IPB

ยินดีต้อนรับ ( เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก )


 
Reply to this topicStart new topic
> ลอร์ดโวลเดอมอร์
Albus Dumbledore
โพสต์ Jul 23 2011, 01:55 PM
โพสต์ #1


อาจารย์ใหญ่

******




กลุ่ม : อาจารย์ใหญ่
โพสต์ : 1,594
เข้าร่วม : 9-August 08
จาก : ฮอกวอตส์
หมายเลขสมาชิก : 1
สายเลือด : เลือดผสม
เหรียญตรา


หีบสัมภาระ

ไม้กายสิทธิ์
ไม้: เอลเดอร์ | ยาว: 15"
แกนกลาง: ขนหางเธสตรอล
ความยืดหยุ่น: แข็ง

สัตว์เลี้ยง








ลอร์ดโวลเดอมอร์ (Lord Voldemort)



ชื่อ - นามสกุลเดิม : ทอม มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล (Tom Marvolo Riddle)
ชื่อ - นามสกุลปัจจุบัน : ลอร์ดโวลเดอมอร์ (Lord Voldemort)
วัน เดือน ปีเกิด : เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1926
วัน เดือน ปีที่เสียชีวิต : เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 71 ปี ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 ที่สงครามฮอกวอตส์
ลักษณะทางกายภาพ ของ ทอม ริดเดิ้ล : พ่อมดที่มีใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูง ผมดำ ผิวขาวซีด ดวงตาสีดำสนิท
ลักษณะทางกายภาพ ของ โวลเดอมอร์ : พ่อมดร่างสูง สวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวสีดำ ใบหน้าขาวซีดเหมือนหัวกะโหลก รูจมูกเป็นเส้นขีดเหมือนงู ดวงตาสีแดงสด
สถานะทางเลือด : เลือดผสม (Half-blood)
ไม้กายสิทธิ์ : ไม้ยิว ยาว 13 นิ้วครึ่ง แกนกลางขนนกฟีนิกซ์
บ้านในฮอกวอตส์ : สลิธีริน
บ็อกการ์ด : ศพของตัวเขาเอง
อาชีพ : ผู้ช่วยที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์


ทอม มาโวโล่ ริดเดิ้ล (Tom Marvolo Riddle) หรือ ลอร์ดโวลเดอมอร์ (Lord Voldemort) บุตรชายเพียงคนเดียวของเมโรเพ ก๊อนท์ หนึ่งในกลุ่มสุดท้ายของตระกูลก๊อนท์ ตระกูลพ่อมดที่เก่าแก่และร่ำรวยมากในโลกผู้วิเศษ พวกเขามีชื่อเสียงว่านิสัยไม่แน่นอนและรุนแรงมาหลายต่อหลายรุ่น เนื่องจากพวกเขามักจะแต่งงานกันเองในหมู่ลูกพี่ลูกน้อง พวกเขาจึงขาดความเฉลียวฉลาด รวมทั้งยังมีนิสัยชอบอวดใหญ่อวดโต ซึ่งการที่พวกเขาแต่งงานกันเองนี้ จึงหมายความว่า สมบัติของตระกูลถูกใช้สุรุ่ยสุร่ายมาหลายชั่วคนก่อนที่เมโรเพเกิด ทำให้พวกเขามีชีวิตอย่างซอมซ่อยากจน อารมณ์ร้าย และเย่อหยิ่งหลงตัวอย่างน่าขนลุก นอกจากนี้แม่ของเขายังสืบเชื้อสายตรงมาจากซัลลาซาร์ สลิธีริน

เมโรเพ ก๊อนท์ได้ตกหลุมรักทอม ริดเดิ้ล มักเกิ้ลรูปหล่อและมีฐานะร่ำรวย ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน บ้านของริดเดิ้ลนั้นตั้งอยู่ใกล้กันกับกระท่อมของตระกูลก๊อนท์ และเขาก็เคยขี่ม้าผ่านกระท่อมของครอบครัวก๊อนท์หลายต่อหลายครั้ง ด้วยความที่เมโรเพคลั่งไคล้ริดเดิ้ลมาก เธอจึงใช้ยาเสน่ห์กับเขา ในวันใดวันหนึ่งที่อากาศร้อนมาก ระหว่างที่เขาขี่ม้ามาคนเดียว และยาเสน่ห์นี้เองที่ทำให้ริดเดิ้ลลืมเพื่อนสาวมักเกิ้ลของเขา และตกหลุมรักเธอแทน ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เหตุการณ์นี้ก็ได้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวมโหฬาร เป็นที่พูดกันให้สนุกปาก เมื่อลูกชายเศรษฐีเจ้าของที่ดินหนีไปกับเมโรเพลูกสาวคนจรจัด แต่ทว่า ภายหลังจากนั้นเพียงสองสามเดือนต่อมา ทอม ริดเดิ้ล ก็ได้กลับมายังคฤหาสน์ที่ลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน โดยปราศจากภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ แม้ว่าเมโรเพจะใช้ยาเสน่ห์กับทอมและทั้งคู่ก็ได้หนีตามกันไป แต่ด้วยความที่เธอรักสามีของเธอมาก เธอจึงทนไม่ได้ที่ยังต้องใช้เวทมนตร์เป็นเครื่องพันธนาการเขาอยู่ เธอจึงตัดสินใจเลือกที่จะหยุดใช้ยาเสน่ห์กับเขา บางที เพราะเธอรักเขามากก็เลยหลอกตัวเองว่า เขาคงจะรักตอบเธอแล้วเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานถึงขนาดนี้ และบางทีเธอก็อาจคิดว่าเขาคงจะอยู่กับเธอต่อไป เพราะเห็นแก่ลูกของพวกเขา แต่ทว่า เธอกลับคิดผิดทั้งสองเรื่อง ทอม ริดเดิ้ล ทิ้งเธอไปและไม่เคยกลับมาเจอเธออีกเลย และไม่เคยเดือดร้อนที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรกับลูกชายของเขา

ต่อมาในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เมโรเพนั้นได้เดินโซซัดโซเซมาที่บันไดหน้าโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ในประเทศอังกฤษ เธอได้รับความช่วยเหลือและได้รับการคลอดจากคนในสถานเด็กกำพร้า ซึ่งต่อมาอีกชั่วโมงต่อมาเธอก็ได้เสียชีวิตลง ก่อนที่เมโรเพจะสิ้นใจ เธอก็ได้พึมพำออกมากับมิสซิสโคล หนึ่งในผู้ช่วยทำคลอดครั้งนั้นว่า 'ฉันหวังว่าเขาจะหน้าเหมือนพ่อของเขานะ' ซึ่งความปรารถนาสุดท้ายของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะใบหน้าของทอม ริดเดิ้ลนั้น ดูหล่อเหลาราวกับถูกย่อส่วนมาจากพ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากนี้เมเรโพยังตั้งชื่อให้เขาว่า ทอม ตามชื่อพ่อของเขา ตามด้วยชื่อกลางอย่าง มาร์โวโล่ ซึ่งมาจากชื่อพ่อของเธอเอง ส่วนนามสกุลของเด็กชายนั้นก็คือ ริดเดิ้ล

เด็กชายทอม มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอันเก่าและซอมซ่อ โดยไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่ผู้ดูแลในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ทราบถึงภูมิหลังของเมโรเพ เลยทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทอมนั้นเป็นใคร และมีความสามารถพิเศษอย่างไรกันแน่ พวกเขาจึงทึกกักกันเองว่าแม่ของเขานั้นอาจจะมาจากคณะละครสัตว์ และแม้ว่าทอมนั้นจะไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับแม่ของเขาเลย แต่ทว่า เขากลับเข้าใจความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี ว่าเขาไม่เหมือนเด็กคนอื่น และ เขาเป็นคนพิเศษ แม้ว่าทอมจะยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรก็ตาม เขาสามารถทำให้ของเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องสัมผัส และ สามารถทำให้พวกสัตว์ทำตามคำสั่งได้ โดยไม่ต้องฝึกหัดพวกมัน นอกจากนี้ถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้ ไม่เพียงเท่านี้ เนื่องจากทอมเป็นลูกชายของเมโรเพ ก๊อนท์ ทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ทำให้เขาสามารถพูดคุยกับงูได้ หรือเรียกได้ว่าเขานั้นเป็นพาร์เซลเมาท์ ทอมรู้ตัวเองเมื่อตอนที่เขาไปเที่ยวในชนบท และงูได้เข้ามาหาและกระซิบกับเขา นอกจากนี้ทอมยังเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในทุก ๆ ปี โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าจะพาเด็ก ๆ ออกไปเที่ยวเล่นกันปีละครั้ง ในหน้าร้อนครั้งหนึ่ง ขณะที่พวกเขาไปเที่ยวเล่นกันเอมมี่ เบนสัน กับเดนนิส บิชอป ก็ได้เข้าไปในถ้ำกับทอม ริดเดิ้ล แต่ทว่ากลับเกิดเรื่องประหลาดบางอย่างขึ้น ซึ่งทอมก็ได้สาบานว่าพวกเขาแค่ไปเที่ยวสำรวจในถ้ำเท่านั้น แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ทอมกับบิลลี่เถียงกันก่อนหน้าเกิดเรื่องหนึ่งวัน แล้วจากนั้นกระต่ายของบิลลี่ สตับส์ ก็ถูกพบว่ามันแขวนคอตัวเองอยู่กับขื่อ ซึ่งทอมก็บอกกับผู้ดูแลว่าเขาไม่ได้ทำอะไร

