ทางเดียว ผมเดินกลับไปหาเจเนสซ่าที่วุ่นอยู่กับการทาเลือดยูนิคอร์น ผมยังจำตอนที่เธอผลักผมเข้ากับผนังได้ ผมสีน้ำตาลยุ่งๆที่ปกคลุมใบหน้าบางส่วน เรียวปากสีแดงสด ผิวสีขาวๆตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำของเธอ ดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นจ้องผมเขม็ง เธอสวยแม้กระทั่งตอนที่กำลังจะฆ่าคน เอ่อ.. ฆ่าผม
“ความจริง.. เลือดยูนิคอร์นก็ไม่ได้หายากอะไรหรอกนะ ในป่านี้น่ะ” ผมพูดพร้อมกับแย่งกระปุกนั่นมาแล้วทาหลังให้เธอ เจเนสซ่าสะดุ้งเล็กน้อย
“ช่วยบอกฉันที ว่านายไม่ได้ฆ่ายูนิคอร์น”
“เปล่า ฉันเจอมันอยู่ข้างนอก หมายถึง ก่อนที่จะเข้ามาในนี้น่ะ”
ผมบอกพลางทาหลังให้เธอไปเรื่อยๆ รอยแดงเริ่มจากหายไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงต้องทำหน้าเหยเกขนาดนั้นตอนที่ผมจับหลังเธอน่ะ
“ขอบใจ” เธอบอกผมทันทีที่ผมปิดฝากระปุก
“เราต้องหาทางออกให้เจอให้เร็วที่สุด” ผมพูด
“แหงอยู่แล้ว” เธอพูดแล้วยืนขึ้นหยิบเป้ขึ้นมาพาย เธอรวบผมของเธอไปไว้ข้างหลังและจัดแจงเสือเชิ้ตให้เข้าที่
เราเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผลัดกันดื่มน้ำที่ตอนนี้เหลืออยู่น้อยนิด
“ช่วยขยายความหน่อย เกมเปลี่ยนไปแล้ว” เธอถามผม
“ก็ พวกดาร์กไฮเข้ามาแทรกแซงน่ะ หลังจากที่ส่งพวกนักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับบ้านไม่ถึงสองชั่วโมง พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที เซ็ทริคเป็นคนส่งสัญญาณให้ทุกๆคนรู้ ตอนแรกไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรอก ยกเว้นคนที่เจอกับตัวเอง” ผมบอก
“มูสซัคก้ากับเพลสโต้”
“ตายแล้ว ใช่ มูสซัคก้าเป็นคนบอกให้คริสต์รู้ ส่วนเพลสโต้.. ฉันช่วยเขาไว้ไม่ทันน่ะ”
ผมบอกเสียงเรียบ เพลสโต้ เขาเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่เกรดเจ็ด ถ้าไม่นับไมท์ เขาคือเพื่อนคนแรกของผมที่นี่
“นายทำดีที่สุดแล้วแหละ” เจเนสซ่าบอกผม ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองเธอ เธอยิ้มให้ผม..
“ไปเถอะ” เธอบอกแล้วจับมือผมให้เดินไปด้วยกัน

“นี่มัน..” เธอพูดแล้วปล่อยมือจากผมเดินตรงไปที่ผนัง
“อะไร ” ผมถามแล้วมองไปที่ผนัง มันเป็นอักษรรูนซึ่งผมอ่านไม่ออก
“ไม่จริงน่า”
“อะไร มันก็แค่อักษรรูน”
ผมบอก
“มันไม่ใช่แค่นะ! ฉัน.. ฉันคิดว่านี่คือทางออก หรือไม่ก็ทางเข้าอะไรซักอย่าง” เจเนสซ่าพูดแล้วกัดริมฝีปากของเธอ อย่างที่เธอชอบทำเวลาที่กำลังใช้ความคิด
“ในภูเขายังมีภูเขาอีกมากมาย’ มันหมายความว่าไง” เธอหันหน้ามาถามผม
“อาจจะเป็นสำนวน ว่าแต่ว่า..”
“นั่นไง ฉันพูดถูก!”
เจเนสซ่าพูดแล้วเขย่าแขนผม หินก้อนใหญ่เคลื่อนออกไปเผยให้เห็นถึงผืนป่าสีเขียวขจีอีกครั้ง เจเนสซ่าดึงแขนผมให้วิ่งออกไป เธอกางแขนแล้วเงยหน้าขึ้นท้องฟ้าแล้วยิ้มอย่างมีความสุข เธอหันมาหาผมแล้วยิ้มให้ ก่อนจะหันไปสนใจกับดอกไม้ตรงหน้า ผมทำให้แค่ยิ้มบางๆกลับไป ผมว่าป่าตรงนี้มันแปลกๆ มันไม่ใช่ป่าแบบเดียวกับที่เข้ามาตอนเข้ามาครั้งแรก นี่มันป่าดิบชื้น สังเกตได้จากเฟิร์นและตระใคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามโคนต้นไม้ ผมเริ่มได้รับรู้ถึงอากาศหนาวเย็นเหมือน.. หิมะกำลังจะตก ใช่! ผมน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว

“เจเนสซ่ากลับเข้าอุโมงค์เถอะ เร็วๆ” ผมเดินเข้าไปบอกเธอ
“พูดอะไรของนาย ไม่ล่ะ เราออกมาได้แล้วนะ” เธอบอกผมเสียงขุ่น
“ไม่ นี่มันไม่ใช่ที่ๆเราควรอยู่นะ มานี่” ผมลากเธอให้กลับไปทางปากอุโมงค์ แต่ปรากฏว่าปากอุโมงค์ถูกปิดแล้ว
“วินเทจ..”
“วินท์ วินท์”
เธอเรียกผมซ้ำๆแล้วเขย่าแขนผม ผมละสายตาจากหินก้อนนั้นแล้วหันไปหาเจเนสซ่า แต่เธอไม่ได้มองผมอยู่ ผมมองตามเธอไป
“ว่าแล้วไงล่ะ” ผมพูดแล้วจับมือเธอให้เดินถอยหลัง แต่สายตายังจับจ้องไปที่พายุหิมะที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา
“อะไร” เธอถาม
“มานี่!” ผมดึงตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้แล้วสร้างเกาะไฟขึ้นล้อมรอบตัวเธอกับผมเพื่อให้หิมะที่ตก
ลงมาใส่ละลายไป พายุหิมะเคลื่อนตัวผ่านเราไปอย่างช้าๆ ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป จากไม้ผลัดใบกลายเป็นต้นสน หนองน้ำขนาดเล็กกลายเป็นธารน้ำแข็ง ดอกไม้สวยงามที่เจเนสซ่าชื่นชมมันก่อนหน้านี้กลายเป็นต้นหญ้าเล็กๆปลุกคลุมไปด้วยเกล
็ดน้ำแข็ง นานกว่าพายุหิมะจะหมดไป เหลือเพียงหิมะที่กำลังตกอยู่เพียงเล็กน้อย เจเนสซ่าที่อยู่ในซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดผมกำลังสั่นด้วยความหนาว ถึงแม้จะไม่ได้โดนหิมะตกใส่แต่อากาศข้างนอกตอนนี้มันเกินเยียวยาจริงๆ ตระกูลผมเป็นตระกูลแห่งไฟ ผมเลยมีภูมิต้านทานความหนาวสูง หิมะแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้ แต่ร่างบางที่กำลังสั่นอยู่นี่สิ..