ทอมนั้นมักจะแอบขโมยของใช้ในชีวิตประจำวันของคนอื่น ๆ ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเก็บไว้ในกล่องที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเสมอ อย่างเช่น ลูกดิ่ง, ปลอกสวมนิ้วเวลาเย็บผ้า และหีบเพลงปากหมอง ๆ อย่างไรก็ตาม งานอดิเรกนี้ของทอมก็ถูกห้ามปราม หลังจากที่เขาได้พบกับ อาจารย์สอนวิชาแปลงร่าง อย่างอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เมื่อทอมอายุครบสิบเอ็ดปี อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ได้เขียนจดหมายขอนัดพบกับ มิสซิสโคล เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ทอมอาศัยอยู่ ดัมเบิลดอร์นั้นมาที่นี่เพื่อจัดการเกี่ยวกับอนาคตของเขา อัลบัสแนะนำตัวว่าเขาเป็นครูและเขามาที่นี่เพื่อมาบอกกับทอมว่า เขามีสิทธิ์เข้าเรียนที่โรงเรียนฮอกวอตส์ เนื่องจากทอมนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่โรงเรียนกำลังตามหาอยู่ โดยที่ทอมนั้นมีชื่ออยู่ในโรงเรียนตั้งแต่เกิด หลังจากนั้นดัมเบิลดอร์ก็ได้พบกับ ทอม ริดเดิ้ล เป็นครั้งแรกที่ห้องพักของเขา ในตอนแรกที่พบกันทอมเชื่อว่าดัมเบิลดอร์นั้น เป็นนายแพทย์จากโรงพยาบาลบ้าที่โรงเลี้ยงเด็กส่งมาให้ตรวจดูเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วทอมก็เชื่อสิ่งที่ดัมเบิลดอร์พูด หลังจากที่ดัมเบิลดอร์แสดงเวทมนตร์ออกมาให้เด็กชายเห็น โดยการที่ดัมเบิลดอร์ชักไม้กายสิทธิ์ของเขา ออกมาจากข้างในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนจะชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าเก่าโทรมตรงมุมห้อง และกระดกไม้กายสิทธิ์ขึ้น หลังจากนั้นตู้เสื้อผ้าก็ลุกเป็นไฟ เพียงไม่นานนักเปลวไฟก็หายวับไป โดยที่ตู้เสื้อผ้าไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่นิดเดียว

สุดท้ายทอมจึงตอบรับเข้าเรียนที่โรงเรียนฮอกวอตส์ ทอมได้รับกองทุนสำหรับใช้ในการซื้อตำราเรียนและเสื้อคลุมที่ตรอกไดแอกอน แม้ว่าดัมเบิลดอร์จะยื่นตัวเข้าไปช่วยเหลือทอมในการซื้อของ แต่ทว่าเด็กชายกลับปฏิเสธ โดยทอมบอกกับอาจารย์ของเขาว่า เขาไม่ต้องการดัมเบิลดอร์ และเขาก็เคยชินกับการทำอะไรให้ตัวเอง ดัมเบิลดอร์จึงยื่นซองจดหมายที่มีรายการของต่าง ๆ ให้ริดเดิ้ล และหลังจากบอกวิธีการเดินทางจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ไปยังร้านหม้อใหญ่รั่วอย่างชัดเจน

ทอมได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนฮอกวอตส์ในปี ค.ศ. 1938 และจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1945 ทอมได้รับการคัดสรรให้ไปอยู่ในบ้านสลิธีริน เช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษของเขาที่เป็นผู้ก่อตั้งบ้านหลังนี้อย่าง ซัลลาซาร์ สลิธีริน และในทุกปิดเทอมหน้าร้อน ทอมก็ต้องถูกส่งกลับมาพักอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานที่ที่เขาแสนรังเกียจและหวาดกลัวมากกว่าสถานที่อื่นในโลกตามเดิม โดย ทอมได้อธิบายว่าเขาถูกมองว่าเป็นคนที่ ยากจนแต่ฉลาดเป็นเยี่ยม ถึงเป็นกำพร้าแต่ก็กล้าหาญเหลือเกิน เป็นถึงพรีเฟ็คของโรงเรียน เป็นนักเรียนตัวอย่าง และด้วยการที่ทอมแสดงพรสวรรค์และทักษะอันโดดเด่นออกมา ทำให้เขากลายเป็นนักเรียนคนโปรดของอาจารย์ทุกท่าน ยกเว้นเพียงชายที่ชื่อ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ หลังจากวันที่ดัมเบิลดอร์ได้พบและพูดคุยกับทอมในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ดัมเบิลดอร์ก็รู้สึกไม่สบายใจกับสัญชาตญาณที่เด่นชัดเรื่องความโหดร้าย การชอบปกปิด และความต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่นของทอม ดังนั้นดัมเบิลดอร์จึงตั้งใจคอยจับตาดูทอมตลอดเวลาที่เขาอยู่ในฮอกวอตส์ ในทางกลับกัน ทอมก็รับรู้ได้ว่าเขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยดัมเบิลดอร์

เขารู้ตัวว่าเมื่อตอนที่เขาตื่นเต้นกับการค้นพบความจริงเกี่ยวกับตัวเอง เขาได้บอกและแสดงนิสัยที่แท้จริงของเขา ให้ดัมเบิลดอร์รู้มากเกินไป เขาจึงระมัดระวังที่จะไม่เปิดเผยอะไรอีก แต่เขาก็ไม่อาจหวนคืนสิ่งที่เขาเผลอพูดออกมาในยามที่เขาตื่นเต้นได้ หลังจากนั้นมา ทอมก็ระมัดระวังมากเมื่ออยู่ต่อหน้าดัมเบิลดอร์เสมอ และเขาเองก็ฉลาดมากพอที่ไม่เคยพยายามโปรยเสน่ห์ใส่ดัมเบิลดอร์เลย ไม่เหมือนที่เขาทำกับเพื่อนร่วมงานหลายคนของดัมเบิลดอร์ และภายหลังดัมเบิลดอร์ก็กลายเป็นบุคคลที่เขาหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าด้วย

ในช่วงเวลาว่างที่ฮอกวอตส์ ทอมมักอยู่รวมตัวอยู่กับกลุ่มกับสมาชิกในบ้านสลิธีริน พวกเขารวมกลุ่มมาจากคนนานาประเภท ผสมผสานระหว่างคนอ่อนแอที่แสวงหาความคุ้มครอง คนทะเยอทะยานที่แสวงหาชื่อเสียง และพวกอันธพาลที่เอนเอียงไปหาผู้นำที่จะแสดงให้เห็นความอำมหิตมากขึ้นได้ หรือก็คือคนกลุ่มนี้นั้นคือใบเบิกทางในการก่อตั้งกลุ่มผู้เสพความตาย ภายหลังบางคนในกลุ่มนี้ก็ได้ผันตัวเป็นผู้เสพความตายรุ่นแรก หลังจากที่พวกเขาจบการศึกษาจากฮอกวอตส์ อย่างไรก็ตาม ริดเดิ้ลนั้นไม่ได้รู้สึกรักใคร่พวกพ้องของเขาเลยแม้แต่น้อย ทอมพยายามควบคุมพวกเขาอย่างเข้มงวด และหลอกใช้ให้พวกเขากระทำความผิดตามคำสั่งของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตลอดเวลาเจ็ดปีที่ฮอกวอตส์ของพวกเขา จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นอยู่ตลอดก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เคยถูกจับได้เลยสักครั้งเดียว

เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดที่ทอมได้กระทำระหว่างที่เขาเรียนอยู่ในฮอกวอตส์ ก็คือการเปิดห้องแห่งความลับ ซึ่งเป็นผลทำให้ เมอร์เทิล เอลิซาเบธ วอร์เรน หรือ เมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ เด็กหญิงคนหนึ่งที่เกิดจากมักเกิ้ล บ้านเรเวนคลอคนหนึ่งถึงแก่ความตาย และ รูเบอัส แฮกริด กับสัตว์เลี้ยงของเขาอย่าง อาราก็อก ก็ได้รับผลพวงข้อกล่าวหาในอาชญากรรมครั้งนั้น หลังจากที่ทอมได้เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ เขานั้นใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องของพ่อแม่ของเขามาก เนื่องจากเขาเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้า ทอมเริ่มจากการค้นหาร่องรอยเกี่ยวกับ ทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์ ตามโล่ในห้องรางวัล ตามรายชื่อพรีเฟ็คจากบันทึกข้อมูลเก่าของโรงเรียน แม้กระทั่งในหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผู้วิเศษ แต่ทว่ามันไร้ผล ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่าพ่อของเขานั้น ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาที่ฮอกวอตส์มาก่อน ซึ่งนับจากวินาทีที่เขาได้รู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่พ่อมด เขาก็ได้สลัดชื่อ ทอม ริดเดิ้ล นั้นทิ้งไปตลอดกาล แล้วเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ลอร์ดโวลเดอมอร์ หลังจากนั้นเอง เขาก็ได้เริ่มต้นสืบค้นประวัติฝ่ายแม่ของเขา ผู้ที่เขานั้นเคยรังเกียจเดียดฉันท์มาตลอด เนื่องจากเขาคิดว่าแม่ของเขานั้นไม่ใช่แม่มด เพราะเธอได้ยอมแพ้ต่อความตาย ซึ่งเป็นคนอ่อนแอที่น่าอับอายของมนุษย์ สิ่งเดียวที่เขามีอยู่นั่นก็คือชื่อ มาร์โวโล่ ซึ่งเขารู้จากผู้ดูแลโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าเป็นชื่อตาของเขา ในที่สุด หลังจากที่เขาได้ค้นคว้าจากหนังสือเกี่ยวกับตระกูลเก่าแก่ เขาก็พบเชื้อสายของสลิธีรินที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในตอนนั้น ทอมมีอายุได้สิบหกปี เขาได้ออกจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาต้องเดินทางกลับไปทุกปี และเดินทางไปหาญาติตระกูลก๊อนท์ของเขาแทน