“ไหวไหม” ผมกระซิบถามเธอ
“นะ หนาว” เธอบอก ผมถอดเสื้อแจ็คเก็ตให้เธอใส่ ถึงมันจะใช่ไม่ได้มากแต่มันก็ดีกว่าเชิ้ตบางๆตัวนึง รอบๆตัวเรากลายเป็นทะเลหิมะไปแล้ว ตอนนี้หิมะสูงถึงเข่าและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมพาเจเนสซ่าไปนั่งบนโขดหินสูง เธอนั่งลงแล้วกอดเข่าตัวเอง ผมเดินออกไปสร้างเกาะไฟขึ้นมาอีกรอบและเพิ่มความอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่มากนัก ผมยังไม่ใช่ผู้วิเศษเต็มตัว ผมเดินกลับมาหาร่างบางที่นั่งตัวสั่นงกๆแล้วสวมกอดเธอไว้

“ใจกลางป่า ใช่ไหม” เธอถามเสียงเบาจนดูเหมือนเป็นเสียงกระซิบ
“ใช่ ใจกลางป่า นอนพักเถอะ” ผมบอกเธอ เจเนสซ่าซุกหน้ากับหน้าอกผมแล้วผล็อยหลับไป ผมลูบผมนุ่มๆของเธอแล้วเขี่ยมันออกจากจมูกที่แดงเพราะอากาศหนาวของเธอ เธอดูอ่อนโยนเวลาหลับ

...แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามา ผืนป่าที่ถูกหิมะปกคลุมก่อนหน้านี้ค่อยๆปรากฏสีเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ นกนานาชนิดเริ่มบินออกจากรังแล้วส่งเสียงร้องเหมือนตอนเช้าทั้งๆที่ตอนนี้มันจวนจะค่
ำแล้ว ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาและกระพริบตารัวเพราะแสงอาทิตย์ที่แยงมาจนแสบตาไปหมด ผมหันหน้าหันหลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สมองจะประมวลผลอะไรได้
“เจเนสซ่า!!” ผมดีดตัวลุกขึ้นทันทีแล้วร้องหาเธอ ผมจำได้ว่าก่อนที่จะหลับไป ผมกอดเธออยู่ แต่ตอนนี้ผมกลับตื่นมาในลักษณะที่แผ่นหลังพิงอยู่กับหินก้อนใหญ่
“เจเนสซ่า! เธออยู่ไหน” ผมเดินลัดเลาะไปหลังต้นไม่ใหญ่พร้อมๆกับเรียกชื่อเธอ ไม่มีเสียงตอบรับ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าบางครั้งเธออาจกำลังเจอกับอะไรบางอย่างอยู่ งู? หรือเสือ? หรือสิงโต? หรือจะเป็นพวกดาร์กไฮ? ไม่แน่เธออาจจะกำลังถูกหมีควายป่าตัวใหญ่ขย้ำอยู่ก็ได้ หรือไม่ก็..
“ไง”
“เฮ้ย!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจแต่ก็ต้องโล่งอกเมื่อเห็นเจเนสซ่ายืนอยู่
“ทำอะไรอยู่หรอ” เสียงใสๆ ดวงตากลมโตกับใบหน้าขาวๆที่ยืนยิ้มแป้นถามผมอย่างอารมณ์ดีทำให้สติผมขาดผึง
“ไปไหนมา!” ผมถามเสียงขุ่น
“ไปล้างหน้ามา” เธอตอบเสียงอู้อี้พร้อมยกมือขึ้นเอาผมเหน็บหูแล้วช้อนสายตาขึ้นมามองผมแถมยังทำแก้มป
่องอีก มันทำให้ผมเกือบหลุดขำออกมา แต่แล้วก็ต้องรีบปั้นหน้าดุ
“ไม่เห็นต้องทำหน้าตาแบบนั้นเลย มาเถอะ” เธอบอกแล้วลากผมไปนั่งที่เดิม

“โหย อะไรเนี่ย” เจเนสซ่าพูดพร้อมหยิบขนมปังออกมาจากเป้แล้วทำหน้าตาเสียดาย ขนมปังที่คาดว่าจะอยู่ในสภาพดีก่อนหน้านี้กลายเป็นก้อนแบนแต๊ดแต๋แถมยังมีราสีเขียวๆ
ขึ้นอีก
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่สมกับเป็นคุณหนูทายาทแห่งกระกูลเวสต์เลยแหะ” ผมพูดแล้วหยิบขนมปังจากเป้ออกไปให้เธอ
“ขอบใจ” เธอพูดแล้วฉีกห่อขนมแล้วกัดขนมปังที่อยู่ในห่อ
“แล้วต้องรีบออกไปจากที่นี่ ก่อนสภาพอากาศจะเลวร้ายกว่านี้” ผมบอกแล้วหันไปมองเธอที่เคี้ยวขนมตุ้ยๆเหมือนเด็กเจ็ดแปดขวบ ในที่สุดผมก็ปล่อยก๊ากออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ขำอะไร” เธอขมวดคิ้วถามผมในขณะที่ผมกลั้นหัวเราะท้องแข็ง
“ปะเปล่า” ผมบอกแล้วกระแอ้มเบาๆเพื่อควบคุมไม่ให้หัวเองหัวเราะอีก เจเนสซ่าแยกเขี้ยวใส่ผม
“อะไร” ผมถาม
“เปล่า” เธอบอกหลังจากที่ปิดฝาขวดน้ำที่เหลือเพียงอยู่ครึ่งขวด เธอยื่นมาให้ผม
“ไม่ล่ะ”
“อยากขาดน้ำตายรึไง”
เจเนสซ่าพูดเสียงขุ่น เธอเปิดฝาขวดแล้วยื่นขวดมาจ่อปากผม ผมรับมันมาแล้วดื่มอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย..

..ฉันมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตลก เขากระดกน้ำกรอกปากเหมือนไม่ได้พบเจอกับมันมาหลายปี เขาดื่มมันเร็วมากจนสำลัก
“ช้าๆก็ได้น่า” ฉันบอกแล้วหยิบทิชชู่ซับปากให้เขา
“เราต้องออกไปจากที่นี่” เขาบอก ซึ่งฉันก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉันกับเขาเดินจูงมือกันมาได้ไกลพอสมควร เราเดินลัดเลาะมาตามลำธารเพื่อที่จะได้ไม่ขาดน้ำเวลาหิว เสียงนกฮูก นกเค้าแมวและจักจั่นร้องสับกันไปหมดไม่รู้ว่าเสียงอะไรเป็นเสียงอะไร มันเพิ่มความน่ากลัวให้กับป่าตอนกลางคืน วิซทริควางเป้ลงแล้วกางแขนออกยืดเส้นยืดสายแล้วเริ่มต้นกางเตนท์ เราตกลงว่าจะนอนกันที่นี่ ฉันเดินออกไปสร้างเกาะกำบังจากน้ำเพื่อบังเราจากสัตว์ร้ายหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ไม
่ประสงค์ดี ม่านน้ำถูกประดับประดาไปด้วยตัวโน๊ตเพลงลอยไปลอยมา ฉันมองผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจแล้วเดินกลับมาหาวิซทริค

“เจ๋งนี่” เขามองดูม่านน้ำแล้วเอ่ยชม ฉันยักไหล่แบบขอไปทีแล้วมุดเข้าไปนอนในเตนท์ วิซทริคตามเข้ามา
“มืดแหะ” ฉันพูด วิซทริคมองหน้าฉันแล้วลุกขึ้นไปทำอะไรซักอย่างกับเตนท์ เขารูดซิบให้ผ้าสีน้ำเงินตกลงมาให้ส่วนบนของเตนท์เหลือเพียงพลาสติกใสๆเท่านั้น มันสามารถมองเห็นดาวได้ดี เสียงเพลงจากตัวโน๊ตและเมโลดี้เริ่มคลอเบาๆ ฉันนอนในท่าเอามือหนุนหัวแล้วมองดูดาวที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้ามืดสนิท
“สวยดี” วิซทริคพูด
“อืม สวยดี” ฉันพูดตามเขา
“เราจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่” ฉันถาม
“ไม่นานหรอก ก็แค่..”
“แค่หาตัวอักษร WH ให้เจอ”
ฉันต่อให้
“นอนเถอะ หวังว่าคืนนี้สภาพป่าคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก” เขาพูด
“หวังว่า..” ฉันพูดตามเขาอีกครั้งก่อนจะผล็อยหลับไป

...ฉันตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเตนท์ข้างบนเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง
“วินท์ วินท์” ฉันเขย่าตัวเขา ไม่ตื่น.. เขายังไม่ตื่น
“วินท์!! ตื่น!!” ฉันตะโกนใส่หน้าเขา เงียบ.. ไร้เสียงตอบรับใดๆกลับมา
“โอ๊ย อะไรกันนาสซ์!” เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเสียงหงุดหงิดแล้วลูบหน้าตัวเองปอยๆ ใช่ ฉันพลั้งมือตบหน้าเขาไปเองแหละ
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ นายควรรู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น!” ฉันทำเสียหงุดหงิดใส่เขาไม่แพ้กัน วิซทริคลุกขึ้นมาด้วยความมึนงง ฉันเก็บของใส่เป้ทั้งของเขาและของฉันรวมๆกันแล้วยื่นเป้อีกอันให้เขาแล้วลุกออกจากเต
นท์ไป พระเจ้า ฉันกำลังอยู่ในกองเศษใบไม้ที่กำลังรอคอยผู้ย่อยอินทรีย์สารมาย่อยอยู่ ฉันแหวกกองใบไม้ออกมาแล้วมองไปรอบๆตัว ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ถนนเต็มไปด้วยใบไม้สีส้มที่ร่วงหล่น เพียงแต่.. ฉันคิดว่าภารโรงที่นี่คงขี้เกียจไปหน่อย เนื่องจากใบไม้ที่มันสูงขึ้นถึงเข่าและดูเผลอๆ มันเหมือนลานปุ๋ยหมักหรือลานสำหรับย่อยสลายใบไม้จากทั่วทุกมุมโลก

“โว้ว เจ๋ง สวยดีหนิ โอ๊ย! อะไร?” ฉันกระทุ้งศอกใส่วิซทริคที่ออกมาพร้อมเสียงที่ฟังดูชวนหงุดหงิด เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์เล่นอีก
“รีบไปก่อนที่มันจะท่วมหัวเราตายเถอะวิซทริค!” ฉันพูดแล้วกระแทกเท้าเดินหนีเขา
“เฮ้ๆ ต้องโทษม่านน้ำของเธอต่างหาก เธอไม่รู้รึไงว่ามันอยู่ได้แค่สี่ชั่วโมงน่ะ” เขาบ่น ฉันไม่สนใจเสียงเขาแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ พยายามไม่กินน้ำที่เหลืออยู่เพียงสี่ขวด นับว่าน้อยมากเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้า เราจะโชคดีเจอลำธาร หรือหนองน้ำอีกไหม หลังจากที่เดินอยู่ราวๆชั่วโมง ฉันก็เปลี่ยนให้วิซทริคเดินนำ สภาพป่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นฝนปรอยๆ แต่เราก็ยังคงเดินต่อ สายตามองหาสัญลักษณ์ที่จะได้ออกไปให้พ้นจากป่าเฮงซวยนี่ ฉันหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาเป็นสายน้ำ วิซทริคยื่นน้ำให้ฉัน ฉันรับมันมาดื่มแล้วเดินต่อ