ต่อมาในช่วงหน้าร้อนปี ค.ศ. 1943 ทอมเดินทางไปยังหมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่ของเขาเพิ่มเติม เมื่อมาถึงทอมได้เห็นเพียงสภาพบ้านที่เก่าและสกปรก และ ลุงของเขาอย่าง มอร์ฟิน ก๊อนท์ ซึ่งมอร์ฟินก็ได้เข้าใจผิดว่าทอมนั้น เป็นชายคนเดียวกับทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์ อดีตสามีของน้องสาวของเขา แต่หลังจากที่มอร์ฟินได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด และชายตรงหน้าก็เป็นหลานชายของเขา เขาจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่ริดเดิ้ล ได้ทิ้งน้องสาวของเขาไป พร้อมกับบอกที่อยู่พ่อของเขาให้ได้รู้ หลังจากนั้นเองทอมก็ได้สะกดนิ่งมอร์ฟิน และขโมยไม้กายสิทธิ์ของเขาไป เช้าวันต่อมา มอร์ฟินนั้นนอนอยู่กับพื้นคนเดียว และแหวนของมาร์โวโล่ที่นิ้วมือก็หายไปด้วยเช่นกัน ระหว่างนั้นเอง ที่หมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน หญิงรับใช้คนหนึ่งได้กรีดร้องบอกว่ามีศพสามศพ นอนอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านใหญ่ ซึ่งศพทั้งสามนั้นก็คือ ทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์ กับพ่อแม่ของเขา แม้ว่าผู้ที่ก่อเหตุจะเป็นทอม ผู้ซึ่งเป็นลูกชาย แต่ทว่า ผู้ที่รับผิดกลับเป็น มอร์ฟิน ก๊อนท์ โดยเขายอมรับสารภาพว่าเขาได้ฆาตกรรมทั้งสามจริง หลังจากคอยโอกาสมาหลายปี แต่ความจริงแล้วหลังจากที่เขาถูกสะกดนิ่งไป ทอมได้ออกไปยังบ้านหลังใหญ่และก่อเหตุฆาตกรรมขึ้น เขากลับมาอีกครั้งหลังก่อเหตุ เพื่อฝังความทรงจำปลอมเข้าไปในใจของลุง พร้อมกับถอดแหวนโบราณของตระกูล แล้วจากไป หลังจากนั้น มอร์ฟินจึงถูกส่งตัวไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกอัซคาบัน ต่อมามอร์ฟินก็ได้เสียชีวิตลง ศพของเขาก็ถูกฝังรวมกับศพนักโทษคนอื่นที่คุกอัซคาบัน

ระหว่างชั้นปีหก ในคืนหนึ่งที่สโมสรซลักฮอร์น ทอมได้พบปะกับศาสตราจารย์ฮอเรซ ซลักฮอร์น เขารั้งท้ายแถวอยู่นานหลังจากที่เพื่อนคนอื่นอย่าง เอเวอรี่ และ เลสแตรงจ์ ทอมได้ตั้งคำถามกับศาสตราจารย์ของเขาเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์​ วัตถุศาสตร์มืดขั้นสูง ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ทอมถามถึงว่า ฮอร์ครักซ์นั้นเป็นคำที่ใช้เรียกวัตถุที่คนคนหนึ่ง ซุกซ่อนวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ในนั้น และทันทีที่ศาสตราจารย์ยอมปริปาก ทอมก็ได้ซักถามทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากรู้อย่างไม่รอช้า ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำงาน การสร้างฮอร์ครักซ์ด้วยการแยกส่วนวิญญาณ และจากการสนทนาครั้งนั้นเอง ที่ทอมได้เปิดเผยความปรารถนาบางส่วนของเขาผ่านคำถามที่ว่า คนเรานั้นสามารถแยกวิญญาณได้เพียงครั้งเดียวหรือ จะไม่ดีกว่าหรือถ้าจะแยกวิญญาณออกเป็นหลายส่วน โดยเฉพาะเลขเจ็ด ที่กล่าวได้ว่าเป็นเลขวิเศษที่มีพลังอำนาจที่สุด

ซึ่งฮอร์ครักซ์ชิ้นแรกที่ทอมได้สร้างขึ้นนั้น ก็คือคืนหนึ่งของเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1943 หลังจากที่เขาได้เปิดห้องแห่งความลับออกเป็นครั้งแรก ขณะเรียนอยู่ชั้นปีห้า เขาได้ปล่อยให้สัตว์ร้ายบาซิลิสก์สังหารเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งทำให้วิญญาณส่วนหนึ่งของเขานั้นถูกฉีกขาดออก และวิญญาณส่วนนั้นก็ได้ถูกบรรจุลงใน สมุดบันทึกของ ทอม ริดเดิ้ล พร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาเองบางส่วน เนื่องจากเขาต้องการให้มีคนอ่านบันทึกเล่มนี้ และเขาก็ต้องการให้วิญญาณส่วนหนึ่งของเขา เข้าไปอาศัยหรือครอบงำผู้ยึดครองด้วยเช่นกัน เพื่อที่สัตว์ร้ายของสลิธีรินจะได้ถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ต่อมา บันทึกของริดเดิ้ลได้ถูกส่งต่อไปยัง ลูเซียส มัลฟอย เพื่อให้ลูเซียสดูแลและส่งมอบให้กับคนอื่นต่อไป เพื่อใช้ในการกวาดล้างเลือดสีโคลนให้หมดไปจากฮอกวอตส์ แต่ทว่า บันทึกเล่มนี้ถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 1992 ด้วยฝีมือของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ใช้เขี้ยวของบาซิลิสก์ทิ่มลงกลางหน้าสมุด จนท้ายที่สุดฮอร์ครักซ์ในบันทึกก็ถูกทำลายลง

ต่อมาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ย้อนกลับไปในช่วงที่ทอมได้เดินทางไปยังกระท่อมตระกูลก๊อนท์เป็นครั้งแรก ในคืนนั้นเองที่ทอมได้ก่อเหตุฆาตกรรมศพสามศพ ซึ่งเป็นศพของพ่อ ปู่และย่าของเขา หลังจากนั้นทอมก็ได้นำแหวนโบราณประจำตระกูลก๊อนท์ หรือแท้จริงแล้วก็คือหินชุบวิญญาณ ทำเป็นฮอร์ครักซ์ชิ้นต่อมา ซึ่งภายหลังอัลบัสก็ได้ตามหาแหวนวงนี้จนพบ และได้ทำลายมันด้วยดาบของก็อดดริก กริฟฟินดอร์