..สิ่งที่ทำให้ฉันรู้ว่าสภาพป่าเปลี่ยนไปอีกครั้งคือการที่เมื่อกี้ฉันเตะหม้อสนามสน
ิมเขรอะ รวมถึงการที่สะดุดเชือกที่ถูกขึงเอาไว้จนหน้าเกือบลงไปจูบกับพื้นดิน เสื้อผ้าลายทหารสีเขียวขี้ม้าที่ตอนนี้ซีดไปแล้ว บางตัวพาดกับต้นไม้ บางตัวจมอยู่ในโคลนสีดำเหม็นหึ่ง ฉันแทบกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นว่าตรงหน้าคือกระดูกและหัวกะโหลกสีขาวของคน เท้าที่ถูกรองรับด้วยรองเท้าผ้าใบชั้นดีก้าวต่อไปเรื่อยๆแต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อเห็น
บางอย่างอยู่ตรงเท้า สลักระเบิด.. แต่มันถูกดึงออกแล้ว ฉันขมวดคิ้วแล้วเริ่มเงยหน้าขึ้นมองรอบๆตัว สนามรบ.. ใช่ หม้อสนาม เชือกขึง เสื้อผ้าลายทหาร กระดูกคน สลักระเบิด นี่ที่จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสนามรบเก่าแก่ แน่นอนว่าต้องมีกับดักหรือระเบิด มันคงถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ถ้ามันยังเหลือล่ะ? ฉันเบิกตากว้างแล้ววิ่งไปหาวิซทริคเพื่อบอกเขา แต่ทว่า..
กึก!
ความเย็นเริ่มแล่นจากรองเท้าขึ้นมาสู่หัวใจ ส่งผลให้หัวใจที่ทำงานอยู่ตอนนี้เริ่มทำงานไม่ปกติ เหงื่อพุดพราวขึ้นบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว แทบไม่ต้องก้มดูไม่อยากร้องไห้ก็รู้ว่าตัวเองกำลังเหยียบอะไรอยู่ วิซทริคหันหน้ามาหาฉันแล้วเลิกคิ้วถามกลายๆว่า ‘หยุดทำไม’ ร่างกายฉันชาเกินกว่าที่จะตอบ เขาเดินมาหาฉัน สมองสั่งการให้บอกเขาให้หยุด แต่น่าเสียใจที่ร่างกายกลับไม่ทำตาม วิซทริคเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆด้วยท่าทางหงุดหงิด

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!!” ฉันตะโกนบอกเขาทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ห่างกันถึงหนึ่งร้อยเมตร อาจเป็นเพราะว่าอะดรีนาลีนในร่างกายฉันสูบฉีดมากเกินไป
กึก!
วิซทริคหยุดชะงัก ฉันแทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อรู้ว่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฉันในตอนนี้ เราสบตากันอยู่นาน ต่างคนต่างเงียบและฟังเสียงหัวใจเขาฉันและเขาที่ดังตีกันไปมาจนแทบจะฟังไม่รู้ว่าของ
ใครเป็นของใคร ฉันเอื้อมมือที่เย็นเฉียบไปจับมือเขาไว้ แล้วก็ได้รู้ว่ามือของเขาก็เย็นไม่แพ้กัน เขาบีบมือฉันแน่นแล้วเอามืออีกข้างล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากเป้ที่สะพายอยู่ที่เพียง
สายเดียว เขายื่นมาให้ฉัน.. รองเท้าสปริง

“ใส่ไว้” เขาบอก แล้วฉันก็ทำตาม ฉันก้มลงใส่รองเท้าข้างที่เท้าไม่ได้เหยียบกับระเบิดโดยที่มืออีกข้างยังไม่ปล่อยมือ
จากเขา ฉันคิดว่าตอนนี้เขาก็คงจะกำลังใส่เหมือนกัน แต่พอฉันลุกขึ้นมาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นเขายืนดูฉันใส่รองเท้าอยู่เฉยๆ
“เธอเห็นโขดหินที่อยู่ตรงนั้นไหม” เขาถามฉันแล้วชี้ไปยังหินที่อยู่ข้างหลัง ฉันหันไปมองแล้วพยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับมาหาเขา เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ
“พอฉันนับหนึ่งถึงสาม..”
“ไม่! ไม่มีทาง!”
ฉันแผดเสียงแสบแก้วหูขึ้นทันทีที่รู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร เขาเริ่มพูดต่อในขณะที่ฉันส่ายหน้าไปมา
“พอฉันนับหนึ่งถึงสาม แล้วฉันจะกดปุ่มให้รองเท้าสปริงทำงาน แล้วมันจะสปริงตัวเธอออกไป ให้เธอเบี่ยงตัวเข้าหาหินนั่นให้ได้มากที่สุด มันจะ..”
“เราต้องไปด้วยกันนะวินท์! ฉันไม่มีวันทิ้งนายๆแน่ แล้วฉันก็จะไม่มีวันอยู่ในป่านี้คนเดียว ฉันกลัว! นายได้ยินไหมว่าฉันกลัว!!”
“แต่เธอไม่มีทางเลือก!!”
เขาตวาดใส่ฉันและบีบมือฉันแรงจนรู้สึกเจ็บ
“แล้วนายล่ะ! นายไม่กลัวตายบ้างรึไง” ฉันขึ้นเสียง
“ไม่ ฉันไม่กลัว”
“แต่ฉันกลัว!!”
“เธอจะกลัวทำบ้าอะไร ในเมื่อคนที่จะตายเป็นฉัน ไม่ใช่เธอ!!”
วิซทริคตวาดใส่ฉันอีกรอบ
“ฉัน.. ฉันกลัว กลัวว่านายจะตาย” ฉันพูดแล้วก้มหน้าร้องไห้ วิซทริคเงียบไป เขาเอื้อมมืออีกข้างมาจับมือฉันไว้
“ฟังนะ ความตายไม่ใช่สิ่งที่พรากคนเราให้ไปจากกัน ฉันยังอยู่กับเธอตลอดไป เจเนสซ่า ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ แล้วกลับไป เธอต้องกลับไป เข้าใจที่พูดไหม” เขาพูดแล้วเช็ดน้ำตาให้ฉัน ฉันพยักหน้า เขายิ้มแล้วปล่อยมือจากฉัน
“พร้อมนะ” เขาพูด ฉันพยักหน้าอีกครั้ง โดยที่สายตาจับจ้องไปที่มือของเขาที่อยู่ข้างลำตัว
“หนึ่ง..” ฉันต้องรีบติดสินใจ
“สอง..” ถ้าฉันดึงเขาไปด้วย โอกาสรอดมีไม่ถึงสี่สิบเปอร์เซ็น แต่.. ฉันอยู่โดยไม่มีเขาไม่ได้ ใช่ เขาพูดถูก ฉันไม่มีทางเลือก!
“สาม!”
ตู้มม!!

: ~Viztric’s Part~ :
“เจเนสซ่า!” ผมเขย่าร่างบางที่นอนหมดสติอยู่ข้างๆ เม็ดเหงื่อที่พุดพราวเต็มใบหน้าขาวซีดเผือดไร้สีเลือด มือที่ซีดไม่แพ้ใบหน้านั้นเย็นเฉียบ ผมช้อนร่างบางขึ้นมากอดไว้
“เจเนสซ่า! เจเนสซ่าตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอ!!” ผมพูดแล้วเขย่าตัวเธอเหมือนคนบ้า ผมไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ ถึงจะใส่รองเท้าอยู่ก็จริงแต่การที่เธอดึงผมมาด้วย มันทำให้เธอรับแรงกระแทกไปเต็มๆ ผมเอากระปุกเลือดยูนิคอร์นออกมา มันยังใช้การได้อยู่ แต่เปล่าประโยชน์ เจเนสซ่าไม่มีบาดแผล ผมรักษาเธอไม่ได้ ได้แต่กอดเธอไว้แล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความน่าสมเพชไหลลงมาเงียบๆ

“เค็มแหะ”
ประสาทหลอน ผมคิดแล้วเพิ่มแรงกอดเธอให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็ด่าทอและสาปแช่งตัวเองอยู่ในใจ
“วินท์ ฉันหายใจไม่ออก”
ผมขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกถึงแรงดันจากภายนอกที่หน้าอก ผมเบิกตากว้างแล้วมองเจเนสซ่าที่อยู่ในอ้อมกอด ตาสีฟ้าใสแป๋วมองผมด้วยสายตาขุ่นขวาง
“นายจะฆ่าฉันจริงๆใช่ไหม” เธอถามผมเสียงขุ่นไม่แพ้กับสายตาที่มองมา ผมยิ้มกว้างแล้วกอดเธอแน่นอีกครั้ง เหมือนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาถูกรดน้ำอีกครั้ง ผมกอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆจนเจเนสซ่าตีแขนผม นั่นแหละ ผมถึงได้คลายกอด
“ทำไมทำแบบนี้ มันอันตราย ไม่รู้หรอ” ผมถามแล้วเอามือเกลี่ยผมของเธออย่างอ่อนโยน เธอยิ้ม
“ก็รอดมาแล้วไง ทำห่วงไปได้” เสียงแหบพร่าของเธอพูดขึ้น ใบหน้าซีดเผือดยังไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนเป็นปกติ
“อย่าทำอีก เข้าใจไหม” ผมบอกเธอพร้อมกับนวดฝ่ามือที่เย็นเฉียบของเธอเบาๆเพื่อให้ความอบอุ่น
“ไม่รับปาก” เจเนสซ่าบอกยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันง่วง วินเทจ นอนได้ไหม” เธอถาม ในตอนแรกผมอยากจะส่ายหน้าเพราะกลัวเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก แต่เธอคงเหนื่อยมาก รวมทั้งผมด้วย
“ได้สิ เธอคงอยากพัก” ผมบอกแล้วก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันทีที่พูดจบ


..ฉันมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับตาอยู่ในขณะนี้แล้วยิ้มออกมา ความเจ็บปวดเริ่มแล่นขึ้นสู่สมองแล้วลงมาตัดขั้วหัวใจ ฉันมองมือซีดๆของตัวเองที่สั่นอยู่ คาดว่าคงไม่ต่างกับหน้าฉันตอนนี้เท่าไหร่นัก เปลือกตาหนักอึ้งแทบจะแบกไม่ไหว แต่ฉันหลับไม่ได้ ฉันปล่อยให้ตัวเองหลับไม่ได้..

…ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดร้าวทั่วร่างกาย ยังอยู่ในท่าเดิม ที่เดิม วิซทริคที่เกยคางไว้บนหัวฉันเหมือนเดิม เขายังไม่ตื่น
“วินเทจ วินเทจ” ฉันปลุกเขา
“ตื่นแล้วหรอ”
“นายไม่ได้หลับ?”
“ให้ถูกคือพึ่งตื่นน่ะ ขยับได้ไหม?”
เขาถาม ฉันไม่ตอบแต่กัดฟันแล้วพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น ไม่ ฉันทำไม่ได้ ความเจ็บปวดจี๊ดขึ้นไปถึงสมอง
“ดื่มนี่หน่อย รสชาติห่วยแตกมาก แต่ความสามารถมันโอเคเลยล่ะ” วิซทริคยื่นขวดใสที่มีน้ำสีม่วงๆอยู่ในนั้นมาให้ ฉันรับมันมาแล้วยกขึ้นดื่ม กลิ่นฉุนเตะจมูกจนรู้สึกแสบ รสชาติขมเลี่ยนบวกฝาดชนิดกลืนไม่ลงทำให้ฉันกำลังจะขยอกมันออกมา แต่วิซทริคกลับรับมันไว้แล้วส่งคืนเข้าไปในปากของฉัน.. ด้วยปากของเขา
..ความรู้สึกทรมานหลังจากกลืนลงไป ปวดร้าวที่กระดูกราวกับยามีฤทธิ์ทำลายแล้วหลอมรวมกระดูกขึ้นมาใหม่ ความชาเกิดขึ้นทั่วร่างกายก่อนจะหายไปแล้วเหลือทิ้งไว้แต่เพียงความทรมาน ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา แต่ดูเหมือนว่าฉันทำมันไม่ได้ดีเท่าไหร่ วิซทริคไม่พูดอะไรแค่จับมือฉันไว้แล้วคอยบีบมันแน่นเวลาฉันเริ่มดิ้นพล่านด้วยความเจ
็บปวด

“เป็นไงบ้าง” เขาถามหลังจากฉันสงบลงแล้ว
“เจ๋งสุดๆ ช่วยบอกที นายได้มันมายังไง” ฉันตอบเขาพร้อมกับลุกขึ้นนั่งได้อย่างสบายราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นแค่ฝัน
“คำถามนั่นควรเป็นของฉันมากกว่า” เขาบอก
“ฉันให้นายตอบคำถามฉัน วินเทจ”
“มันอยู่ในเป้เธอ งั้นคราวนี้ช่วยบอกหน่อย นี่คือน้ำยาปลูกกระดูก เธอได้มันมายังไง”
เขาถาม
“มันคงติดมากับเป้ของเอลล่าล่ะมั้ง” ฉันตอบ
“เอลล่า?”
“เอลลาเนอร์ เอส. ดิแอร์โร่”
ฉันบอก
“สองคนนั้นปลอดภัยดีไหม” เขาถามฉันในขณะที่ลุกขึ้นแล้วหยิบเป้ขึ้นมาสะพาย ฉันลุกขึ้นแล้วหยิบเป้ขึ้นมาเหมือนกัน เราต้องเดินต่อแล้ว
“ก็ดี ซีซ่าร์พากลับไปแล้ว” ฉันบอกแล้วเริ่มเดินไปข้างๆเขา
“ทิศเหนือ สัญลักษณ์จะอยู่ทางทิศเหนือเสมอ เราต้องรู้ทิศ” เขาพูด ฉันหยิบเข็มทิศออกมาแล้วส่ายหน้า
“คงยากหน่อยกับเข็มทิศที่หมุนคว้างแบบนี้” ฉันพูดแล้วยกหน้าปัดเข็มทิศให้เขาดู
“อะไรบ้างล่ะที่ช่วยได้ ดาว ดวงอาทิตย์ ใช่ แต่นี้ตอนกลางวัน แถมดวงอาทิตย์ก็หายไปไหนก็ไม่รู้” วิซทริคพูดพลางเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า
“มานี่เถอะ” ฉันบอกแล้วเดินนำเขา เถาวัลย์ มันจะลอยไปทางทิศตะวันออกเสมอ ฉะนั้นทางซ้ายมีคือทิศเหนือแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าเถาวัลย์ที่ป่าเฮงซวยนี่จะเล่นตลก ไม่มีพายุ ไม่มีหิมะ ไม่มีสนามรบ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเรากำลังจะเจอกับปัญหาใหญ่