ต่อมาในชั้นปีเจ็ดที่ฮอกวอตส์ ทอมได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนชาย และได้รับเหรียญยกย่องความสามารถด้านเวทมนตร์ นอกจากนี้เขายังได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในนักเรียนที่เฉลียวฉลาดมากที่สุดเท่าที่ฮอกวอตส์เคยมีมา ซึ่งความจริงดังกล่าวก็ถูกยอมรับ จาก อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ด้วยเช่นกัน ก่อนที่ทอมจะสำเร็จการศึกษาออกไปจากโรงเรียน เขาได้ใช้เสน่ห์ทำให้ เฮเลนา เรเวนคลอ หรือรู้จักกันในชื่อของสุภาพสตรีสีเทา ไว้วางใจ และยอมบอกที่ซ่อนของ รัดเกล้าของโรวีนา เรเวนคลอ โดยเหตุผลที่ทอมออกตามหารัดเกล้าที่สาบสูญชิ้นนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหนึ่งในฮอร์ครักซ์ของเขาในเวลาต่อมา

หลังจากที่ทอมเรียนจบชั้นปีที่เจ็ดของโรงเรียนด้วยคะแนนสูงสุดในทุกรายวิชาที่สอบ เขาก็ได้ไปหา ศาสตราจารย์ อาร์มันโด ดิพพิต เป็นอันดับแรก เพื่อที่เขาจะได้ทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่โรงเรียนฮอกวอตส์ต่อไป ซึ่งรายวิชาที่เขาสมัครก็คือวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด แม้ว่าทอมไม่เคยเปิดเผยให้ศาสตราจารย์ดิพพิตทราบว่า ทำไมเขาถึงอยากอยู่ที่ฮอกวอตส์ต่อไป แต่ดัมเบิลดอร์เชื่อว่าเขามีเหตุผลอยู่ด้วยกันสามประการ ได้แก่ ประการแรก และเป็นประการสำคัญมากว่า เขาผูกพันกับโรงเรียนแห่งนี้มากกว่าที่เขาผูกพันกับใครทั้งนั้น ฮอกวอตส์เป็นสถานที่ที่เขามีความสุขที่สุด และเป็นที่แรกและที่เดียวที่เขารู้สึกเหมือนเป็นบ้าน, ประการที่สองคือ ปราสาทนี้เป็นที่ตั้งมั่นของเวทมนตร์โบราณ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาสามารถหยั่งรู้ความลับของเวทมนตร์เหล่านี้ได้หลายอย่าง มากกว่านักเรียนส่วนใหญ่ที่เคยผ่านสถานที่นี้ อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกว่ายังมีปริศนาลึกลับอีกมากที่ต้องถอดให้ได้ เปรียบเสมือนคลังแห่งเวทมนตร์ที่ไขออกมาได้เรื่อย ๆ และประการที่สาม ในฐานะครู เขาจะมีอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่เหนือพ่อมดแม่มดผู้เยาว์ทั้งหลาย ซึ่งบางทีเขาอาจได้รับแนวความคิดนี้มาจาก ศาสตราจารย์ฮอเรซ ซลักฮอร์น ครูที่เขาใกล้ชิดด้วยมากที่สุด ผู้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครูมีบทบาทที่มีอิทธิพลได้มากเพียงใด นอกจากนี้ฮอกวอตส์ยังเป็นที่ที่เขาสามารถก่อตั้งกองทัพของตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การสมัครงานของทอมถูกศาสตราจารย์ดิพพิตปฏิเสธ เขาก็เดินทางไปยังป่าอัลบาเนีย เพื่อค้นหารัดเกล้าของเรเวนคลอ ระหว่างการตามหานี้เอง ทอมได้ลงมือสังหารชาวบ้านชาวอัลบาเนียคนหนึ่งไป หลังจากนั้นเขาก็ได้แยกส่วนของวิญญาณอีกหนึ่งส่วนออกมา แล้วเก็บมันไว้ในรัดเกล้า สุดท้ายทอมก็ได้เข้าทำงานเป็น ผู้ช่วยที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์ อย่างไรก็ดี ด้วยความสุภาพ เฉลียวฉลาด และใบหน้าอันหล่อเหลา ในเวลาไม่ช้า เขาก็ได้รับมอบหมายงานพิเศษ โดยการถูกส่งตัวไปเกลี้ยกล่อมให้ผู้อื่นขายสมบัติของพวกเขา จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทอมได้พบกับ แม่มดชราที่ร่ำรวยมากอย่าง เฮปซิบาห์ สมิท ในระหว่างปี ค.ศ. 1955-1961 ทอมมักถูก มิสเตอร์เบิร์กส์ ส่งตัวมาให้เจรจาต่อรองราคากับเฮปซิบาห์อยู่เป็นประจำ ซึ่งเธอก็ได้ให้ทอมเห็นสมบัติล้ำค่าสองชิ้น ที่เธอเก็บสะสมไว้อย่าง ถ้วยของเฮลก้า ฮัฟเฟิลพัฟ และ ล็อกเกตของซัลลาซาร์ สลิธีริน แววตาของทอมฉายแสงสีแดงเข้มทันที เมื่อเขาเห็นสมบัติอันมีค่าทั้งสองชิ้น หลังจากนั้นสองวัน ศพของ เฮปซิบาห์ สมิท ก็ถูกพบในบ้านของเธอเอง โดย โฮกี้ เอลฟ์ประจำบ้าน ถูกกระทรวงตัดสินว่าวางยาพิษเจ้านาย หลังจากที่โฮกี้ถูกตัดสินความผิด ครอบครัวของเฮปซิบาห์ก็เพิ่งตระหนักได้ว่า สมบัติอันมีค่าของพวกเขาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มผู้ช่วยที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์ ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งและหายสาบสูญไป