..พื้นดินสั่นสะเทือนไปทั่วจนทรงตัวไม่อยู่ ฉันกับวิซทริคเซไปคนละทางถึงแม้ว่าจะพยายามจับมือกันแน่น ไม่เป็นผล ฉันกับเขาถูกแยกออกจากกันเพราะพื้นดินที่เคลื่อนไหวเป็นคลื่นน้ำ ฉันพยายามเรียกหาวิซทริค เช่นเดียวกับเขาที่พยายามส่งเสียงเรียกฉัน เสียงของวิซทริคไกลออกไปเรื่อยๆจนไม่ได้ยิน หินหลายก้อนที่กลิ้งลงมาจากภูเขาเพิ่มความรุนแรงให้การสั่นสะเทือน มีทางเดียวที่จะรอดคือกระโดดลงน้ำ มันอยู่ไม่ไกล แต่พื้นดินที่ไม่มั่นคงทำให้การที่จะไปถึงริมน้ำยากออกไปอีก แต่ไม่เกินความพยายาม ฉันคิดอย่างนั้น หินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาแล้วกลิ้งตามฉันมาติดๆ ฉันวิ่ง และวิ่ง จะกระโจนออกข้างๆก็ไม่ได้ในเมื่อข้างๆก็มีหินกลิ้งตามมาด้วยเหมือนกัน ต้นไม้หลายต้นหักโค่นเพราะถูกหินกระแทก ต้องคอยหลบกิ่งไม้ที่หักเพื่อไม่ให้ทิ่มตาหรือเสียบเข้ากับส่วนอื่นๆของร่างกายและคอ
ยหลบต้นไม้ที่ล้มลงเพื่อไม่ให้โดนทับแล้วโดนหินบดซ้ำอีกรอบจนละเอียด

ฉันตัดสินใจกระโดดลงน้ำแล้วรีบลืมตา โชคดีที่เป็นน้ำจืดจึงทำให้ไม่แสบตาเท่าไหร่ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะกลั้นหายใจได้นานแค่ไหน สายตาสอดส่องดูบนบก ก้อนหินหยุดการเคลื่อนไหวที่ริมน้ำ หินไม่กลิ้งตกลงมาทั้งๆที่มันลาดจนเกือบจะชัน ฉันพุดขึ้นจากน้ำเพื่อดูความผิดปกติที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ทันทีที่ฉันโผล่ขึ้นจากน้ำ หินหลายก้อนก็ตกลงสู่น้ำดังตูม เห็นได้ชัดว่ามันตามฉัน แต่ยังไงล่ะ หินไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด โดนบังคับงั้นหรือ? โดนมนต์? ฉันพยายามไม่คิดต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นในนี้ล้วนเหลือเชื่อทั้งนั้น ฉันว่ายน้ำไปเรื่อยๆแล้วหินที่ฉันว่ายผ่านก็ตกลงน้ำทีละก้อนๆจนหมดอาณาเขตของมัน ฉันลอยคออยู่ราวๆสิบห้านาทีเพื่อดูให้มั่นใจว่าหมดแล้วจริงๆจึงขึ้นมาจากน้ำ โชคดีที่เป้ไม่หลุดลอยหายไปไหน เสื้อผ้าเปียกโชก ถ้าให้เดา ตอนนี้คงเกือบบ่ายแก่ๆแล้ว ดูจากแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้า ฉันถอดกางเกงยีนออกไปตากให้เหลือเพียงเสื้อเชิ้ต มันยาวพอที่จะคลุมบั้นท้ายได้มิด ฉันนั่งฆ่าเวลาโดยการคิดย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้
ามาให้โรงเรียน ฝันแปลกๆ ความหลังที่ดูซับซ้อนและสับสน ภูตและเอลฟ์ที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ตั้งแต่เข้ามาในการประลอง จดหมายจากแฟรงคลินน์ การบุกรุกของดาร์กไฮ ความรักของสองพี่น้องดิแอร์โร่ และความรู้สึกห่วงใยที่มีให้กับวิซทริค ฉันไม่คุ้นเคย แน่นนอนว่าไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เหมือนไอล่า ฉันผูกพันกับเธอ ไม่สิ ไม่ใช่ผูกพัน แต่เป็นอะไรบางอย่างที่กลั้นอยู่ระหว่างเราสองคน เรารู้จักกันมาก่อน ไม่งั้นหลายปีก่อนฉันคงไม่พูดแบบนั้นออกมาในห้องอาหาร ฉันสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วกลับสู่ปัจจุบัน สิ่งที่ฉันต้องทำในตอนนี้คือตามหาวิซทริคให้เจอแล้วกลับไปพร้อมกัน ทุกอย่างเหมือนเริ่มต้นใหม่ เริ่มตั้งแต่ตอนที่ฉันได้รับจดหมายจากแฟรงคลินน์..

..ฉันเดินไปเอากางเกงยีนที่ตากจนแห้งแล้วมาสวม จากนั้นจึงถอดเสื้อเชิ้ตออกให้เหลือเพียงเสื้อกล้าม คราบดินที่เขรอะจากการที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำทำให้ฉันต้องเอาเสื้อที่เกือบจะแห
้งไปลงน้ำอีกครั้ง ภูตน้ำตัวเล็กๆสองสามตนว่ายเข้ามาแล้วมองฉันด้วยสายตาขุ่นขวาง ฉันทำให้บ้านของพวกเธอสกปรกซะแล้ว ฉันยิ้มแหยๆไปให้ ภูตน้ำตนที่สี่ว่ายเข้ามาแล้วพูดอะไรบางอย่างกับตนอื่นๆ ฉันเห็นพวกเธอยักไหล่แล้วเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่ฉันก่อนจะว่ายน้ำหายไป เท้าเปล่าเปลือยเดินเหยียบผืนดินนุ่มๆกลับมานั่งที่เดิม รองเท้าฉันหลุดไปตอนที่กระโดดลงน้ำ ฉันนั่งอยู่เฉยๆได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเดินออกไปสำรวจรอบๆ ไกลออกไปเป็นต้นแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลสีแดงสดหลายลูกห้อยอยู่ ท้องร้องออกมาด้วยความหิว ฉันไม่รอช้า รีบตรงดิ่งเข้าไปแล้วพยายามกระโดดเพื่อจะเด็ดมันมา