ซึ่งต่อมาทั้งล็อกเกตของสลิธีริน และถ้วยของฮัฟเฟิลพัฟ ก็ได้ถูกนำมาทำเป็นฮอร์ครักซ์ หลังจากที่ทอมได้สังหารเฮปซิบาห์ สมิท และมักเกิ้ลที่เร่ร่อนไร้นามตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ฮอร์ครักซ์ในถ้วยของฮัฟเฟิลพัฟ ได้ถูกขโมยออกมาจากตู้นิรภัยของเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ จากธนาคารกริงกอตส์ และถูกทำลายลงที่ห้องแห่งความลับจากพิษของเขี้ยวบาซิลิสก์ ด้วยฝีมือของเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ในด้านของล็อกเกตของสลิธีรินถูกนำไปซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ทอมเคยไปเที่ยวเล่นเมื่อตอนยังเป็นเด็ก หลังจากนั้นไม่นานล็อกเกตก็ได้ถูกเรกูลัส อาร์กทูรัส แบล็กขโมยไป แล้วสับเปลี่ยนกับของปลอม แต่ทว่า เรกูลัสได้เสียชีวิตลงก่อนที่เขาจะสามารถทำลายฮอร์ครักซ์ได้ ต่อมาล็อกเกตของสลิธีรินจึงตกไปอยู่ในมือของโดโลเรส อัมบริดจ์ จากการติดสินบนของมันดังกัส เฟล็ทเชอร์ แต่ท้ายที่สุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ก็ได้เข้าไปขโมยมันออกมาจากกระทรวงเวทมนตร์ หลังจากนั้นรอน วีสลีย์ก็ได้ทำลายล็อกเกตด้วยดาบของกริฟฟินดอร์

หลังจากที่ทอมหายตัวไปนานกว่าสิบปี เขาก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง เพื่อพบกับดัมเบิลดอร์ หลังจากที่ดัมเบิลดอร์ก้าวขึ้นมาเป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ ทอมเปลี่ยนชื่อจากเดิม กลายเป็นลอร์ดโวลเดอมอร์อย่างสมบูรณ์ ในตอนนั้นเขามีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูคล้ายงู กลายเป็นสีซีดเผือก บิดเบี้ยวพิกล ตาขาวนั้นตอนนี้กลายเป็นสีแดงก่ำดุจเลือด เขาสวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาว และเหตุผลที่ทำให้เขากลับมาอีกครั้ง คือตำแหน่งศาสตราจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ที่เขาเคยถูกศาสตราจารย์ดิพพิตปฏิเสธไปเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม ดัมเบิลดอร์ปฏิเสธที่จะให้ตำแหน่งนี้แก่โวลเดอมอร์อีกครั้ง และนับจากนั้นมา ฮอกวอตส์ก็ไม่เคยมีครูสอนวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ที่อยู่ได้นานเกินกว่าหนึ่งปีอีกเลย ในวันเดียวกันที่ทอมกลับมายังฮอกวอตส์ เขาได้พกหนึ่งในฮอร์ครักซ์ของเขามาด้วยเช่นกัน ซึ่งทอมก็ได้ซ่อนรัดเกล้าของเรเวนคลอ ไว้ในห้องต้องประสงค์ของฮอกวอตส์ก่อนจะจากฮอกวอตส์ไป โดยไม่หวนคืนกลับมาอีกเป็นเวลาหลายทศวรรษ