“เจ้าจะทำอะไร!” เสียงใสแหลมเล็กมาพร้อมกับผู้หญิงตัวเล็กๆที่โผล่ออกมาจากลำต้นของต้นแอปเปิ้ล เธอมีออร่าสีเขียวสว่างรอบตัว
"ฉัน ฉันแค่จะหยิบมัน“ ฉันตอบ
“แต่มันไม่ใช่ของเจ้า!!” เธอพุ่งเข้าหาฉันแล้วตวาดเสียงดังลั่น
“ฉันหิว ได้โปรดเถอะ” ฉันอ้อนวอน
“ไปซะ เจ้าคนอดยาก ข้าไม่ยากเห็นเจ้าให้เป็นราคีแก่สายตาข้า”
“เธอไม่ควรพูดแบบนั้นนะ พีฟส์”
“ไอล่า!”
ฉันอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นบุคคลที่สามเดินเข้ามา เธอปรายตามองฉันก่อนจะหันไปพูดกับภูตไม้ตนนั้น
“นี่คือ เจเนสซ่า นาสซ์ตี้ เวสต์ ทายาทสายตรงของตระกูลเวสต์ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ทำแบบนี้ ใช่ไหมพีฟส์?” ไอล่าเลิกคิ้วถาม
“ว่าไงนะ!” พีฟส์โพล่งออกมาด้วยความตกใจ เธอมองหน้าฉันด้วยสายตาหวาดหวั่นปนเหลือเชื่อ
“อย่างที่บอก” ไอล่าพูดแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับหันหน้าขึ้นฟ้าชมนกชมไม้
“จริงๆหรอ” พีฟส์ถามฉัน ฉันพยักหน้าช้าๆเพราะยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พีฟส์ลอยเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยเธอมองหน้าฉันราวกับจะเก็บรายละเอียดให้หมดไม่ให้ตกหล่น จนกระทั่งสายตาของเธอเห็นสร้อยคอของฉัน พีฟส์เบิกตากว้าง ถอยออกห่างพร้อมก้มหน้าแล้วพรั่งพรูคำขอโทษออกมา

“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน” ฉันขัดจังหวะพีฟส์ที่กำลังพูดคำขอโทษซ้ำๆ
“ข้าขอโทษ ข้า.. ข้าควรถูกลงโทษ ข้าไม่ควรออกมาเจอหน้าใครๆอีก” พีฟส์พูดทั้งน้ำตาสีเขียวๆที่มีประกายระยิบระยิบของเธอไหลลงมาอาบแก้ม เธอทำให้ฉันนึกถึงโรบิน.. พีฟส์หันหลังแล้วลอยกลับไปที่ลำต้นของต้นแอปเปิ้ล ออร่าที่เปล่งแสงก่อนหน้านี้เริ่มจางลง แต่ก่อนที่เธอจะเข้าไป ฉันเรียกเธอไว้ก่อน
“พีฟส์” ฉันเรียก เธอหันหน้ามาแล้วมองฉันด้วยสายตามีคำถาม
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรหรอก” ฉันยิ้มให้เธอ แต่เธอส่ายหน้า
“ไม่ ข้าทำผิด ได้โปรด ท่านอย่าทำให้ข้าดูเหมือนมีอภิสิทธิ์” พีฟส์พูด แล้วน้ำตาเธอก็ไหลลงมาอีกครั้ง
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง หรือเธอกล้าขัด?” ฉันพูดเสียงเข้ม
“มิได้ ข้ามิกล้า นายหญิง”
“นายหญิง?”
ฉันหันไปหาไอล่าที่ยืนฮัมเพลงอยู่ เธอหันมามองฉัน
“เธอเป็นทายาทของตระกูลแห่งดนตรีและเสียงเพลง แหงสิ ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดด้วย” ไอล่าพูด ความกระจ่างชัดเกิดขึ้นในใจฉันทันที
“ดี ฟังนะพีฟส์ ฉันบอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร ถ้าเธอยังดึงดันอยู่แบบนี้ล่ะก็..” ฉันลากเสียง พีฟส์ก้มหน้านิ่ง ฉันเงียบแล้วอมยิ้ม จนพีฟส์เงยหน้าขึ้นมามอง เธอยิ้มกว้างซึ่งนั่นทำให้ฉันยิ้มตาม เธอเข้ามาจุมพิตที่จมูกฉันก่อนจะหายตัวเข้าไปในต้นแอปเปิ้ลอย่ารวดเร็ว พร้อมกับแอปเปิ้ลสามสี่ลูกที่อยู่ในมือฉัน
“ขอบใจ” ฉันร้องบอกเธอ กิ่งไม้สั่นไปมาเป็นสัญญาณบอกว่าพีฟส์รับรู้แล้ว ฉันหันไปมองไอล่าที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าเป็นกอดอกยืนพิงกับต้นไม้แล้วมองดูฉัน
“มาเถอะ” ฉันบอกแล้วเดินนำไอล่ามาจนถึงโขดหินที่ฉันนั่งพัก ฉันเดินไปเอาเสื้อที่ตากอยู่มาใส่