ขณะเดียวกันโวลเดอมอร์ก็ได้ออกรวบรวมกองทัพผู้เสพความตายของเขา และแผ่ขยายอำนาจมืดออกไปทั่วโลกผู้วิเศษ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1970 โวลเดอมอร์ก็ได้เริ่มต้นสงครามโลกเวทมนตร์ครั้งที่หนึ่งขึ้น โดยมีกลุ่มผู้ต่อต้านเขาอย่างภาคีนกฟีนิกซ์ ทั้งสองกลุ่มนั้นได้ต่อสู้และทำสงครามกันเป็นระยะ ยาวนานติดต่อกันถึงสิบเอ็ดปี จนกระทั่ง ซิบิลล์ ทรีลอว์นีย์ ได้พยากรณ์คำทำนายของเธอเอาไว้ว่า "ผู้มีอำนาจปราบเจ้าแห่งศาสตร์มืดใกล้เข้ามาแล้ว เกิดกับคนที่ท้าทายเขาถึงสามหน เกิดเมื่อเดือนที่เจ็ดวางวาย และเจ้าแห่งศาสตร์มืดจะทำเครื่องหมายเขาในฐานะผู้เท่าเทียม แต่เขานั้นจะมีอำนาจที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดหารู้จักไม่ และคนหนึ่งจะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกคน เพราะทั้งสองจะไม่อาจอยู่ได้ถ้าอีกคนยังอยู่รอด" โวลเดอมอร์เชื่อว่าเด็กชายคนนั้นก็คือลูกชายของลิลี่ พอตเตอร์ และเจมส์ พอตเตอร์ แต่ทว่า ในคืนที่เขาเข้าโจมตีครอบครัวพอตเตอร์ มนตร์ป้องกันที่ลิลี่สร้างไว้ให้ลูกชายของเธอ กลับสะท้อนกลับไปยังโวลเดอมอร์ ผลของการโจมตีครั้งนั้นทำให้ เจมส์และลิลี่เสียชีวิตลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดวงวิญญาณของโวลเดอมอร์ที่ถูกแยกส่วนออกไปด้วยฮอร์ครักซ์นั้น ทำให้โวลเดอมอร์ยังมีชีวิตอยู่ เพียงปราศจากร่างกายเท่านั้น เพราะความเสียหายจากคำสาปพิฆาต ในคืนนั้นเองที่วิญญาณส่วนหนึ่งของโวลเดอมอร์ฉีกขาดออกมา หลังจากที่เขาฆ่าสองสามีภรรยาพอตเตอร์ เขาได้สร้างฮอร์ครักซ์ขึ้นมาในตัวเด็กชายอย่างไม่ได้ตั้งใจ และสุดท้ายก็เป็นโวลเดอมอร์เอง ที่เป็นผู้ทำลายฮอร์ครักซ์ของเขาด้วยคำสาปพิฆาต ที่ป่าต้องห้าม ในระหว่างสงครามฮอกวอตส์

หลังจากที่โวลเดอมอร์หายตัวไป เขาก็ได้ออกตามหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของเขา แข็งแกร่งขึ้นดังเดิม ในปี ค.ศ. 1991 เขาได้แยกส่วนหนึ่งของเขาเองกับ ควิรินัส ควีเรลล์ หลังจากที่ทั้งสองพบกันที่ป่าในอัลแบเนีย นอกจากนี้โวลเดอมอร์ยังเจอกับงูชนิดหนึ่งในป่าเดียวกัน ซึ่งนมที่มีพิษของมันนั้นสามารถทำให้โวลเดอมอร์แข็งแรงขึ้นได้ สุดท้ายเขาจึงสังหาร เบอร์ธา จอร์กิ้นส์ เพื่อแยกส่วนวิญญาณของเขามาทำฮอร์ครักซ์และบรรจุมันไว้ในตัวนากินี แต่สุดท้ายในสงครามฮอกวอตส์ นากินีก็ถูกสังหารโดยเนวิลล์ ลองบัตท่อม ด้วยดาบของกริฟฟินดอร์

จนท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1994-1995 โวลเดอมอร์ได้ฟื้นคืนร่างอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของผู้รับใช้อย่างปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์ หลังจากนั้นโวลเดอมอร์ก็ได้เรียกตัวผู้เสพความตายทุกคนกลับมา และเริ่มตระเตรียมกองทัพที่พวกเขาจะใช้ในสงครามโลกเวทมนตร์ครั้งที่สอง โดยโวลเดอมอร์นั้นต้องการทั้งกองทัพยักษ์ โทรลล์ รวมถึงยึดครองกระทรวงเวทมนตร์ และ ฮอกวอตส์ด้วยเช่นกัน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1996 โวลเดอมอร์ได้มอบหมายให้เดรโก มัลฟอย สังหาร อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เสีย จนท้ายที่สุดในปีเดียวกันดัมเบิลดอร์ก็ได้เสียชีวิตลง แต่ทว่า ผู้ลงมือกลับเป็น เซเวอร์รัส สเนป อย่างไรก็ตามแผนการของโวลเดอมอร์กลับเป็นไปได้ราบรื่น ภายหลังจากที่ดัมเบิลดอร์ ชายที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดได้เสียชีวิตลง จนสุดท้ายโวลเดอมอร์ได้เผชิญหน้ากับแฮร์รี่อีกครั้ง ในสงครามฮอกวอตส์ หลังจากที่แฮร์รี่และเพื่อนของเขาได้ตามล่า และทำลายฮอร์ครักซ์ทุกชิ้นของโวลเดอมอร์จนหมดสิ้น ในการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายของทั้งสองคน โวลเดอมอร์ไม่รู้เลยว่าเขากำลังใช้ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์สังหารเจ้านายของมันอยู่ เนื่องจากโวลเดอมอร์เข้าใจผิดถึงลำดับการยึดครองไม้กายสิทธิ์ สุดท้ายโวลเดอมอร์จึงพ่ายแพ้และเสียชีวิตลงที่ปราสาทฮอกวอตส์





ข้อมูลจาก Harry Potter Wiki

รวบรวมโดย ฮอกวอตส์ไทย (http://hogwartsthai.com)
หากนำข้อมูลนี้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ กรุณาให้เครดิตฮอกวอตส์ไทยด้วย

Go to the top of the page
+Quote Post

Reply to this topicStart new topic

 



RSS Lo-Fi ; ประหยัดแบนวิธ,โหลดเร็ว เวลาในขณะนี้: 28th March 2024 - 07:49 PM