“อะไรทำให้เธอดูแย่ขนาดนี้” ไอล่าเริ่ม ฉันเลี่ยง จึงยักไหล่แทนคำตอบ
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ฉันเริ่มเข้าประเด็น
“ตามหาพวกเธอ” ไอล่าบอก ซึ่งแน่นอนว่าพวกเธอที่ว่า หมายถึงฉันกับวิซทริค
“เธอแค่คนเดียว?”
“ฉัน เอเร็ค ซีซ่าร์แล้วก็แม็กซ์ ความจริง รุ่นพี่เชสต์กับคริสต์จะมาด้วยแต่ฉันห้ามไว้ก่อน ถ้าพวกเขามา สภาพโรงเรียนจะเป็นแบบไหน ฉันเองก็ยังนึกสภาพไม่ออก”
ไอล่าบอก
“แล้วคนอื่นๆ..”
“เราคลาดกัน ตั้งแต่ตอนป่าหมุนเปลี่ยนทิศทางที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้นั่นแหละ”
เธอพูด
“อะไรนะ? เปลี่ยนทิศทาง เมื่อไหร่” ฉันถาม
“ประมาณสี่สิบนาทีก่อน เธอไม่โดนหรอ?” เธอถาม ฉันส่ายหน้า
“ประมาณสี่สิบนาทีก่อนฉันยังวิ่งหนีหินยักษ์อยู่เลย” ไอล่ายักไหล่กับคำตอบของฉันก่อนจะเดินออกไปดูรอบๆ เธอเดินเข้ามาที่ฉันและถามเหมือนพึ่งนึกได้
“วินเทจล่ะ”
“ฉัน ฉันคลาดกับเขา”
ฉันบอก
“ยัยงั่งเอ๊ย!”
“ว่าไงนะ”
ฉันสวนกลับทันที
“หูหนวกใช้ได้นี่” ไอล่าบอกพร้อมกับหน้ายียวน มันเป็นชนวนระเบิดได้ดีทีเดียว
“เกินไปแล้วนะยัยหุ่นลูกตุ้มนาฬิกา!” ฉันลุกขึ้นจ้องหน้าเธอ
“จะทำอะไร? เอาซี้! ยัยหน้าฟลุตทาเร่!!”

สิ้นเสียงไอล่า ฉันก็ดีดนิ้วดังเปาะ ส่งผลให้น้ำที่อยู่ข้างหลังก่อตัวเป็นลูกคลื่นที่พร้อมจะโถมเข้าใส่เธอ ไอล่าสะบัดประกายสีม่วงใส่คลื่นน้ำที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าไปหาเธอ ทำให้มันหยุดอยู่ตรงหัวฉันพอดี ไอล่าแสยะยิ้มแล้วดีดนิ้ว น้ำข้างบนตกลงมาใส่แต่ยังไม่ถึงตัวฉันก็กระเด็นออกไปก่อนเพราะเกราะที่ฉันสร้างขึ้นท
ัน เธอสบถเบาๆแล้วหลบหลังต้นไม้เพื่อไม่ให้ตัวเองเปียก ไอล่าสั่นกระดิ่งที่อยู่ในหน้าปัดนาฬิกาส่งผลทำให้กิ่งไม้และเถาวัลย์เริ่มสั่นไหวไป
มารุนแรงเหมือนที่ฉันทำกับพวกดาร์กไฮสามคนนั่น ฉันไม่รอช้าเอาฟลุตขึ้นมาเป่า เถาวัลย์เอนไปมาไร้ทิศทางเหมือนไม่รู้จะไปทางไหนดีเนื่องจากเวทย์มนต์ของฉันกับไอล่า
ที่ตีกันอยู่ตอนนี้ ไอล่าสั่นกระดิ่งแรงขึ้นในขณะที่ฉันก็เป่าเร่งจังหวะขึ้นเช่นกัน เถาวัลย์ถูกบีบรัดด้วยเวทย์มนต์จนแตกแล้วหักลงมา ฟลุตของฉันปลิวตกน้ำแล้วถูกน้ำเชี่ยวกรากพัดไปเช่นเดียวกับนาฬิกาของไอล่าตกกระทบหิน ฉันได้ยินเสียงกระจกแตก คาดว่าคงจะมาจากกระจกที่หน้าปัดนาฬิกาของเธอ ไอล่ามองนาฬิกาของเธอที่แตกละเอียดแล้วหันขวับมาหา เธอพุ่งเข้าใส่ฉันทันที เธอดันฉันลงกับพื้นดินพร้อมกับคร่อมฉันไว้ข้างบนดวงตาสีม่วงเข้มขึ้นเรื่อยๆ ไอล่าหยิบกิ่งไม้แหลมจ่อที่คอฉัน

“หยุดนะ พวกท่านจะฆ่ากันให้ตายเลยรึยังไง” ฉันได้ยินเสียงพีฟส์พูดขึ้น แต่เปล่าประโยชน์ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ภาพของฟลุตที่ถูกน้ำพัดพาไปพุดขึ้นมาให้หัว ความโกรธพุ่งพล่านขึ้นมา ฉันใช้โอกาสที่ไอล่าเผลอแอบสอดไม้แหลมเข้ามาจ่อที่หน้าทองเธอเหมือนกัน ฉันสแหยะยิ้ม
“ฉันจะฆ่าเธอตอนนี้ถ้าทำได้” ไอล่าพูดขึ้น
“ฉันก็จะทำเหมือนกัน โดยไม่ลังเลด้วย” ฉันพูดบ้าง ไอล่ากัดฟันแล้วโยนไม้ทิ้งไป แต่เอามือบีบคือฉันแทน สองมือฉันพยายามดึงมือของไอล่าออก เราตะคอกคำหยาบใส่หน้ากันท่ามกลางเสียงห้ามปรามของพีฟส์ ไอล่าเอาแขนกดคอฉันไว้แล้วเอาอีกมือหนึ่งกระชากเสื้อฉันให้ขาด ฉันใช้มือสองข้างตะปบใบหน้าของเธอแล้วจิก ข่วน ผลัก หรือดึงผม เราผลัดกันขึ้นไปอยู่ข้างบนของอีกฝ่าย ทำร้ายกันและกัน ด่าทอ กรีดร้อง ระบายความอึดอัดที่อยู่ในอก ความรู้สึกกดดันที่ได้เจอมาตลอดชีวิต ตะโกน ตะคอกใส่กันจนเหนื่อย ใบหน้าและร่างกายของเราเยินไม่แพ้กัน เสียงร้องไห้ของพีฟส์ยังคงอยู่แม้ว่าเราทั้งสองจะนอนหมดแรงอยู่ข้างๆกันแล้วก็ตาม

“ไง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม” ไอล่าถาม
“สุดๆ นี่มันเจ๋ง ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ขอบใจ” ฉันตอบ ไอล่าหัวเราะเบาๆ
“แล้วเธอล่ะ” ฉันถาม
“โล่ง ฉันควรใช้คำนั้น เธอก็ด้วย ใช่ไหม?”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่ารักเธอกว่าใครเลยล่ะ ไอล่า”
ฉันตอบ แล้วเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาท่ามกลางป่าและท้องฟ้ามืดที่เงียบสงบ





HELLA | DIMITRIZ | SINESTREA | CORDELIA | MORTON
ISABEL | AVALICE | NELLARYS | MEREDITH | SHERITA | ARMELIQ
ELWYNN | SULLIVAN | KATHERINE | ROMEO

แด่พวกเราผู้ไม่เคย วาดตน เฉกเช่นคนธรรมดา
WITH FATE AND SIN, WE ARE CHAINED TOGETHER FOR ETERNITY

Go to the top of the page
+Quote Post

Closed TopicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 27th May 2024 - 08:30 AM